วันที่สี่ของการชุมนุมล่าสัตว์ฤดูเหมันต์ สำนักหยวนซิวทั้งเจ็ดแห่งจักรวรรดิเชียนซานได้ส่งศิษย์หลายร้อยคนเข้าไปยังยอดเขาหมื่นอสูร
“ทุกท่านจะทำสิ่งใด?” ผู้นำสำนักร้อยอสูรและสำนักพยัคฆ์โผนก้าวมาข้างหน้าเพื่อไต่ถาม
ผู้นำผู้าุโจากโถงเพลิงทมิฬอธิบาย “เราได้รับข่าวว่าศิษย์ของเราาเ็หนัก จึงรีบมาที่นี่ด้วยหวังว่าจะสามารถลดการสูญเสียลงได้”
ผู้าุโจากสำนักหานเทียนกล่าวเสริม “เราไม่มีเจตนาที่ส่งผลกระทบต่อการชุมนุมล่าสัตว์ฤดูเหมันต์แต่อย่างใด เราเพียงอยากส่งศิษย์ของเราเข้าไปเพื่อค้นหาศิษย์ของแต่ละสำนัก และพาพวกเขาออกมาโดยเร็วที่สุด”
ผู้าุโจากอีกห้าสำนักต่างแสดงความคิดเห็น และทุกคนล้วนมีเจตนาเดียวกัน
ผู้นำสำนักพยัคฆ์โผนพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกของทุกท่าน ข้าขอแจ้งเื่นี้กับอาจารย์อาจากสำนัก์ให้ทราบก่อน แล้วจะมาแจ้งผลหลังจากนั้น”
“ขอบคุณท่านผู้นำสำนักพยัคฆ์โผน”
ผู้นำสำนักพยัคฆ์โผนะโขึ้นไปบนแท่นสูง แล้วรายงานเื่นี้ต่อปรมาจารย์จากสำนัก์ทันที
“การถอนตัวนั้นไม่เป็ความจริง แต่การส่งกำลังคนเข้าไปเพิ่มนั้นเป็เื่จริง ในยามนี้ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าบรรดาผู้าเ็ล้มตายในหลุมั์เป็อย่างไร?”
หู่เยวี่ยรายงานว่า “ตามข้อมูลล่าสุดที่ได้รับ เถาวัลย์ั์ได้กลืนกินไปกว่าสี่พันชีวิตแล้ว จำนวนศิษย์ของสำนักต่างๆ ในเขตหนึ่งและพื้นที่ส่วนกลางลดลงอย่างมาก”
“เช่นนี้ก็ให้ศิษย์ของสำนักหยวนซิวทั้งเจ็ดเข้าไป แต่ให้เข้าได้เฉพาะศิษย์หลักเท่านั้น”
“ขอรับ ข้าจะไปแจ้งเื่นี้ทันที”
หู่เยวี่ยกลับไปหาผู้าุโของทั้งเจ็ดสำนักและพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้ดูแลสำนัก์มีความจริงใจต่อทุกสำนัก ดังนั้น ท่านจึงเปิดทางให้ด้านหนึ่ง โดยอนุญาตให้แต่ละสำนักเลือกศิษย์หลักบางคนเข้าไปได้ และโปรดเตือนทุกคนให้ระวังตัวให้มากขึ้น”
“ขอบคุณสำนัก์ที่ให้การช่วยเหลือ ข้าจะกำชับไม่ให้ศิษย์ของตนก่อปัญหา”
ผู้าุโทั้งเจ็ดสำนักต่างรู้สึกขอบคุณและตกปากรับคำเป็มั่นเหมาะ ทว่าแท้ที่จริงแล้วพวกเขากลับส่งศิษย์หลักเข้าไปมากกว่าสองพันคน
ศิษย์เหล่านี้ล้วนเข้าใจสถานการณ์ของหลุมั์มาก่อน หลังจากเข้าสู่พื้นที่ส่วนกลางแล้ว ทุกคนจึงมุ่งตรงไปยังหลุมั์ทันที
