ในดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งอาณาจักรหลันเป่าสือ (มรกตอำพัน) ที่ซึ่งกระแสปราณ์ไหลเวียนชโลมผืนแผ่นดินให้งดงามดุจมรกตจรัสแสง มีมณฑลหนึ่งทางตอนใต้ที่ขึ้นชื่อลือชาในความรุ่งเรืองและพลังงานอันพลุกพล่าน นั่นคือ มณฑลเฟิงเป่า (พายุโหม)
นาม "พายุโหม" นั้นมิได้หมายถึงภัยพิบัติ แต่กลับเป็ภาพสะท้อนของความคึกคักวุ่นวายดุจลมพายุที่พัดพาความมั่งคั่งมาสู่ดินแดนแห่งนี้ มณฑลเฟิงเป่าตั้งตระหง่านอยู่ริมชายฝั่งทะเลอู๋ฝูเจี้ยน ทะเลกว้างใหญ่ที่กั้นกลางระหว่างอาณาจักรหลันเป่าสือกับอาณาจักริเหริน (ดาราสาดส่อง) ทำให้ที่นี่กลายเป็จุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการค้า
จากเมืองท่าที่คึกคักจอแจ สินค้าจากทั่วสารทิศหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย เศรษฐกิจการค้าของมณฑลเฟิงเป่าจึงเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ภัตตาคารหรูหรา ร้านรวงมากมายผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดหลังฝนพรำ ผู้คนจากต่างแดนหลั่งไหลเข้ามาเพื่อแสวงหาโอกาสและโชคลาภ เสียงเจื้อยแจ้วของการต่อรองราคา เสียงหัวเราะครึกครื้นจากโรงเตี๊ยม และเสียงกระบี่กระทบกันจากการประลองยุทธ์ในลานฝึกดังระงมไปทั่วทุกหัวระแหง
มณฑลเฟิงเป่ายืนหยัดอยู่ได้ด้วยเสาหลักแห่งอำนาจทั้งสี่ตระกูลใหญ่ ที่ค้ำจุนและรักษาความสมดุลมานับพันปี:
ตระกูลขุนนางมณฑล ตระกูลผู้ปกครองสูงสุดแห่งมณฑลเฟิงเป่า มีหน้าที่บริหารจัดการกิจการบ้านเมือง วางนโยบาย และรักษาความสงบเรียบร้อย เป็ผู้ถือครองอำนาจทางการเมืองสูงสุด และเป็ต้นสายของปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญตำราพิชัยาโบราณ
ตระกูลแม่ทัพรักษาเมือง ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาชายแดนและคุ้มกันเมืองท่าสำคัญ ตระกูลนี้ขึ้นชื่อเื่ความแข็งแกร่งด้านการทหาร พลังฝึกปรือแข็งแก่งดุดัน และจิติญญานักรบอันกล้าหาญ พวกเขาคือโล่ป้องกันมณฑลจากภัยคุกคามภายนอก เป็ผู้ฝึกฝนยุทธวิธีและทักษะการต่อสู้ระดับสูงมาแต่โบราณ
ตระกูลฉุนอวิ๋น (เมฆาบริสุทธิ์) ตระกูลพ่อค้า คหบดีผู้มั่งคั่ง และยังเป็ที่รู้จักในฐานะตระกูลแห่งปรมาจารย์ยุทธ์ที่เปี่ยมด้วยชื่อเสียงเลื่องลือ พวกเขามิได้เพียงเครือข่ายการค้าที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ยังเป็ผู้สนับสนุนหลักให้กับสำนักยุทธ์และผู้ฝึกตนมากมาย พลังฝึกปรือของตระกูลฉุนอวิ๋นเน้นความพลิ้วไหวรวดเร็ว ดุจเมฆาที่ไร้รูปร่างแต่ทรงพลังทำลายล้าง
ตระกูลซางฉิว (ฟ้าสีคราม) ตระกูลผู้ฝึกยุทธ์ที่เชี่ยวชาญด้านการคุ้มกันภัยสินค้า ผูกขาดกิจการคุ้มกันภัยและยังเป็เ้าของธุรกิจหอสมบัติอันเก่าแก่ที่สุดในมณฑล พวกเขาคือผู้พิทักษ์ความลับโบราณและวัตถุล้ำค่า พลังฝึกปรือของตระกูลซางฉิวเน้นความมั่นคง ป้องกัน และการใช้ทักษะเฉพาะตัว
