“ขอพระสนมบัญชามาเถิดเ้าค่ะ” หลินมามาคุกเข่าลงทันที ทั่วใบหน้าแสดงการตัดสินใจเด็ดขาด
“เ้ากลับไปถ่ายทอดวาจาแก่ท่านพ่อแทนข้าก่อน บอกว่าทุกสิ่งยึดภาพรวมใหญ่เป็หลัก ทั้งนี้เื่นี้เป็เพียงข่าวลือที่ไม่มีใครสามารถนำหลักฐานที่ชัดเจนออกมา ถ้าเขาขังมารดาก็หมายความว่าเื่นี้เป็ความจริงแล้ว ดังนั้นนอกจากจะต้องปล่อยตัวนางแล้ว ยังต้องปฏิบัติดุจเริ่มแรกเหมือนที่เคยทำ ยิ่งต้องทำดีกับนางมากขึ้น ต้องให้ทุกคนคิดว่าความจริงแล้ว จวนอัครมหาเสนาบดีไม่มีเื่อะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น” ซูจิ้งโหยวรีบสั่ง
ความสามารถนางล้วนหล่อหลอมเลี้ยงดูจากในตำหนักลึก จัดการสิ่งเหล่านี้ เป็เื่ง่ายเพียงเอื้อมมือจับ
หลินมามาพยักหน้าด้วยความนับถือ “พระสนมวางอุบายดีจริงตามคาดเพคะ”
ซูจิ้งโหยวยิ้มบางๆ พลางส่ายหน้า “นี่ยังไม่พอ ตอนนี้ในตำหนักมีคนใหม่เข้ามาอีกกลุ่ม ในนั้นที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดยังเป็พระสนมหวิน เพิ่งเข้าวังมาไม่นานก็ได้นั่งตำแหน่งพระสนมโดยไม่เปลืองแรง ทำไมจะไม่ให้ข้ากังวลใจเล่า?”
“ความหมายของพระสนมคือ?” หลินมามาไม่กล้าเดาสุ่ม แต่กังวลใจแทนซูจิ้งโหยวจริงๆ
“เดิมคิดหยิบยืมพิธีชุมนุมแข่งม้าครั้งที่แล้วให้เถียนเอ๋อร์เข้าวัง ไม่คิดว่ากลับถูกซูเฟยซื่อนังสารเลวนั่นก่อกวนสถานการณ์ เมื่อเร็วๆ นี้ในวังไม่มีกิจกรรมสำคัญแต่อย่างใด ในเมื่อเกิดเื่นี้แล้ว ข้าจะคิดหาวิธีใช้ประโยชน์จากเื่นี้ให้ฝ่าาเสด็จไปยังจวนอัครมหาเสนาบดีสักครา เ้าให้ท่านพ่อและท่านแม่เตรียมตัว ต้องให้เถียรเอ๋อร์เข้าวังอย่างราบรื่น ข้ากับน้องช่วยเหลือกัน ต้องสามารถเก็บตำแหน่งฮองเฮาเข้ากระเป๋าได้”
“ถ้าเช่นนั้น... ถ้าเช่นนั้นบ่าวเฒ่าก็กลับไป แจ้งวาจาของท่านแก่นายท่านนายหญิงนะเพคะ” หลินมามาตื่นเต้นกับวาจารอบนี้ของซูจิ้งโหยวมาก หลังจากกล่าวขอบคุณก็จากมาทันที
ซูจิ้งโหยวลุกจากพระที่นั่งของตน “ซิ้วเอ๋อร์ ช่วยข้าแต่งตัว และส่งคนไปสืบดูลาดเลาตำหนักพระสนมหวิน หากฮ่องเต้เสด็จออกมารีบมาแจ้งข้าทันที”
ซูเฟยซื่อ ในเมื่อเ้าคิดต่อสู้ เช่นนั้นเราสองคนก็มาสู้กันสักตั้ง ดูซิว่าข้ากับเ้า ใครจะร้ายกว่ากัน
“คุณหนู ด้านซูจิ้งโหยวมีการเคลื่อนไหวแล้วเ้าค่ะ” ซางจื่อรีบเข้ามาแจ้ง
ซูเฟยซื่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ “อ้อ? เร็วจัง?”