บนเถาวัลย์ั์เก้าเส้น บริเวณขาตั้งสี่เหลี่ยมบนเถาวัลย์เส้นที่ห้า มียอดฝีมือจากกลุ่มต่างๆ มารวมตัวกัน
ที่แห่งนี้มีเมฆมืดครึ้มและหมอกหนา รังสีแห่งแสงทอออกมาเป็ลูกคลื่น และกลิ่นอายล้วนเกิดการแปรเปลี่ยนเป็ต้นหญ้า ต้นไม้ นก และอสูรร้าย อีกทั้งอาวุธและเครื่องมือิญญาในที่แห่งนี้ก็ประกอบด้วยความลึกลับมากมาย
หนิงเทียนลอยอยู่ในขาตั้งทรงสี่เหลี่ยม โลกในขาตั้งมีความลึกลับที่ไม่อาจคาดเดาได้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาด
เถาวัลย์ั์เป็ิญญาอสูร นี่คือสิ่งที่ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจน ทว่าเตาหลอม ไหสีหยก อ่างมหาสมบัติ ระฆังั์ และขาตั้งสี่เหลี่ยมที่เกิดจากเถาวัลย์ั์นั้นกลับมีรูปลักษณ์เหมือนอาวุธิญญา
ยิ่งไปกว่านั้น ในกระบวนการทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ หนิงเทียนค้นพบว่าเตา ไห อ่าง ระฆัง และขาตั้งเหล่านี้ นอกจากจะมีความหมายอันลึกซึ้งของการปลูกฝังเต๋าแห่งเชื้อสายจื๋อซิวแล้ว ยังมีแก่นแท้ของเต๋าแห่งหยวนซิวอยู่ด้วย
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าต้นกำเนิดจากเส้นทางหลักเดียวกันใช่หรือไม่? แม้เส้นทางจะแตกต่างแต่ก็นำไปสู่จุดหมายปลายทางเดียวกันเช่นนั้นหรือ?
เหนือขาตั้งทรงสี่เหลี่ยมมีอาคารลอยฟ้า ซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนนับไม่ถ้วน และเพื่อการไขว่คว้าโอกาสนี้ หลายคนถึงกับข้ามขาตั้ง แล้วมุ่งตรงไปยังอาคาร้าทันที
ชื่อของอาคารแห่งนี้ คือ หอดูดาว ซึ่งมีรูปร่างประณีตงดงาม บนบัวหัวเสา ประตู และหน้าต่างล้วนสลักด้วยลวดลายอันวิจิตร นอกจากนี้ยังมีเสียงขับขานบทเพลงแสนคลุมเครือ ซึ่งจะได้ยินก็ต่อเมื่ออยู่ข้างในเท่านั้น
เมื่อหนิงเทียนเดินเข้าไปในหอดูดาว คนแรกที่เขาพบคือศิษย์ซิงซิวนามจี้ชิว อีกฝ่ายยืนอยู่บนอาคารและมองเข้าไปในส่วนลึกของสายหมอกที่วุ่นวายราวกับกำลังมองท้องฟ้าและดวงดาว เส้นผมที่ปลิวไสวให้ความรู้สึกบางเบาและสง่างาม
หนิงเทียนขมวดคิ้วแน่น จี้ชิวผู้นี้ให้ความรู้สึกแปลกๆ เนื่องจากเขาค่อนข้างแตกต่างจากซิงซิวคนอื่นๆ
ดูเหมือนจี้ชิวจะััได้ถึงสายตาของหนิงเทียน จึงหันกลับมาสบตาเขา
“เ้าคือหนิงเทียนบนอนุสาวรีย์ดารา์ใช่ไหม?”
หนิงเทียนพูดอย่างใจเย็น “ซิงซิวก็สนใจเื่พวกนี้ด้วยหรือ?”