สี่ตระกูลนี้เปรียบเสมือนสี่เสาหลักที่ค้ำจุนมณฑลเฟิงเป่าให้ยืนหยัดอย่างมั่นคงท่ามกลางกระแสคลื่นแห่งยุคสมัยอันผันผวน พวกเขาต่างมีผลประโยชน์และปรัชญาที่แตกต่างกัน แต่ก็ล้วนมีเป้าหมายร่วมกันคือการปกป้องและพัฒนาเฟิงเป่าให้ก้าวไปข้างหน้า
เขตปศุสัตว์เมฆาบริสุทธิ์ (ฉุนอวิ๋น)
ณ ใจกลางของมณฑลเฟิงเป่าที่เต็มไปด้วยพายุการค้าและความมั่งคั่ง ตระกูลฉุนอวิ๋น ผู้มั่งคั่งอันดับหนึ่งและเป็ที่พึ่งของปรมาจารย์ยุทธ์มากมาย ได้พื้นที่ขนาดมหาศาลทางตอนเหนือของเมืองท่าหลัก
เขตปศุสัตว์ของตระกูลฉุนอวิ๋นมีอาณาเขตกว้างขวางถึง หลายหมื่นหมู่ ทอดตัวเป็ผืนพรมสีเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา การลงทุนในกิจการปศุสัตว์ของตระกูลนี้มิได้เป็เพียงธุรกิจ แต่เป็สัญลักษณ์ของอำนาจและทรัพยากรที่ไร้ขีดจำกัด
พื้นที่โดยรอบไม่ได้ล้อมด้วยรั้วไม้ธรรมดา แต่เป็ กำแพงหินสูงตระหง่าน สร้างด้วยหินแกรนิตสีเทาอ่อน มีป้อมยามโบราณตั้งอยู่ทุกระยะ พร้อมด้วยศิษย์ของตระกูลที่ฝึกฝนถึงขั้น กระแสธาร (เจี้ยนซี) เป็อย่างน้อย คอยตรวจตราอย่างเข้มงวด การออกแบบที่พิถีพิถันนี้ทำให้ปศุสัตว์แห่งนี้ดูราวกับ ค่ายทหารที่ซ่อนเร้น หรือ ป้อมปราการส่วนตัว มากกว่าเป็เพียงฟาร์มเลี้ยงสัตว์
คอกสัตว์ถูกสร้างจากไม้เนื้อดีหายาก และมีระบบระบายน้ำและอากาศที่ทันสมัยเพื่อดูแลสัตว์อย่างดีที่สุด
ใจกลางพื้นที่ปศุสัตว์มี หอคอยหินอ่อน สูงหลายชั้นตั้งอยู่ ศิษย์ที่ดูแลจะใช้หอคอยนี้ในการสังเกตการณ์ไม่เพียงแต่การเคลื่อนไหวของฝูงสัตว์ แต่ยังเพื่อ ตรวจจับศัตรูผู้บุกรุก และสัญญาณอันตรายจากภายนอก
ตระกูลฉุนอวิ๋นมุ่งเน้นการเลี้ยงสัตว์ที่มี สายเืปราณ หรือ สัตว์อสูรระดับต่ำ ที่สามารถนำมาใช้ในการค้าขาย, เป็สัตว์พาหนะที่ว่องไว, หรือแม้กระทั่งใช้ชิ้นส่วนในการปรุงยาบำรุงและหลอมอาวุธ
วัวเขาเงิน ฝูงวัวขนาดใหญ่ที่มีเขาเป็ประกายเงิน ใช้เป็เนื้อชั้นดีสำหรับภัตตาคารหรูในเมืองท่า และปราณของพวกมันยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนได้เล็กน้อย
ม้าเมฆา ม้าสายพันธุ์หายากที่ว่องไวเป็เลิศ เลี้ยงไว้สำหรับส่งสารสำคัญและการเดินทางระยะไกลของชนชั้นสูง
แพะหยกปราณ แพะที่กินสมุนไพรพิเศษ ทำให้ขนและเนื้อของพวกมันมีปราณอ่อน ๆ ซ่อนอยู่ เป็สินค้าที่พ่อค้าจากอาณาจักร ิเหริน้าอย่างมาก
การจัดการปศุสัตว์ขนาดใหญ่นี้จึงต้องใช้ พลังปราณแห่งฟ้าดิน ในการดูแล เช่น การใช้ ปราณวิถีแห่งน้ำ เพื่อรดน้ำในฤดูแล้ง หรือการใช้ ปราณวิถีแห่งดิน เพื่อควบคุมความสมบูรณ์ของทุ่งหญ้า ทำให้การทำปศุสัตว์ของตระกูลฉุนอวิ๋นเป็มากกว่าการเกษตร แต่เป็ ศิลปะการฝึกยุทธ์ประยุกต์ ในตัวมันเอง
เลยจากทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวเขาเงินไปไม่ไกลนัก คืออาณาบริเวณของ โรงเลี้ยงม้าเมฆา ซึ่งเป็จุดสำคัญของเขตปศุสัตว์ตระกูล ฉุนอวิ๋น
