ก็ไม่รู้ว่าบิดามารดาสกุลเฉินนั้นไปได้ยินเื่ที่เธอกลายเป็หญิงอุ่นเตียงได้สำเร็จมาจากที่ใด คงคิดว่าครั้งนี้จะมีเงินรางวัลก็เลยรีบแจ้นมาหา
หลังจัดการเื่ทั้งหมดของเ้าของร่างคนก่อน เฉินเนี้ยนหรานก็เริ่มครุ่นคิดอีกครั้ง
แต่เธอก็ยังนิ่งสงบ ในเมื่อมาใช้ร่างของคนอื่น เช่นนั้นก็ดูสถานการณ์ไปก่อนก็แล้วกัน
ถูกพามาจากหน้าประตูไปยังด้านข้างจวน พอเห็นคนคู่หนึ่งก็โค้งคำนับให้ ชายหญิงที่บนใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย ตอนนั้นเฉินเนี้ยนหรานรู้สึกเพียงความกังวลที่ติดอยู่ในลำคอ
สองสามีภรรยาคู่นี้สวมเสื้อผ้าปะชุนไปทั้งตัว ใบหน้าเหลืองซีดแบบคนขาดสารอาหาร ผมเผ้ายุ่งเหยิง โดยเฉพาะหญิงคนนั้น มือทั้งสองข้างดูแล้วแก่งอม
ทางด้านฝั่งชาย ถึงแม้จะดูแก่แต่มือทั้งสองข้างกลับดูออกว่าถูกดูแลมาอย่างดี ในสมองของเฉินเนี้ยนหรานคิดถึงคำพูดของเสี่ยวเฟิงอีกครั้ง เหมือนพูดอ้อมๆ แต่ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจท่านพ่อที่อยู่ตรงหน้านี้ ถึงจะเป็แม่ ก็เหมือนจะบอกว่านางลำเอียงเกินไป ทั้งชาตินี้สนใจแต่ลูกชาย ทว่าลูกสาวนั้น ในสายตาของนางเป็เพียงแค่เครื่องมือแลกเงิน!
“ไอ๊หยา เสี่ยวหรานออกมาแล้ว แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน” พอเห็นเธอเดินออกมา เฉินหนิงซื่อก็ยิ้มแล้วรีบเข้ามาจูงมือเธออย่างเป็กันเอง
หลังจากพามาหาบิดามารดา คนเฝ้าประตูก็หมุนตัวเดินจากไป
รอจนคนเฝ้าประตูจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินหนิงซื่อก็หายไปทันที พลันเปลี่ยนมาเป็เคร่งขรึม “เนี้ยนหราน น้องชายของเ้าจะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนให้อาจารย์แล้ว ครั้งนี้เ้าได้ทำเื่ดีๆ ฮูหยินจะต้องให้รางวัลเ้าไม่น้อยแน่ รีบเอาตำลึงที่น้องชายเ้าจะต้องเอาไปจ่ายค่าเล่าเรียน ออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
เฉินเนี้ยนหรานตกตะลึง เพิ่งจะออกมาได้ไม่ถึงสองนาทีเองนะ มารดาของเธอเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วจริงๆ
เมื่อนาทีก่อนเธอยังรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้รักเธอ แต่เพียงหนึ่งนาทีต่อมาก็เปลี่ยนเป็จะเอาเงินของเธอ ดูเหมือนว่าสิ่งที่เสี่ยวเฟิงพูดนั้นจะไม่ใช่เื่โกหกเลย ในสายตาของเฉินหนิงซื่อ ลูกสาวคนนี้มีค่าแค่เื่เงินทองเท่านั้น
