เสิ่นเยว่พึ่งเคยใกล้ชิดบุรุษเป็ครั้งแรกนอกจากท่านพ่อและเหล่าพี่ชายของนาง นางรู้สึกตื่นเต้นจนตัวแข็งทื่อไปหมด หลี่เซวียนเองก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก กลิ่นหอมของนางทำให้เขารู้สึกปั่นป่วน ที่เขาพาเสิ่นเยว่ขึ้นหลังม้ามาด้วยกันเป็เพราะอารมณ์ชั่ววูบของเขาเท่านั้น ตอนนั้นเขารู้สึกหงุดหงิดที่เห็นนางพูดคุยกับบุรุษอื่น เขายอมรับว่าตนเองขาดสติไปชั่วขณะจึงได้ทำเื่ที่ไม่ได้วางแผนเอาไว้ก่อน
“เ้า...นั่งสบายหรือไม่”
หลี่เซวียนพึ่งสังเกตว่านางนั่งตัวแข็งทื่อจึงกังวลว่านางจะรู้สึกอึดอัดที่ต้องนั่งม้าตัวเดียวกับเขา เสิ่นเยว่ขยับตัวเล็กน้อย
“ข้า...สบายดีท่านกำลังจะไปไหนหรือ”
หลีเซวียนพึ่งรู้ว่าตนเองพานางขี่ม้าออกมานอกเมืองแล้ว และเขายังไม่รู้เลยว่ากำลังจะพานางไปไหน ตอนนั้นคิดเพียงว่าอยากพานางออกไปจากที่นั่นก็เท่านั้น หลี่เซวียนกระแอมไอเบาๆ
“ข้าว่าจะพาเ้าไปสถานที่ลับของข้า เ้า...อยากจะไปหรือไม่”
เสิ่นเยว่เอียงหน้ามองเขาเล็กน้อย ท่าทางของนางในสายตาหลี่เซวียนดูน่ารักน่าเอ็นดูจนเขาอยากจะเอื้อมมือไปลูบผมยาวนุ่มสลวยของนางแต่เขาก็ยั้งใจเอาไว้ได้ เพราะเสิ่นเยว่ตัวเล็กกว่าหลี่เซวียนจึงทำให้เวลาขี่ม้าเหมือนว่าเขากำลังโอบกอดนางอยู่ หัวใจของหลี่เซวียนเต้นกระหน่ำรัวอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเสียดื้อๆ เมื่อนึกได้ว่าตนเองกำลังกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน
“เป็สถานที่เช่นไรหรือ”
เสียงหวานของเสิ่นเยว่ปลุกสติของหลี่เซวียนที่กำลังเตลิดไปไกล
“ปะ....เป็สถานที่ที่เ้าเห็นแล้วจะต้องชอบแน่ๆ”
หลี่เซวียนพูดติดอ่างเล็กน้อย เมื่อเขานึกได้ว่าตนเองกำลังคิดอกุศลกับเสิ่นเยว่ เขาได้แต่ท่องในใจซ้ำไปซ้ำมาว่านางเป็เพียงคู่สัญญาของเขาเท่านั้น คนที่เขาชอบคือสตรีที่อยู่ในความลับคนนั้นต่างหาก
“ได้สิท่านพาข้าไปดูหน่อย”
เสิ่นเยว่เงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานให้หลี่เซวียน รอยยิ้มของนางสำหรับหลี่เซวียนตอนนี้มันช่างงดงามและเจิดจ้ายิ่งนัก เขามองใบหน้าของนางอย่างตกตะลึง เสิ่นเยว่เห็นว่าหลี่เซวียนเอาแต่จ้องนางอยู่เช่นนั้นนางก็รู้สึกสงสัยว่าใบหน้าของนางมีอะไรติดอยู่
“ใบหน้าของข้ามีอะไรติดอยู่หรือ”
เสิ่นเยว่ยกมือขึ้นคลำใบหน้าของตนเองไปมา หลี่เซวียนอยากตบหัวตนเองเเรงๆ ยิ่งนักที่ทำตัวเหลวไหลเอาเเต่คิดเื่อกุศลกับนาง เขาลืมตัวเมื่ออยู่ต่อหน้านางกี่ครั้งแล้วนะอันตรายจริงๆ ครั้งหน้าคงต้องอยู่ให้ห่างๆ นางเอาไว้บ้างแล้ว