“กล่าวกันว่าทุกคนที่นางแซ่หลี่ส่งไปต่างถูกไล่ออกจากวัง ภายหลังนางแซ่หลี่ไม่มีทางเลือก จึงส่งหลินมามาไปให้รู้แล้วรู้รอด หลินมามารออยู่ในตำหนักเป็เวลานาน เดิมคิดว่าซูจิ้งโหยวจะไม่พบนางแล้ว คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ ซูจิ้งโหยวก็เรียกนางเข้าเฝ้า ถึงเพิ่งจะมีการเคลื่อนไหวเ้าค่ะ” ซางจื่อกล่าว
“จู่ๆ ก็เรียกเข้าเฝ้ากะทันหัน? ซูจิ้งโหยวไม่ได้เป็คนใจอ่อน นี่คงไม่ใช่เพราะเป็หลินมามารอมานานจึงเรียกเข้าเฝ้าเป็แน่ เกรงว่าอาจเป็ข่าวที่เ้าส่งออกไปประสบผลดี ทำให้ซ่งหลิงชิวโดนเหล่าขุนนางใหญ่กดดันขณะที่กำลังประชุมว่าราชการยามเช้า” ซูเฟยซื่อวิเคราะห์อย่างใจเย็น
ในดวงตาซางจื่อปรากฏแววใระคนแปลกใจปราดหนึ่ง “มิอาจซ่อนเื่ใดจากคุณหนูได้ตามคาดเลยเ้าค่ะ”
ซูเฟยซื่อยิ้มบางๆ “รู้เขารู้เราเท่านั้นเอง ถ้าเดาไม่ผิด ซูจิ้งโหยวต้องให้ซูเต๋อเหยียนระงับการลงโทษนางแซ่หลี่ ใช้วิธีจัดฉากหลอกให้ผู้คนคิดว่าเื่ครั้งนี้เป็เพียงข่าวลือ”
ซางจื่อพยักหน้าราวกับลูกไก่จิกข้าว “เื่ทั้งหมดเป็ไปตามที่คุณหนูคาดการณ์ เพียงแต่หลังจากหลินมามาไปแล้ว ซูจิ้งโหยวก็รีบส่งคนไปเฝ้าอยู่นอกตำหนักพระสนมหวิน ขอเพียงซ่งหลิงซิวออกมาก็แจ้งให้นางทราบทันที ไม่รู้ว่าที่เล่นเป็ลูกไม้แบบไหนเ้าคะ”
“พระสนมหวิน?” ชื่อนี้นางกลับเพิ่งเคยได้ยินเป็ครั้งแรก ชาติที่แล้วขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในวังไม่มีบุคคลนี้
“เป็หยางเซียงหวินบุตรสาวของสมุหราชเลขาธิการหยางที่เพิ่งเข้าวังเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ยินว่าผิวของหญิงสาวคนนี้ดุจหิมะ ทรวดทรงงดงามเป็เลิศ เข้าวังไม่นานก็ได้รับการสนับสนุนขึ้นเป็พระสนมโดยตรง ขณะประชุมว่าราชการยามเช้า ยังมีขุนนางใหญ่ใช้เื่ของนางแซ่หลี่ถวายฎีกา ให้ซ่งหลิงซิวยิ่งโปรดปรานพระสนมหวิน เหมือนมีเจตจำนงสนับสนุนพระสนมหวินเป็ฮองเฮาเ้าค่ะ” ซางจื่อพูดทุกอย่างที่นางรู้ออกมาจนหมด
ซูเฟยซื่ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกออกมา “ซางจื่อ รายนามเ้านายที่ห้ามเรียกเหล่านี้ เ้ากลับยิ่งเรียกยิ่งคล่องปาก ถ้าให้คนนอกรู้ว่าเ้าเรียกฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแบบนี้ ก็ต่อให้โทษถึงแก่ชีวิตละเว้นได้ แต่ถูกลงโทษทั้งเป็หลีกเลี่ยงได้ยาก”