เธอปรายตาไปมองเฉินจื่อทงที่ยืนอยู่ด้านข้างมาตลอด ชายคนนี้ถึงแม้ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่พอได้ยินเื่เงิน ดวงตาทั้งสองข้างก็สว่างวาบ… ทำเอาคนไม่กล้าสบตาด้วย ท่าทางยิ่งตื่นตัวจนเกือบจะจับคนกลืนลงไป
เฉินเนี้ยนหรานนิ่งเงียบ รู้สึกเสียใจกับเ้าของร่างคนเก่าเสียจริง ที่มีบิดามารดาแย่ๆ แบบนี้
“ไม่มีตำลึงและก็เงินอะไรทั้งนั้น ข้าเพียงแค่ไถ่ตัวออกมาได้เท่านั้น” เฉินเนี้ยนหรานพูดด้วยน้ำเสียงเ็า ก่อนจะหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพายก่อนจะเดินจากไป
พอได้ยินว่าไม่มีเงิน เฉินหนิงซื่อก็หน้าเสียทันที
“อะไรนะ? จะไม่มีเงินได้อย่างไร? คนของจวนสกุลโจวพูดไปแล้วไม่ใช่หรือว่าหากทำเื่ดีๆ ได้ จะต้องมีรางวัลให้อย่างงามแน่นอน เนี้ยนหราน เ้าคงไม่ได้คิดจะแอบซุกเงินไว้เองใช่หรือไม่?” เฉินหนิงซื่อเลิกคิ้วขึ้นจะแสดงฤทธิ์เดชออกมาตรงนั้น
โชคดีที่ก่อนหน้านี้เฉินเนี้ยนหรานฉลาดพอที่จะยืนห่างจากนางไกลหน่อย หากไม่ใช่เช่นนั้นตอนนี้ก็คงจะถูกแย่งกระเป๋าไปแล้ว
เฉินเนี้ยนหรานไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับบิดามารดาตรงหน้ามากเท่าไร นางเติบโตมาอยู่ภายใต้เ้านายสกุลโจว จะไปจำบิดามารดาที่รู้จักแต่ขายลูกสาวกินได้อย่างไรกันล่ะ
“ข้าบอกว่าไม่มีก็คือไม่มีสิ ไม่เชื่อพวกท่านไปถามที่จวนให้ชัดเจนก็ได้”
พูดประโยคนี้จบก็ไม่สนใจทั้งสองคนอีก เธอก้าวเท้ายาวๆ เดินออกไปด้านนอกทันที
จะว่าไปแล้วก็เป็โชคดีที่เ้าของร่างเดิมเป็หญิงสาวชาวนา จึงไม่เคยรัดเท้ามาก่อน ไม่อย่างนั้นตอนเธอเดิน เกรงว่าคงจะสะดุดไปหลายครั้งแล้ว
เฉินหนิงซื่อมองลูกสาวที่พูดด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป นางไม่ได้นุ่มนิ่มรังแกง่ายเหมือนแต่ก่อน จึงหันไปถลึงตาใส่ผู้ชายของตน
เฉินจื่อทงเป็สามีของนางมาหลายปี จะไม่เข้าใจความคิดของนางได้อย่างไร
หลังจากที่รีบเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ยื่นมือเข้าไปแย่งกระเป๋าในมือของเฉินเนี้ยนหรานมา
เพราะว่าเฉินหนิงซื่อตั้งใจมาบังสายตาของเฉินเนี้ยนหรานเอาไว้ ทำให้ตอนที่เฉินจื่อทงเข้ามาแย่งกระเป๋าไปเฉินเนี้ยนหรานจึงมองไม่ชัดและก็ไม่ได้ป้องกันตัว จนกระเป๋าตกไปอยู่ในมือของพวกเขา
เฉินเนี้ยนหรานตะลึง ในใจรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา มารดาเอ๊ย นี่มันบิดามารดาบังเกิดเกล้าจริงๆ หรือ? ทำไมถึงค้นหาความดีในตัวของอีกฝ่ายไม่พบเลย
เธอหน้าตึง กดเสียงต่ำเอ่ยถามแกมตำหนิเฉินจื่อทงที่รีบเปิดกระเป๋าของตนเอง “ท่านแม่ ท่านพ่อ พวกท่านอยากได้ขนาดนั้นเลยหรือ?”