หลี่เซวียนพาเสิ่นเยว่ขี่ม้าออกนอกเมืองมาราวครึ่งชั่วยาม เขาพานางขี่ม้าเลาะขึ้นมาบนเขาตัดผ่านป่าและเดินขึ้นเขามาถึงทุ่งหญ้าโล่งเตียน มีเพียงต้นไม้ใหญ่เพียงต้นเดียวที่ยืนเด่นตระหงานกลางทุ่ง รอบๆ มีเพียงหญ้าเขียวชะอุ่มขึ้นไม่สูงเท่าใดนัก หลี่เซวียนบังคับม้าให้เดินไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หลังจากนั้นเขาก็ลงจากหลังม้าและรับเสิ่นเยว่ลงมาด้วย หลี่เซวียนปล่อยให้ม้าออกเดินไปกินหญ้าอย่างอิสระ เขาไม่ได้ผูกมันเอาไว้ เสิ่นเยว่มองตามม้าที่เดินออกไปอย่างกังวล
“มันไม่ไปไหนไกลหรอเ้าไม่ต้องห่วง มันมาที่นี่กับข้าั้แ่มันยังเล็กจะพูดให้ถูกคือข้าเจอมันที่นี่ ลูกม้าป่าที่หลงจากแม่ของมัน ตอนนั้นข้ายังเป็เพียงทหารใหม่ที่พึ่งได้รับการฝึกฝน ม้าของข้าเตลิดเข้าป่ามาข้าจึงต้องเข้ามาตามมันด้วยตนเอง ข้าจึงได้พบที่นี่เข้าโดยบังเอิญ
ข้าเจอเ้าเด็กนั่นนอนหายใจรวยรินอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ ตอนนั้นข้าเห็นมันเป็แค่ลูกม้าป่าตัวหนึ่งร่างกายของมันเต็มไปด้วยรอยเขี้ยวเล็บของหมาป่า ข้าไม่รู้ว่ามันรอดจากฝูงหมาป่ามาได้อย่างไรทั้งที่เป็แค่ลูกม้า แต่อาการของมันตอนนั้นก็หนักเอาการ ข้าเห็นมันก็ลืมเื่ที่มาตามหาม้าที่เตลิดเข้าป่ามาทันทีคิดแต่เพียงว่าอยากจะช่วยให้มันรอด ข้าใช้มีดสั้นตัดต้นไม้ที่อยู่ในป่ามาทำเป็เปลลากมันกลับค่ายทหาร
กว่าข้าจะลากมันถึงค่ายทหารก็ผ่านไปหนึ่งคืนเต็มๆ เ้าม้าที่ข้าเข้าไปตามหาในป่ากลับมาที่ค่ายทหารด้วยตนเอง ข้าที่ลำบากเข้าไปตามหามันถึงกับนึกโมโห เ้าม้านั่นเชิดหน้ากินหญ้าโดยไม่สนใจข้าที่ต้องลำบากออกตามหามันสักนิด นี่เป็เื่ั้แ่ที่ข้าอายุสิบสี่”
หลี่เซวียนเล่าเื่ราวั้แ่เขายังเป็เพียงทหารฝึกใหม่ให้เสิ่นเยว่ฟัง นางนั่งตาแป๋วฟังเขาเล่าเื่เก่าอย่างตั้งใจ
“ท่านโชคดีจริงๆ ที่มีเื่ราวในชีวิตให้เล่ามากมาย ข้าต้องถูกท่านแม่คอยเคี่ยวกรำฝึกฝนมารยาทและความสามารถของสตรีตระกูลใหญ่ั้แ่เด็กจนโต จะออกนอกจวนสักครั้งยังลำบากตอนยังเล็กข้าแอบหนีออกมาเที่ยวข้างนอก พอท่านแม่จับได้นางจะไม่ลงโทษข้าแต่ลงโทษเหล่าพี่ชายของข้าแทน ตอนเด็กข้าไม่คิดอะไรมากเลยเเอบหนีเที่ยวบ่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าท่านแม่ลงโทษพวกพี่ชายของข้ายังไง
ตอนอายุสิบสองท่านแม่ให้ข้ามาดูการลงโทษของพี่ชายด้วยตาตัวเอง พวกเขาแต่ละคนจะถูกโบยคนละยี่สิบไม้ และต้องนั่งคุกเข่าที่ศาลบรรพชนเป็เวลาสองวัน ข้าร้องไห้ขอร้องท่านแม่ให้ลงโทษข้าแทน แต่ท่านแม่บอกว่าพวกพี่ชายเป็คนออกมายอมรับการลงโทษทั้งหมดที่ข้าเป็คนทำผิดเอง