ใบหน้าของซางจื่อกลายเป็ซีดขาว รีบคุกเข่าลงกล่าวด้วยความอึดอัดใจ “บ่าวละเลยแล้ว แต่ในสายตาของบ่าว เ้านายมีเพียงท่านคนเดียวเ้าค่ะ”
“ลุกขึ้นเถิด ข้าไม่ได้มีความหมายกล่าวโทษเ้า เพียงแต่เตือนเ้าขณะที่อยู่ต่อหน้าคนนอกยังต้องระมัดระวัง ปากไวชั่วขณะสามารถนำมาซึ่งเภทภัยถูกสังหารได้ทุกเมื่อ” ซูเฟยซื่อกล่าว
ซางจื่อพยักหน้าแล้วลุกขึ้นกล่าวต่อ “ตอนนี้ซูจิ้งโหยวด้านนั้นมีการเคลื่อนไหวแล้ว คุณหนูคิดวางแผนรับมืออย่างไรเ้าคะ? "
“หลังจากที่ตระกูลกู้ถูกล้างตระกูล ในราชวงศ์ก่อนหน้านี้ยังมีอวี้เสวียนจีที่สามารถปราบปรามจวนอัครมหาเสนาบดี วังหลังกลับไม่มีใครสามารถต่อต้านซูจิ้งโหยวอีก เกรงว่าซ่งหลิงซิวได้ตระหนักว่าเช่นนี้ไม่ได้การ จึงจงใจยกระดับพระสนมหวินซึ่งมีชาติวงศ์ตระกูลและฐานะที่ไม่ต่างกันมาก ทว่าบัดนี้พระสนมหวินได้คุกคามถึงตำแหน่งฮองเฮาของซูจิ้งโหยวแล้ว ซูจิ้งโหยวคงไม่อยู่เฉยแน่ พิธีชุมนุมการแข่งม้าครั้งที่แล้ว นางก็มีใจคิดจัดเตรียมให้เถียนเอ๋อร์เข้าวัง ครั้งนี้กลัวว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”
“แต่่นี้ในวังไม่มีงานสังสรรค์ใดๆ ซูจิ้งโหยวจะทำอย่างไรให้ซ่งหลิงซิวได้เห็นซูจิ้งเถียนล่ะเ้าคะ?” ซางจื่อถามด้วยความสงสัย
“นี่...” ซูเฟยซื่อครุ่นคิดสักพัก จู่ๆ ประกายแสงคมกริบได้ฉายวาบผ่านดวงตา “ประชุมว่าราชการยามเช้าในวันพรุ่งนี้ต้องมีการเคลื่อนไหวบางอย่างแน่ๆ”
“ความหมายของท่านคือ?” ซางจื่อยังไม่เข้าใจเหมือนเดิม
“หากในวังไม่มีงานเลี้ยงฉลองเร็วๆ นี้ เช่นนั้นก็คิดหาวิธีให้ซ่งหลิงซิวไปที่จวนอัครมหาเสนาบดีแทนก็สิ้นเื่ ถ้าข้าเป็ซูจิ้งโหยวต้องยกเื่นี้ขึ้นมาเพื่อให้ขุนนางใหญ่ฝ่ายที่ปกป้องตนกับฝ่ายที่สนับสนุนพระสนมหวินเกิดการอภิปรายอย่างดุเดือดในที่ประชุมว่าราชการตั้งหนึ่ง รอจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะถกเถียงปะทะกันจนอลหม่าน ตนก็จะยืนกรานท่ามกลางที่ประชุม