เฉินหนิงซื่อหรือจะมีเวลามาสนใจเธอ ตอนนี้นางอยากจะรู้แค่ว่าด้านในกระเป๋ามีเงินอยู่มากเท่าใด
เฉินจื่อทงคนนั้นยิ่งกว่า เขารีบร้อนเปิดกระเป๋าออก แต่ด้านในมีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ตัวที่เฉินเนี้ยนหรานใส่ตามปกติตอนอยู่ในจวน
“ตำลึงล่ะ? เงินล่ะ?” เฉินจื่อทงเหมือนจะไม่เข้าใจ ทำไมในกระเป๋าถึงไม่มีเงินตำลึงจำนวนมากอย่างที่คิดเอาไว้
ได้ชื่นชมท่าทางสิ้นหวังอย่างสุดซึ้งของคู่สามีภรรยา เฉินเนี้ยนหรานก็รู้สึกเพียงว่าภาพนี้เป็อะไรที่สุขตาสบายใจเหลือเกิน
“เงินตำลึงหรือ? ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าก็บอกกับพวกท่านไปั้แ่ต้นแล้วไม่ใช่หรือว่าด้านนั้นในนั้นไม่มีเงินตำลึง เป็อย่างไรเ้าคะ? ตอนนี้เชื่อข้าแล้วหรือยัง?”
เฉินเนี้ยนหรานพูดไปก็ยื่นมือไปเพื่อแย่งกระเป๋ากลับคืนมา ปรายสายตาเ็าไปมองเฉินหนิงซื่อที่เงียบไป “ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว ั้แ่ตื่นขึ้นมาก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ท่านว่าควรจะให้ข้าได้กินอะไรสักหน่อยหรือไม่?”
เฉินหนิงซื่อที่สิ้นหวังอย่างสุดซึ้งพอได้ยินประโยคนี้ก็เก็บความสิ้นหวังกลับมา แล้วถลึงตาดุใส่เธอ “หาเงินมาไม่ได้จะไปเอาของกินมาจากที่ใดกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเ้าจะไม่ได้กินอะไรสักมื้อก่อนออกมาจากจวน เหอะ นังลูกไม่รักดี เงินสักแดงก็หามาไม่ได้”
นางยังอยากจะด่าอีกสักหลายประโยค แต่เมื่อสายตามาหยุดที่ใบหน้างดงามของลูกสาว ท่าทางก็เปลี่ยนมายินดีทันควัน ก่อนจะเข้ามาจูงมืออย่างกระตือรือร้น “เด็กดี เ้า…หิวจริงๆ หรือ?”
คำว่า ‘เด็กดี’ ทำให้เฉินเนี้ยนหรานที่ได้ยินอดจะขนลุกขึ้นมาไม่ได้ มารดาผู้นี้ จู่ๆ ก็ทำท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนี้ออกมา จะต้องไม่ใช่เื่ดีแน่ เธอเองถือว่ามองคนออก เมื่อครู่ตอนที่เฉินหนิงซื่อเห็นใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนมาเป็ยินดี….
คนที่สามารถเอาลูกสาวไปขายแล้วรอบหนึ่งจนได้ผลประโยชน์กลับมา จะต้องมีการขายครั้งที่สองแน่ ดูเหมือนว่าเธอจะต้องรีบคิดหาวิธีหนีออกมาจากบ้านนี้แล้ว ไม่เช่นนั้น…ใครจะไปรู้ อีกฝ่ายจะมีความคิดไม่ดีอะไรอีก
ในสมัยนี้ คนที่ไม่รู้หนังสือเป็อะไรที่ยากมากที่จะออกเดินไปตั้งตัวด้วยตนเอง
แถมหญิงสาวตัวคนเดียวหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างนาง ถ้าหากหลุดรอดออกไปก็ยิ่งไม่สามารถยืนหยัดได้ เพราะแบบนี้นางจึงไม่สามารถเห็นแก่ตัวหนีออกไปได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนในบ้านแย่แค่ไหน แต่ก็ต้องจำใจเสแสร้งแกล้งทำดีต่อไป ในเื่นี้ นางกลับเหมือนกับโจวอ้าวเสวียน ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนในจวนของตัวเองไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดหรือหวังดีอันใดต่อตน แต่ในตอนนี้ที่ปีกยังไม่แข็งกล้า ก็ต้องจำใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขา
พวกเขามาถึงหน้าร้านเกี๊ยวน้ำ พอเอ่ยถามได้ความว่าเกี๊ยวน้ำถ้วยหนึ่งเท่ากับสามอีแปะ เฉินหนิงซื่อรู้สึกเ็ปอยู่นิดหน่อย
เฉินจื่อทงหนักกว่า เขาพูดออกมาตรงๆ ว่า “พอเถิด อย่ากินเลย เกี๊ยวชามเดียวตั้งสามอีแปะ เพิ่มอีกนิดหน่อยก็ไปซื้อเนื้อมาร้อยจินกินได้ทั้งครอบครัวแล้ว”
เฉินเนี้ยนหรานได้ยินก็เหงื่อแตกพลั่ก เนื้อร้อยจินกินได้ทั้งบ้าน! เช่นนั้นเกี๊ยวน้ำชามนี้คาดว่าจะมีเนื้อแค่นิดเดียวเท่านั้น
ถึงแม้เฉินหนิงซื่อจะรู้สึกเ็ป แต่ก็ชัดเจนเลยว่าในใจของนางมีความคิดอะไรบางอย่าง จึงลากเฉินจื่อทงไปด้านข้าง
“สามีข้า ลูกสาวคนนี้ข้าเห็นว่าคงเลี้ยงไว้ไม่ได้อีกแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะไปถามยายเฒ่าสวี่ ได้ยินว่านางอยากจะซื้อเด็กสาวหลายคนไปที่เมือง ลูกสาวของเราก็เคยเป็หญิงอุ่นเตียงมาก่อน การจะหาคนดีๆ เจอนั้นยากแสนยาก ไปที่เมืองหลวงแล้วก็ต้องดูว่านางจะสร้างผลงานอย่างไร ไม่แน่นะต่อไปอาจจะได้เป็เมียรองของคนมีเงินมีอำนาจก็ได้นะ”
เฉินจื่อทงพอได้ยินคำว่าเมืองหลวงก็ดีใจขึ้นมา แต่ต่อมาก็มองภรรยาของตนเองด้วยสีหน้าลำบากใจ “เื่ยายเฒ่าสวี่คนนั้นชวนคนไปทำงานที่เมืองหลวง ข้าก็เคยได้ยินมาก่อน เหมือนจะเป็พวกหอโคมเขียวนะ หากลูกสาวของเราไปแล้ว ต่อไปลูกชายของเราจะมีชื่อเสียงได้อย่างไร? ลูกๆ ที่บ้านอีก จะโด่งดังมีหน้ามีตาได้อย่างไร?”
เฉินหนิงซื่อจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเด็กสาวที่ถูกรับไปนั้นจะถูกส่งไปเป็หญิงคณิกาในแต่ละพื้นที่ แต่ตอนนี้นางถูกเงินบังตา อยากได้แต่เงินตรงหน้า ไม่ได้สนใจเื่อื่นอีก
“เช่นนั้นเด็กคนนี้พวกเราก็พากลับไปเงียบๆ ถึงตอนนั้นก็หลอกนางไปทำงานที่อื่น แล้วค่อยให้ยายเฒ่าสวี่พาไปเงียบๆ เื่นี้จะถูกพูดต่อกันไปอีกได้อย่างไร? คิดถึงลูกคนโตของพวกเราสิ เขาเป็เด็กที่เหมาะกับการเรียน ต่อไปเขาได้เป็ขุนนาง เ้าก็ได้เป็พ่อของขุนนาง ตอนนี้เสียสละลูกสาวอีกสักสองสามคนก็ไม่เสียหายหรอก”
เฉินจื่อทงพอคิดถึงตอนที่ได้เป็พ่อของขุนนาง ภาพที่แสนรุ่งโรจน์นั้น ปลาตัวใหญ่ๆ เนื้อชิ้นโตๆ ไม่แน่ว่าจะยังมีพวกอนุตัวน้อยๆ มาอยู่ข้างกาย…คิดแล้วก็เป็อะไรที่วิเศษมาก ความดีอันน้อยนิดที่มีอยู่ในใจก็ถูกลมพัดกระจายไป