ตลอดมาที่ข้าแอบหนีออกไปเที่ยวพวกเขาก็จะถูกโบยเช่นนี้ และยังขอให้ทุกคนในเรือนช่วยปิดเป็ความลับ ตอนนั้นข้ายังคิดอยู่เลยว่าทำไมพวกพี่ชายของข้าถึงได้อ่อนแอป่วยบ่อยเพียงนี้ หลังจากที่ข้ารู้ว่าข้าเป็คนก่อเื่ทั้งหมด ทำให้พวกเขาต้องมารับโทษข้าก็ไม่กล้าหนีออกไปเที่ยวอีกเลย ข้ารู้สึกซาบซึ้งในความรักของพวกพี่ชายที่มีต่อข้ามาก ตอนที่ข้าแต่งเข้าสกุลหลี่ของท่านพวกพี่ชายของข้าต่างก็ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆ ขอร้องท่านแม่ว่าอย่าให้ข้าแต่งออกมาเลย ให้ท่านแต่งเข้าสกุลเสิ่นแทน ท่านคิดดูว่าพวกเขารักข้าขนาดไหน”
หลี่เซวียนนึกถึงวันเเต่งงานขึ้นมาทันที บุรุษห้าคนที่ดวงตาแดงก่ำจ้องเขาเขม็งในวันที่ไปรับตัวเ้าสาวคือพี่ชายของนางสินะ กระทั่งหลังจากกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จแล้ว พวกเขาห้าคนยังตามมาที่สกุลหลี่มอมเหล้าเขาจนเมา โชคดีที่เขาคอแข็งห้าคนนั้นเลยเมาพับไปก่อน ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าเขาจะถูกกลั่นแกล้งอะไรอีก
เสิ่นเยว่ยิ้มออกมาอย่างจนใจเมื่อนึกถึงวันแต่งงานของนางที่เหล่าพี่ชายร้องไห้เป็เผาเต่าเหมือนกำลังจัดงานศพสีแดง ท่านแม่ต้องสั่งให้บ่าวไพร่จับตัวเขาห้าคนเอาไว้ หลังจากส่งตัวเสร็จถึงได้ยอมปล่อยออกมา เสิ่นเยว่ไม่รู้ว่าพี่ชายทั้งห้าของนาง แอบมาที่เรือนสกุลหลี่ในวันนั้นด้วย ถ้านางรู้คงจะรู้สึกปวดหัวยิ่งกว่าเดิมแน่
“พวกเขารักเ้าจริงๆ”
หลี่เซวียนพูดขึ้นมาเบาๆ
“ข้าไม่มีพี่น้องท่านพ่อกับท่านแม่มีข้าเพียงคนเดียวจึงไม่ค่อยเข้าใจเื่พี่น้องเท่าใดนัก”
หลี่เซวียนยิ้มให้เสิ่นเยว่ นี่เป็ครั้งแรกที่นางเห็นเขายิ้ม ทั้งสองคนนั่งเงียบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางทุ่ง เป็เวลานาน ปล่อยใจให้ล่องลอยคิดถึงเื่ต่างๆ ของตนเอง เสียงลมพัดยอดไม้กลิ่นของหญ้าที่ขึ้นเขียวชะอุ่มไหวไปมาเพราะแรงลม และเสียงนกกาที่กำลังบินกลับรัง พระอาทิตย์ยามเย็นกำลังลับขอบฟ้าแต่งแต้มต้นไม้ยอดหญ้าให้กลายเป็สีส้มสวยงาม
เสิ่นเยว่มองภาพทั้งหมดอย่างตกตะลึง ั้แ่เกิดมานางไม่เคยเห็นอะไรสวยงามและน่าอัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน นางไม่เข้าใจว่าสิ่งที่นางรู้สึกอยู่เรียกว่าอะไรแต่น้ำตาของนางไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกของนางมันเต็มตื้น เหมือนตัวนางกำลังได้รับการเติมเต็มจากบางอย่าง
มันทั้งงดงามและน่าตื่นเต้น
“ขอบคุณที่ท่านพาข้ามาที่นี่นะ”