จี้ชิวกล่าวว่า “ไม่เคยมีศิษย์เชื้อสายจื๋อซิวที่มีความแข็งแกร่งทางกายภาพถึงหนึ่งแสนจิน ตอนนี้เ้าจึงค่อนข้างมีชื่อเสียง ทว่าระดับของเ้ายังต่ำเกินไป ยังต้องพยายามอีกมาก”
“ข้าได้ยินมาว่าในบรรดาสามหนทางการบ่มเพาะ ซิงซิวจะตื่นขึ้นก่อนหนทางอื่น จึงมีข้อได้เปรียบหลายประการในเื่ของเวลา”
จี้ชิวอธิบายด้วยรอยยิ้ม “พลังซิงซิวจะตื่นเมื่อถึงวัยสิบสองปี ส่วนหยวนซิวตื่นเมื่อถึงวัยสิบหก และจื๋อซิวจะช้ากว่าหยวนซิวเล็กน้อย”
“เป็ไปได้หรือไม่ที่หนึ่งคนจะบ่มเพาะทั้งสามเส้นทางพร้อมกัน?”
“เป็ไปไม่ได้ แม้จะมีผู้ที่เป็ทั้งผู้บำเพ็ญซิงซิวและหยวนซิว ทว่าพวกเขาเลือกที่จะไม่ปลูกฝังจื๋อซิว”
หนิงเทียนยิ้มอย่างไม่คิดใส่ใจ แล้วหันมองแผนผังของหอดูดาวอย่างละเอียด
จี้ชิวมีจิตใจงดงามและคุณธรรมสูง เขาจึงมองออกไปไกลและไม่สนใจหนิงเทียนอีก
หอดูดาวมีขนาดใหญ่มาก โดยมีอาคารภายในและภายนอกตรงกับศาสตร์เก้าวังแปดทิศ[1] และมีสัตว์เทวะจตุรทิศตามทฤษฎีปัญจธาตุ[2] ซึ่งเต็มไปด้วยความลึกลับ
หนิงเทียนใช้เวลาครึ่งวันในที่แห่งนี้ ก่อนจะเข้าใจกฎเกณฑ์เ่าั้
ด้วยการหลั่งไหลของศิษย์ที่มาใหม่จากเจ็ดสำนัก ศิษย์หลักจากสายรากอสูรและสายรากพฤกษาต่างก็รีบเข้าไปในหลุมั์
ซิ่งอวี่เจวียนติดตามสหายร่วมสำนักร้อยบุปผาไปที่เชิงเถาวัลย์ั์ ซึ่งจำเป็ต้องใช้อาวุธิญญาเพื่อต้านทานพลังอัสนีของใบเถาวัลย์
เดิมทีสำนักร้อยบุปผามีศิษย์หลักหนึ่งร้อยคน แต่หลังจากถูกโจมตีโดยอสูรและปีศาจ รวมถึงการต่อสู้กับสำนักอื่นๆ ตอนนี้จึงเหลือเพียงห้าสิบหรือหกสิบคนเท่านั้น
ซิ่งอวี่เจวียนและสหายร่วมสำนักหลายสิบคนถืออาวุธิญญารวมกลุ่มกันต้านทานการโจมตีของอัสนี ไม่นานพวกเขาก็เข้าไปในเตาหลอม ข้ามผ่านไหสีหยก และมาถึงอ่างมหาสมบัติ
การต่อสู้เพื่ออาวุธิญญายังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ยอดฝีมือจากสำนักร้อยบุปผา กลุ่มของผู้มีรากอสูร และสำนักหยวนซิวต่างอยู่ในการต่อสู้นองเื ส่งผลให้เกิดการสูญเสียคนบางส่วน
เมื่อซิ่งอวี่เจวียนมาถึงหอดูดาว ศิษย์พี่สองคนที่นางใกล้ชิดสนิทสนมด้วยก็ล้วนเสียชีวิตไปหมดแล้ว ยามนี้ศิษย์พี่อีกสี่คนที่เหลือต่างก็มีสายตาแผดเผาและเจตนาชั่วร้ายต่อนาง
“ศิษย์น้องซิ่ง ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าใดก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น ต่อจากนี้ข้าจะปกป้องเ้าเอง” เยวี่ยเสี่ยวจวินหัวเราะเสียงดัง ดวงตาไร้ศีลธรรมของเขามองสำรวจส่วนเว้าส่วนโค้งของซิ่งอวี่เจวียนไม่วางตา