โรงเลี้ยงม้าแห่งนี้มิได้เป็เพียงแค่คอกสัตว์ แต่ถูกออกแบบอย่างโอ่อ่าดุจที่พำนักของชนชั้นสูง ตัวอาคารหลักสร้างจากไม้สนหอมเนื้อแข็ง ปูพื้นด้วยหินเรียบเพื่อความสะอาดและสะดวกในการดูแลรักษา หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีเขียวมรกตที่สะท้อนแสงแดดเป็ประกาย ภายในโรงเลี้ยงม้าแต่ละคอกมีขนาดกว้างขวางเป็พิเศษ เพื่อให้ม้าเมฆาซึ่งเป็สัตว์ที่้าพื้นที่ในการเคลื่อนไหว ได้อยู่อย่างสบายที่สุด มีช่องระบายอากาศและแสงแดดที่ถูกคำนวณมาอย่างดี เพื่อให้ม้าแต่ละตัวได้รับอาหารบำรุงที่เหมาะสม
ด้านหน้าโรงเลี้ยงเป็ ลานกว้าง ขนาดใหญ่ที่ปูด้วยกรวดละเอียด ใช้สำหรับฝึกซ้อมและตรวจสอบสภาพม้า ลานแห่งนี้กว้างพอให้กองทหารขนาดเล็กทำการฝึกยุทธได้สบาย ๆ
ภายใต้แสงแดดยามสายที่ทอประกายบนลานกว้าง ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มสามคนกำลังสาละวนอยู่กับหน้าที่ของตนเอง พวกเขาล้วนเป็คนงานระดับล่างสุดของตระกูลฉุนอวิ๋น หรือไม่ก็เป็บุตรหลานของคนงานในปศุสัตว์ ที่ถูกคัดเลือกมาทำงานหนักเพื่อแลกกับโอกาสในการฝึกยุทธ์
ต้วนผิงอัน เป็คนแรกที่สะดุดตา เขาเป็ชายหนุ่มที่ดูบึกบึนและเติบโตเกินวัย ด้วยความสูงเกือบ ประมาณสิบช่าง (ประมาณ 2 เมตร) ร่างกายกำยำดุจหมีที่เพิ่งตื่นจากจำศีล ใบหน้าคมคาย ผิวสีแทนเข้ม ดวงตาคมวาวฉายแววแห่งความกล้าหาญและความตรงไปตรงมา ต้วนผิงอันกำลังยืนอยู่ข้างกระสอบขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยธัญพืชบำรุงม้า เขาออกแรงยกกระสอบหนักอึ้งราวกับมันเป็เพียงถุงสำลี ก่อนจะใช้มีดกรีดปากกระสอบแล้วเทอาหารลงในถังไม้ขนาดใหญ่ด้วยจังหวะที่มั่นคงและหนักแน่น
ถัดมาคือ หนิวมู่อี้ ชายหนุ่มรูปร่างค่อนข้างอวบอ้วน แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสและร่าเริง ดวงตากลมโตเป็ประกายแห่งความกระตือรือร้น หนิวมู่อี้กำลังวุ่นวายกับการใช้เชือกอ่อน ๆ ต้อนม้าเมฆาสามสี่ตัวที่พยายามจะวิ่งเล่นนอกโรงเลี้ยง ม้าเมฆาเหล่านี้ปราดเปรียวและเต็มไปด้วยพลัง ปล่อยปราณอ่อน ๆ ออกมา หนิวมู่อี้ต้องใช้ทั้งความคล่องแคล่วและคำพูดปลอบโยน เขาหัวเราะเสียงดังเมื่อม้าตัวหนึ่งพยายามจะเลียแก้มเขาอย่างซุกซน ก่อนจะต้อนพวกมันเข้าสู่คอกได้อย่างนุ่มนวล
ส่วนชายหนุ่มคนสุดท้ายคือ อวิ่นหนิงเจี่ย ผู้มีรูปร่างสูงโปร่งและใบหน้าหมดจดน่ารักอย่างน่าประหลาด ดวงตาของเขาเป็ประกายระยิบระยับอยู่เป็นิจ อวิ่นหนิงเจี่ยกำลังก้มตัวตักน้ำจากบ่อหินโบราณลงในถังไม้สองใบ ก่อนจะแบกหาบที่มีน้ำเต็มเปี่ยมทั้งสองข้างอย่างทุลักทุเล เสื้อผ้าของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจนแนบไปกับแผ่นหลัง เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่เพิ่งเริ่มสร้างตัว เขาก้าวเดินอย่างระมัดระวังเพื่อนำน้ำเข้าไปให้กับม้าเมฆาในโรงเลี้ยง แม้จะเหนื่อยล้าจนสีหน้าซีดลงเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่เคยปริปากบ่น
ทั้งสามมีอายุราว ๆ สิบหกถึงสิบเจ็ดปี พวกเขาคือแรงงานสำคัญแห่งโรงเลี้ยงม้าเมฆา ทำงานหนักั้แ่วันขึ้นจนกระทั่งวันลับขอบฟ้า เพื่อหวังว่าวันหนึ่งจะได้รับโอกาสที่ดีกว่า หลุดพ้นจากชีวิตการเป็คนงานระดับล่างของตระกูลฉุนอวิ๋นให้ได้...
