เขาหรี่ตาลงกึ่งหนึ่งจับจ้องมองนาง ั์ตาคู่นั้นอาบประกายลึกและตื้นดุจจันทร์เสี้ยวบนหินหยกดำ งดงามจับใจ เขายังเอ่ยถามอีกว่า "ข้าดูดีหรือไม่?"
เมิ่งอู่กระตือรือร้นอยากจะชกหน้าเขาสักหมัดจริงๆ แต่เมื่อเผชิญกับวงหน้าเยี่ยงนี้ คนคลั่งไคล้คนหน้าตาดีก็คิดว่าการทุบตีบุรุษรูปงามออกจะน่าเสียดายมาก...
เมิ่งอู่ถาม "เ้า้าสิ่งใดกันแน่?"
ซวี่เฉินฟางกล่าว "อย่ากังวลไปเลย นั่งตรงนั้นไม่เมื่อยหรือ?" เขายกมือตบเบาะข้างๆ "ข้าพูดกับเ้าเช่นนี้ช่างเมื่อยเหลือเกิน เ้าอยากนอนหรือไม่? นอนลงแล้วข้าจะบอกเ้าเอง"
หากไม่มีเขาอยู่ เมิ่งอู่คงล้มตัวนอนราบนานแล้ว ซ้ำนอนคนเดียวก็ออกจะกว้างขวาง แต่ยามนี้บุรุษผู้นี้กลับที่ของนาง
เมิ่งอู่กล่าวเสียงต่ำ "หากเ้าไม่บอก ข้าจะเตะเ้าลงไป"
ซวี่เฉินฟางยกยิ้มมุมปาก "ข้ามิได้มีเจตนาร้ายจริงๆ เพียงแต่ไร้หนทางไร้ที่ไป จึงได้แต่ไปหลบภัยในหมู่บ้านเพื่อเลี่ยงการเป็จุดสนใจ"
เมิ่งอู่ชายตามองเขาด้วยสายตาเ็า "เ้าไม่มีที่ไปหรือ? หอคณิกาในเมืองมีมากมาย เ้าไปพักอยู่ที่ละครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน หมุนเวียนรอบหนึ่งก็อยู่ที่นั่นได้อย่างน้อยปีครึ่งแล้วกระมัง?"
ซวี่เฉินฟางสงบมาก "ข้าก็อยากไป แต่หอคณิกาแพงนัก"
เมิ่งอู่หัวเราะเยาะ "คุณชายรองซวี่รังเกียจว่าแพงเช่นนั้นหรือ?"
ซวี่เฉินฟางกล่าว "ก็บอกแล้วอย่างไรเล่า ยามนี้ข้าเป็เพียงสุนัขจรจัด หากเ้าเต็มใจรับข้าไปอยู่ด้วย ข้าย่อมซาบซึ้งบุญคุณอย่างแน่นอน"
พูดจามีเหตุผลเช่นนี้ ช่างไร้ยางอายเสียจริง!
เมิ่งอู่นั่งอยู่บนเกวียนวัว เส้นทางขรุขระ ทำเอานางปวดหลัง นางมอบไก่ย่างให้ลุงหลิวซึ่งกินอิ่มแล้ว แต่ก็ยังขอให้รับไว้เพื่อนำกลับไปกินที่เรือน
ลุงหลิวรับไก่ย่างอย่างยินดีปรีดา
เมิ่งอู่หยิบขนมมากินรองท้อง
ซวี่เฉินฟางก็หยิบห่อใบบัวจากด้านข้างออกมาหนึ่งห่อ พอเปิดออก กลิ่นหอมหวานสดชื่นก็โชยเตะจมูก เมิ่งอู่เหลือบมอง ที่แท้ก็เป็ขนมเช่นกัน แต่ไยขนมของเขาถึงประณีตและน่าดึงดูดนักเล่า?
ซวี่เฉินฟางกล่าวเฉื่อยเนือย "หากจะซื้อขนม แน่นอนว่าต้องไปที่ร้านชิงฟางไจ นั่นเป็ร้านขนมที่ดีที่สุดในเมือง เ้าอยากลองชิมหรือไม่?"