ซิ่งอวี่เจวียนขมวดคิ้วแล้วเอ่ยเสียงกระซิบ “ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของศิษย์พี่เยวี่ย ทว่าข้าไม่คิดไปต่อแล้ว ข้าขอหยุดอยู่เพียงตรงนี้”
“หากศิษย์น้องไม่ไปต่อ เ้าจะไม่สามารถลงไปได้ด้วยไม่ใช่หรือ? หากไม่มีอาวุธิญญาจื๋อซิว ไม่เพียงแต่เ้าจะขึ้นไปไม่ได้เท่านั้น แม้จะอยากลงก็ไม่อาจทำได้เช่นกัน ข้ามีความจริงใจกับศิษย์น้อง แต่ศิษย์น้องกลับปฏิเสธ ทั้งยังหลีกเลี่ยงข้าไปหลายพันลี้ นี่เป็เพราะเ้าไม่เห็นแก่หน้าข้าใช่ไหม?” ดวงตาของเยวี่ยเสี่ยวจวินเหมือนคบเพลิง ภัยคุกคามที่มองไม่เห็นเผยขึ้นบนใบหน้า
ซิ่งอวี่เจวียนฝืนยิ้มพร้อมอธิบายว่า “ศิษย์พี่เยวี่ยกังวลเกินไปแล้ว ข้าเพียงไม่อยากเป็ตัวถ่วงของทุกคน”
“ความสัมพันธ์ระหว่างเรายังต้องเกรงใจเื่การเป็ตัวถ่วงอีกหรือ?” เยวี่ยเสี่ยวจวินเอื้อมมือออกมาคว้ามือเล็กๆ ของซิ่งอวี่เจวียน สหายทั้งสามด้านข้างก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อปิดกั้นทางหนีของซิ่งอวี่เจวียน
สีหน้าของซิ่งอวี่เจวียนมืดมน นางทั้งโกรธและกังวลจึงะโขึ้นว่า “ศิษย์พี่เยวี่ยโปรดระวังการกระทำด้วย!”
“ข้ากำลังปกป้องเ้าอยู่นะ ฮ่าๆ!” ใบหน้าของเยวี่ยเสี่ยวจวินมีรอยยิ้มน่ากลัว พร้อมสาดส่องแสงแห่งความชั่วร้ายในดวงตา
“ข้าไม่้าให้ท่านมาปกป้อง ปล่อยเดี๋ยวนี้!” ซิ่งอวี่เจวียนะโเสียงดัง แรงลมรอบร่างของนางพัดโหม จากนั้นก็ตบเยวี่ยเสี่ยวจวินด้วยฝ่ามือข้างหนึ่ง
“ในเมื่อศิษย์น้องไม่เห็นแก่หน้าของข้า เช่นนั้นก็อย่าตำหนิข้าที่หยาบคาย!”
ความดุร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยวี่ยเสี่ยวจวิน เสาลมที่กระโชกแรงนอกร่างสั่นะเืและคำรามลั่น พร้อมทั้งปลดปล่อยพลังที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
ใบหน้าของซิ่งอวี่เจวียนเต็มไปด้วยความโกรธ ทั้งยังมีความเกลียดชังในดวงตาอย่างน่าประหลาดใจ ขอบเขตของนางไม่อาจเทียบเยวี่ยเสี่ยวจวินได้ หากเกิดการต่อสู้นางย่อมพ่ายแพ้เป็แน่ ทว่านางไม่มีทางเลือก
“พี่สาวซิ่ง เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่?”
เสียงที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันทำลายความสงบของที่แห่งนี้ เรียกให้หนิงเทียนออกมาจากหอดูดาว พร้อมวิ่งมาอยู่ข้างกายซิ่งอวี่เจวียนด้วยรอยยิ้ม
“พวกท่านล้วนเป็ศิษย์พี่จากสำนักร้อยบุปผาใช่ไหม? ข้าศิษย์ฝ่ายในนามว่าหนิงเทียน”
หนิงเทียนทักทายศิษย์พี่ทั้งสี่ด้วยรอยยิ้ม ซึ่งทำให้บรรยากาศ ณ ที่แห่งนี้แปลกไปเล็กน้อย
หนิงเทียนเป็ใครนั้นไม่มีผู้ใดในสำนักร้อยบุปผาไม่ทราบเื่นี้
แล้วใครเล่าจะกล้ายั่วยุศิษย์ของเยี่ยซิงหานผู้ได้รับการขนานนามว่าบุปผารัตติกาล?