เสิ่นเยว่หันไปของคุณเขาทั้งน้ำตา หลี่เซวียนค่อนข้างใกับปฏิกิริยาของนางเขาไม่นึกว่าเพียงภาพพระอาทิตย์ยามเย็นจะสามารถทำให้นางทราบซึ้งได้ถึงเพียงนี้ หลี่เซวียนยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้นางโดยไม่รู้ตัว หัวใจของเขารู้สึกชาหนึบเมื่อได้ห็นน้ำตาของนาง ช่างเป็เื่ที่ยากจะเข้าใจยิ่งนัก
หลังจากหลี่เซวียนยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของเสิ่นเยว่ ทั้งสองก็ชะงักไป เมื่อได้สติกลับมาบรรยากาศก็กระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที ทั้งสองคนยืนเงียบท่ามกลางบรรยากาศพระอาทิตย์ยามเย็น เป็เสิ่นเยว่ที่กระแอมไอไล่บรรยากาศอึกอัดออกไป
“ข้าคิดว่าเราน่าจะกลับได้แล้วกระมัง นี่ก็ออกมานานแล้วข้ากลัวว่าชิงจู๋จะเป็ห่วง”
เสิ่นเยว่เอาสาวใช้ของนางมาเป็ข้าอ้างเพื่อหาทางออกจากบรรยากาศชวนอึดอัดนี้ หลี่เซวียนพยักหน้าเห็นด้วยกับนาง เขาเป่าปากเรียกเ้าม้าที่เดินเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกล จากนั้นหลี่เซวียนก็พาเสิ่นเยว่ขี่ม้ากลับจวนตระกูลหลี่
ทั้งสองคนกลับมาหลังจากที่ท้องฟ้ามืดแล้ว ชิงจู๋นั่งรอเสิ่นเยว่ที่หน้าเรือนด้วยความเป็ห่วงอย่างที่คิด เสิ่นเยว่รีบอธิบายเื่ทุกอย่างให้ชิงจู๋ฟังอย่างลนลาน ระหว่างเสิ่นเยว่และหลี่เซวียนยังคงมีบรรยากาศที่ชวนอึดอัดอยู่เล็กน้อย ทั้งสองคนทานอาหารเย็นด้วยกันอย่างกระอักกระอ่วน ในใจของพวกเขายังคงมีภาพเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นหลงเหลืออยู่
หลังจากทานอาหารที่ทั้งสองแทบจะไม่รู้สึกถึงรสชาติผ่านไป เสิ่นเยว่รีบอาบน้ำเข้านอนแต่หลี่เซวียนยังคงอยู่ที่ห้องหนังสือเพื่อรอให้เสิ่นเยว่หลับไปก่อน เขาอ้างว่ายังมีงานที่ต้องสะสาง ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามหลี่เซวียนกลับมาที่ห้องนอนพบว่าในห้องได้ดับเทียนไปแล้วเขาจึงค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปแ่เบากลัวว่าจะทำให้คนในห้องใตื่น
หลี่เซวียนย่องเข้ามาในห้องเมื่อแน่ใจว่าเสิ่นเยว่ได้หลับไปแล้ว เขาก็ล้มตัวลงนอนที่ตั่งตัวเดิมของตน เมื่อเขาหลับตาภาพอิริยาบทต่างๆ ของเสิ่นเยว่ก็แวบเข้ามาในหัวของเขา จนทำให้หลี่เซวียนไม่สามารถนอนหลับได้ กลิ่นหอมของกายนางยังคงอบอวลอยู่ภายในจมูกของเขา หลี่เซวียนพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ จนกระทั่งเกือบรุ่งสางเขาจึงได้หลับไปเพราะความอ่อนเพลีย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้