เมิ่งอู่ชำเลืองมองด้วยสองตาแล้วไม่ขยับ
ซวี่เฉินฟางหยิบขนมกินเองหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ยื่นมือออกไปนอกเกวียนวัว ลูบปลายนิ้วสองครั้งเพื่อปัดเศษขนมที่เปื้อนอยู่ออก อีกมือยื่นห่อใบบัวมาตรงหน้าเมิ่งอู่
เมิ่งอู่ลองชิมหนึ่งชิ้น พบว่าอร่อยมากจริงๆ
เพียงแต่ขนมทำให้คอแห้ง หากกินมากโดยไม่ดื่มน้ำคงทรมานน่าดู
ซวี่เฉินฟางหยิบถุงน้ำออกมาใบหนึ่งจากด้านข้าง เปิดฝาออก เขารู้ดีว่าเ้าตัวน้อยไม่เอาไหนคนนี้ระวังตัวมาก จึงดื่มน้ำต่อหน้าเมิ่งอู่หนึ่งอึก จากนั้นค่อยยื่นให้นางดื่ม
เขาสง่างามและรู้จักวางตัวดีเยี่ยม เวลาดื่มน้ำระวังไม่ให้ปากถุงััริมฝีปากของตนเอง โดยเว้นระยะห่างเล็กน้อย
น้ำสะอาดในถุงน้ำไหลเข้าปากของซวี่เฉินฟาง ลำคอของเขาขยับขึ้นลงก่อนกลืนลงไป
เมิ่งอู่รับถุงน้ำมา นางไม่ได้ััปากถุงเช่นกัน เทเข้าปากสองสามอึก
ต่อมาเกวียนวัวโคลงเคลงกะทันหัน ทันใดนั้นซวี่เฉินฟางรีบยื่นมือออกมาจับนางไว้ ก่อนดึงนางลงไปนอนบนพื้นที่ว่างข้างเขา
เมิ่งอู่เหลือบมองใบบัวสีเขียวเหนือศีรษะเขาท่ามกลางแสงแดดแวบหนึ่ง เส้นใบชัดเจน เขียวขจีสดชื่น
นางเหนื่อยมาก พอนอนแล้วก็คร้านจะลุกขึ้นอีก จะต่อต้านเขาไปไย ตัวนางเองต่างหากที่นั่งเกวียนวัวคันนี้จนคุ้นชิน ส่วนเขาเป็เพียงคนที่เพิ่งมาใหม่
ดังนั้นเมิ่งอู่จึงเบียดซวี่เฉินฟางไปด้านข้างเพื่อให้ตนเองนอนสบายขึ้นอย่างสบายใจ
เมิ่งอู่ได้กลิ่นชะมดเชียงอ่อนๆ จากกายเขาด้วย
เกวียนวัวเคลื่อนไปตามทางอย่างเชื่องช้า โคลงเคลงไปมาทำเอาคนง่วงงุนอยู่บ้าง
เมิ่งอู่หลับตาพักผ่อนก่อนเอ่ย "หากเ้าอยากใช้ชีวิตแบบชาวบ้าน ก็อย่าคิดจะมาพักที่เรือนของข้า เ้าลองไปดูเรือนของชาวบ้านคนอื่นๆ สิ ด้วยรูปโฉมของเ้าคงหาที่พักค้างคืนได้อย่างไม่มีปัญหา"
ซวี่เฉินฟางกล่าว "เรือนผู้อื่นสภาพไม่ดีนัก ข้าได้ยินมาว่าเรือนของญาติผู้น้องเพิ่งสร้างใหม่ ข้าน่าจะปรับตัวได้"
เมิ่งอู่ "...อย่าได้คิด"
ลุงหลิวช่างรู้ทุกเื่จริงๆ และยังเล่าให้บุรุษผู้นี้ฟังไม่หยุด...
ซวี่เฉินฟางเอื้อมมือข้ามตัวเมิ่งอู่ไปหยิบกาสุราที่นางซื้อมา ก่อนกล่าวอย่างอารมณ์ดี "เ้ากินขนมของข้า ข้าดื่มสุราของเ้าได้กระมัง"
เมิ่งอู่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด "ไม่ได้!"
นางรีบแย่งกลับมาทันที แต่ซวี่เฉินฟางกลับยื่นมือออกไปนอกเกวียนวัว ทำให้เมิ่งอู่คว้าพลาด เขายังเอ่ยถามลุงหลิว "ท่านลุงหลิว ข้าดื่มได้หรือไม่?"