แม้เยวี่ยเสี่ยวจวินจะสามารถสังหารหนิงเทียนได้ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือ
“ที่แท้ก็ศิษย์น้องหนิงนี่เอง ไม่คิดว่าเ้าก็อยู่ที่นี่ พวกเรากำลังจะขึ้นไป้าแล้ว เช่นนั้นขอตัวก่อน”
“ศิษย์พี่โปรดระวังตัวด้วย”
เมื่อเยวี่ยเสี่ยวจวินจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหนิงเทียนก็จางหาย “พี่สาวซิ่งอยู่กับพวกเขาได้อย่างไร?”
ซิ่งอวี่เจวียนทั้งประหลาดใจและยินดีกับการปรากฏตัวของหนิงเทียน เมื่อเห็นว่าเขาช่วยนางแก้ไขวิกฤต ก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณมากขึ้น “ตอนแรกพวกเรามีกันมากกว่าสิบคน แต่น่าเสียดายที่สหายร่วมสำนักของเราหลายคนเสียชีวิตลงที่นี่”
หนิงเทียนมองซิ่งอวี่เจวียนแล้วถามว่า “พี่สาวเกลียดเขามากหรือ?”
ซิ่งอวี่เจวียนส่งยิ้มอันซับซ้อน แล้วส่ายหัวโดยไม่กล่าวสิ่งใด
เมื่อหนิงเทียนเห็นว่านางไม่ยอมพูดอะไร ตัวเขาที่ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นจึงตัดสินใจตรวจสอบเื่นี้ทีหลัง
“เอาละ เราขึ้นไปกันเถอะ”
หนิงเทียนเปิดใช้น้ำเต้าเจ็ดสีแล้วพาซิ่งอวี่เจวียนไปยังแจกันหยกม่วงบนเถาวัลย์เส้นที่เจ็ด
สถานที่แห่งนี้มีความพิเศษมาก แจกันกลืนแสงแห่งเส้นทาง ก่อนจะพัฒนาเป็ปราณกระบี่ระดับสูงที่สามารถเจาะผ่านฟ้าดินได้
ยามนี้ ผู้บำเพ็ญจำนวนมากในขอบเขตผนึกดาราได้รวมตัวกันในแจกันเรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้ยินเสียงกรีดร้องและมีคนเสียชีวิตเป็ระยะๆ
ภายในแจกันเต็มไปด้วยหมอก ปราณกระบี่ในรูปลักษณ์สายหมอกเคลื่อนตัวโจมตีไปมา หากไม่ระวังให้ดีย่อมต้องหลั่งเื
หนิงเทียนพาซิ่งอวี่เจวียนไปยังก้นแจกันที่มีศพมากมาย
“เ้าทำอะไร?” ซิ่งอวี่เจวียนประหลาดใจเมื่อเห็นเขาไล่สำรวจซากศพ
“แต่ละสถานที่ต้องกลืนกินเจ็ดร้อยยี่สิบเก้าชีวิตจึงจะสามารถเปิดใช้งานได้ แหวนมิติส่วนใหญ่ที่คนตายเหล่านี้ถือไว้ล้วนมีผลึกิญญา หินิญญา และของดีอื่นๆ ข้ารวบรวมพวกมันมาตลอดทาง ยามนี้มีมากกว่าพันวงแล้ว”
“เ้าช่างฉลาดแกมโกงเสียจริง”
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา แจกันสมบัติกลืนกินชีวิตไปพอสมควรแล้ว ภายในเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เผยให้เห็นแหล่งที่มาของเส้นทาง ซึ่งดึงดูดความสนใจของหนิงเทียน
“ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก! ที่นี่สามารถซ่อมแซมข้อบกพร่องของรากบ่มเพาะที่เสียหายของพี่สาวได้!”
ซิ่งอวี่เจวียนดีใจมากเมื่อได้ยินเช่นนี้ “จริงหรือ?”