เพื่อเชิญซ่งหลิงซิวไปยังจวนอัครมหาเสนาบดีดูละครซูเต๋อเหยียนรักใคร่กับนางแซ่หลี่ชุดหนึ่ง จากนั้นหากมีการยืนยันจากปากของซ่งหลิงชิวแล้ว ใครอีกที่จะมีอำนาจบิดเบือน? การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่สามารถทำลายข่าวลือ ทว่ายังช่วยให้ซ่งหลิงซิวได้เห็นซูจิ้งเถียน เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
ตาทั้งคู่ของซูเฟยซื่อหรี่ลงเล็กน้อย นี่นับได้ว่าซูจิ้งโหยวเป็ผู้เชี่ยวชาญในการเดินหมากคนหนึ่งก็ว่าได้
ตามที่ซูเฟยซื่อคาดไว้ หลินมามากลับมาถึงจวนอัครมหาเสนาบดีได้ไม่นาน นางแซ่หลี่ก็ถูกปล่อยตัว
ไม่เพียงเท่านั้น ซูเต๋อเหยียนยังคืนอำนาจใหญ่ในการควบคุมจวนอัครมหาเสนาบดีแก่นางอีก
จากมุมมองของบุคคลภายนอก ทุกอย่างในจวนอัครมหาเสนาบดียังคงไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงซูเฟยซื่อที่เห็นความเ็าฉายชัดในดวงตาของซูเต๋อเหยียน
เขากับนางแซ่หลี่ไม่อาจกลับไปเป็เหมือนเดิมได้อีก
หลังจากนางแซ่หลี่ออกมาก็ไม่เคยหาเื่ซูเฟยซื่ออีก แต่เป็หาทางอย่างสุดจิตสุดใจทำอย่างไรให้ซ่งหลิงซิวสังเกตเห็นซูจิ้งเถียน
ดังนั้น่ไม่กี่วันนี้ซูเฟยซื่อจึงใช้เวลาในแต่ละวันได้อย่างสงบสุข ส่วนข่าวลือที่ว่าซูจิ้งเซียงถูกทารุณกรรมในตำหนักซีอ๋องนั้น นางย่อมไม่ใคร่ใส่ใจนัก
เพราะนี่เป็เื่ที่อยู่ในความคาดคิด
เดิมซีอ๋องก็เป็พวกโรคจิต ไม่ได้คิด้าสมรสกับซูจิ้งเซียงอย่างจริงใจ
ความขุ่นเคืองในใจของซีอ๋องไม่มีที่ระบาย ย่อมต้องนับทั้งหมดไปลงกับซูจิ้งเซียง
ทั้งที่นางก็เตือนสติซูจิ้งเซียงไว้แต่แรกว่านี่ไม่ใช่ที่พักพิงที่ดี แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ฟัง ถ้าเช่นนั้นก็ต่อว่านางไม่ได้แล้ว
“คุณหนู ฝ่าากับพระสนมทรงเสด็จมา ตอนนี้อยู่ในสวนบุปผชาติ นายหญิงเชิญท่านไป ท่านรีบหน่อยเถิด อย่าล่าช้าให้เสียการเ้าค่ะ” หยานเอ๋อร์รีบวิ่งเข้ามา
ซูเฟยซื่อเงยหน้ามองทันที ในใจอดแย้มยิ้มเ็าไม่ได้ ทั้งอาภรณ์และเครื่องประดับที่บรรจงคัดสรรอย่างประณีต คิดยั่วยวนซ่งหลิงซิวหรือไร?
หากไม่ใช้โอกาสนี้ ก็ไม่รู้ว่าต้องเกิดใหม่อีกสักกี่ชีวิตจึงจะ กลับมาจัดการซูจิ้งโหยวกับนางแซ่หลี่ได้อีก!