ลุงหลิวหัวเราะก่อนเอ่ย "ถึงอย่างไรเมิ่งอู่ก็ซื้อมาให้ข้าดื่ม ข้าดื่มสุราดีๆ ของเ้าไปแล้ว กานั้นก็ให้เ้าดื่มเถิด"
ซวี่เฉินฟางมองเมิ่งอู่พลางผลิยิ้ม ก่อนกล่าวกับลุงหลิว "ขอบคุณท่านลุงหลิวขอรับ"
เขาเปิดจุกกา แล้วรินสุราเข้าปากตรงๆ โดยไม่หกแม้แต่หยดเดียว ยากที่จะทำให้คนเพิกเฉยกับทุกอิริยาบถที่มั่นใจไร้กังวลไร้ความระมัดระวังของเขาได้
เมิ่งอู่คร้านจะโกรธเขาอีกต่อไป นางหลับตาลง ไม่มองเขาอีก กลิ่นชะมดเชียงอ่อนๆ โชยมาจากกายเขาผสานกับกลิ่นสุราหอมกรุ่น ช่างเป็กลิ่นหอมที่อธิบายไม่ได้
ต่อมาดวงตะวันค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงทางทิศตะวันตก ใบบัวเหนือศีรษะบังแสงอาทิตย์ไม่มิดอีกต่อไป แสงจึงส่องกระทบใบหน้าคน
อากาศเช่นนี้ช่างชวนให้คนเกียจคร้านจริงๆ เปลือกตาของเมิ่งอู่โดนแดดเล็กน้อย แต่นางก็คร้านจะลืมตา ได้แต่เอื้อมมือไปคว้าใบบัวเหนือศีรษะหลายใบลงมาปิดหน้าไว้โดยตรง
ััที่เย็นสดชื่นทำให้รู้สึกสบายขึ้นมาก
ซวี่เฉินฟางก็เลื่อนใบบัวไปบังดวงอาทิตย์ ใบบัวสั่นไหวไปมา แต่ไม่ได้ร่วงลงมาปิดหน้าทั้งหมดของเขา
สองขาของเขาไขว่ห้าง ใช้แขนหนุนศีรษะ ปากคาบก้านหญ้าเรียวยาวอย่างสบายอารมณ์ เขาปิดตาลงครึ่งหนึ่ง รูม่านตาในตาที่ดุจหมึกเปี่ยมไปด้วยแสงบางเบา มองชื่นชมท้องฟ้าสีครามไร้สิ่งเจือปนภายนอกใบไม้สีเขียว
ดูคล้ายเวลาเดินช้าลงบนถนนที่คดเคี้ยวเส้นนี้
พอเข้าสู่ถนนในหมู่บ้านก็เป็เวลาเย็นพอดี
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งยังคงแขวนอยู่บนนภา
แสงสายัณห์ดุจเปลวเพลิง ทำให้ทั่วพสุธาเป็สีทองอร่าม
มองไปรอบๆ เห็นพืชผลมากมายในทุ่งนา ป่าไผ่อยู่ไกลลิบ ทั้งหมดล้วนเป็สีเขียวขจีอมแดงทองนิดหน่อย บ้านเรือนในหมู่บ้านที่อยู่ท่ามกลางควันไฟจางๆ ก็ดูอบอุ่นและนุ่มนวล
ซวี่เฉินฟางอารมณ์ดียิ่งยวด เขาหรี่ตามองพืชผลบริบูรณ์ ก่อนกล่าว "ข้าวฟ่างเยอะมาก"
ลุงหลิวแนะนำเขา "ที่นี่เรียกว่าหมู่บ้านซุ่ย เป็หมู่บ้านที่มีข้าวฟ่างมากที่สุดในรัศมีร้อยหลี่"
ซวี่เฉินฟางยิ้มเอ่ย "ช่างเป็สถานที่ที่งดงามนัก" เสียงของเขาทุ้มนุ่มและอ่อนโยน ไพเราะจับใจ
ระหว่างทางมักพบชาวบ้านที่กลับเรือนหลังตะวันตกดินเสมอ
พวกเขาทักทายลุงหลิวอย่างกระตือรือร้น เลี่ยงไม่ได้ที่จะเห็นว่าบนเกวียนวัว นอกจากเมิ่งอู่แล้ว ยังมีบุรุษชุดแดงรูปโฉมหล่อเหลามากนั่งอยู่ จึงอดเอ่ยถามว่าเขาเป็ใครไม่ได้
ลุงหลิวตอบทุกคำถาม บอกว่าเขาเป็ญาติผู้พี่ห่างๆ ของเมิ่งอู่
เมิ่งอู่ประท้วง “ท่านลุง อย่าบอกว่าเป็ญาติข้าส่งเดชเช่นนี้ ข้าไม่มีญาติแบบนี้”
ลุงหลิวกล่าว "เฉินฟางรูปโฉมไม่ธรรมดา ทั้งยังใจกว้าง หากมิใช่มาเยี่ยมญาติที่บ้านเกิด แล้วจะมาทำอันใดในชนบทห่างไกลของพวกเราเช่นนี้เล่า?"
ซวี่เฉินฟางใช้ชื่อแซ่ปลอมเพื่อปิดบังแซ่ของตนเอง มิเช่นนั้นในเมืองมีคนสกุลซวี่ไม่กี่คน หากสืบดูก็รู้แล้ว
ก่อนหน้านี้ระหว่างทางยามที่เมิ่งอู่พูดคุยกับเขา ทั้งคู่นอนอยู่ท่ามกลางสินค้า ลุงหลิวมึนเมาเพราะดื่มสุราดีที่ซวี่เฉินฟางมอบให้จนหมด จึงอาจไม่ได้ตั้งใจฟังหรือฟังแล้วไม่ใส่ใจ
เหตุผลของลุงหลิวในยามนี้ก็สมเหตุสมผลพอแล้ว
ซวี่เฉินฟางทั้งร่ำรวยทั้งรูปงาม หากไม่ใช่มาเยี่ยมญาติที่บ้านเกิด ผู้ใดจะทิ้งชีวิตสุขสบายในเมือง แล้วมาทนต่อความลำบากในชนบทเยี่ยงนี้?