“รากบ่มเพาะของพี่สาวได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง เหตุใดตอนนั้นจึงไม่รักษาให้หายขาด?”
ซิ่งอวี่เจวียนกล่าวอย่างลังเล “ปะ...เป็เพราะข้ายังขาดน้ำทิพย์ในการฟื้นฟูรากบ่มเพาะ”
หนิงเทียนขมวดคิ้ว คำพูดที่ไม่จริงใจของนางทำให้เขาสงสัยมากยิ่งขึ้น “ตอนนี้ศิษย์พี่อยู่ขอบเขตผนึกดาราขั้นเจ็ดใช่หรือไม่?”
“ข้าเคยอยู่ขั้นแปดมาก่อน แต่เมื่อรากบ่มเพาะได้รับาเ็อย่างหนัก ข้าก็ตกลงมาที่ขั้นเจ็ดและติดอยู่ในสถานะนี้”
หนิงเทียนหยิบพู่กันิญญาหลากสีออกมาแล้วอธิบาย “ข้าจะใช้วิชาจิตรกรรมิญญาเพื่อให้รากบ่มเพาะบนเส้นทางสายนี้เข้าสู่ร่างของพี่สาว และใช้วิชาจิตรกรรมิญญาเพื่อดูดซับรากบ่มเพาะของพี่สาวลงสู่ก้นแจกัน นั่นจะทำให้การซ่อมแซมเร็วขึ้น”
ซิ่งอวี่เจวียนกล่าวด้วยความประหลาดใจ “วิชาจิตรกรรมิญญา? เ้าเป็จิตรกรจิติญญาหรือ?”
“อยู่ใน่ฝึกฝน”
หนิงเทียนไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เขาเพียงจ้องซิ่งอวี่เจวียนอย่างระมัดระวังแล้วสะบัดพู่กันไปในอากาศ เพียงไม่กี่จังหวะ ภาพโครงของหญิงสาวงดงามก็ถูกร่างออกมา
ซิ่งอวี่เจวียนมองด้วยความประหลาดใจ นางเห็นแสงริบหรี่กะพริบไหวบนพู่กัน จากนั้นไม่นาน ภาพร่างของนางที่ดูสมจริงก็เผยออกมาให้เห็น ไม่ว่าจะเป็น้ำเสียง หน้าตา รูปลักษณ์ภายนอก รวมถึงสีหน้าและอารมณ์ก็ล้วนเหมือนนางทั้งสิ้น
หนิงเทียนใช้สมาธิอย่างมาก เขาวาดซิ่งอวี่เจวียนขึ้นมาเก้าร่างในลมหายใจเดียว พวกนางต่างก็มีอิริยาบถเป็ของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดล้วนเข้ามาล้อมรอบร่างกายที่แท้จริง ก่อนที่ทั่วทั้งร่างจะส่องแสงระยิบระยับ และซึมซับต้นกำเนิดของเส้นทางสายนี้
ซิ่งอวี่เจวียนรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ราวกับมีตัวนางถึงเก้าคนกำลังซ่อมแซมรากบ่มเพาะในเวลาเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้จึงค่อนข้างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
---------------------------------------
[1] ศาสตร์เก้าวังแปดทิศ (九宫八卦) เป็ศาสตร์ที่ใช้ในการทำนายของนักดาราศาสตร์จีนโบราณ
[2] สัตว์เทวะจตุรทิศตามทฤษฎีปัญจธาตุ (四象五行) เป็ผู้ปกครองทิศทั้ง 4 บน์และเป็ตัวแทน 5 ธาตุหลักตามตำราจีน โดยมีัฟ้าแห่งทิศตะวันออกเป็ตัวแทนธาตุไม้ หงส์แดงแห่งทิศใต้เป็ตัวแทนธาตุไฟ เสือขาวแห่งทิศตะวันตกเป็ตัวแทนธาตุทอง และเต่าดำแห่งทิศเหนือเป็ตัวแทนธาตุน้ำ ซึ่งจะมีัทองประจำอยู่ที่จุดศูนย์กลางของ์และเป็ตัวแทนธาตุดิน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้