“ก็ได้ ข้าเอาตามที่เ้าว่า”
เฉินเนี้ยนหรานมองคู่สองสามีภรรยาปรึกษากัน แถมยังปรายตามามองที่ตัวเองอยู่เรื่อยๆ ในใจรู้ดีว่าจะต้องมีความคิดที่จะขายเธออีกครั้งเป็แน่
จะต้องรีบปลีกตัวออกมาจากครอบครัวนี้ให้ไว ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้คงจะอยู่ไม่ได้แล้ว
เพียงแต่เธอเป็แค่ผู้หญิงคนเดียว จะหนีออกจากการควบคุมนี้ได้อย่างไร จะต้องรู้ว่าคนสมัยโบราณนั้นจะยึดมั่นในความกตัญญูเอาไว้เป็หลัก
หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานจะเห็นพ่อแม่เป็เสมือนโลกทั้งใบ เมื่อแต่งออกไปแล้วก็จะเชื่อฟังสามีแทน ถึงแม้เธอจะเป็หญิงอุ่นเตียง แต่พูดไปพูดมาก็ยังถือว่าเป็ลูกสาวที่ยังไม่ได้แต่งออกไปของสกุลเฉิน อยากจะหนีออกจากการควบคุมของพวกเขา นับว่ายังยาก แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องจัดการเฉินหนิงซื่อคนนี้สักทีก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เธอนั่งลงไปแล้วสั่งเกี๊ยวน้ำถ้วยหนึ่ง ตักกินไปโดยไม่สนใจว่าสามีภรรยาสกุลเฉินจะมองเธออย่างไร
คู่สามีภรรยามองเธอกินแล้วก็ยืนกลืนน้ำลายอยู่ด้านข้าง ครั้นเห็นนางกลืนเกี๊ยวไปหนึ่งชิ้น คอของเฉินจื่อทงก็ขยับไปหนึ่งที จนกระทั่งนางกลืนชิ้นสุดท้ายลงไป สายตาของเฉินจื่อทงปรากฏความสิ้นหวังแล้ว
ก่อนที่จะไป ไเขายังมองน้ำแกงที่เหลืออยู่ในถ้วนนั้นตาละห้อย เฉินเนี้ยนหรานไม่สงสัยเลยสักนิด ถ้าหากตอนนี้ไม่ได้อยู่บนถนน เกรงว่าชายคนนี้คงจะพุ่งเข้าไปกินน้ำแกงนั้นให้หมดเกลี้ยงไปแล้ว
พูดไปแล้วครอบครัวนี้ก็จนจริงๆ แต่ความจนนี้ก็เป็ตัวพวกเขาที่เลือกเอง ทำให้ไม่มีชีวิตที่ดี แถมยังมีความคิดที่จะเอาลูกสาวไปขาย เฉินเนี้ยนหรานหัวเราะเสียงเย็น เงยหน้าขึ้นคิดในใจเงียบๆ ว่าจะทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นออกมาได้
เฉินหนิงซื่อพาเฉินเนี้ยนหรานไป แต่ไม่ได้รีบกลับบ้าน
นางเดินวนอยู่นานก่อนจะพาเฉินเนี้ยนหรานมาในตรอกแคบตรอกหนึ่ง
หลานสาวของยายเฒ่าสวี่คนนั้นอาศัยอยู่ในตรอกนี้ ทุกปีที่ยายเฒ่าสวี่จะมารับซื้อหญิงสาวบ้านนอก ก็จะมารับที่บ้านหลานสาวของนาง
ตอนที่เฉินหนิงซื่อกำลังคิดว่าจะพูดกับยายเฒ่าสวี่ว่าอย่างไรดี ก็มีคนเข้ามาต้อนรับเป็สตรีสองคนอุ้มลูกค่อยๆ เดินเข้ามาหา
“อ้าว นั่นลูกสาวสกุลเฉินไม่ใช่หรือ เด็กสาวคนนี้คือลูกของเ้าสินะ ไอ๊หยา มองไม่ออกเลยว่าลูกสาวสกุลเฉินจะยังมีหญิงงามขนาดนี้ด้วย”
ยายเฒ่าที่อุ้มเด็กมองหน้าของเฉินเนี้ยนหราน ั้แ่เดินเข้ามายังไม่ยอมละสายตาไปไหน