หลังจากออกมาจากโรงพยาบาลเขาก็หาที่นั่งที่นั่งได้สะดวก เพื่อปรับอารมณ์อยู่สักพัก รอหลิวฉู่กลับมารับดูเวลายังเช้าอยู่กู้หลานอันจึงให้หลิวฉู่พาเขากลับบ้านพอถึงตึกข้างล่างก็บังเอิญเจอเหวินเซินเท่อและหลี่เสียวเหม่ยที่กำลังถือเสื้อผ้าของเจาเยี่ยออกมาพอดีกู้หลานอันดวงตาเป็ประกายขวางเหวินเซินเท่อไว้แล้วอาศัยข้ออ้างว่าเป็ครั้งแรกที่เข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้ไม่รู้ว่าควรจะใส่ชุดอะไรดีอยากขอเรียนรู้จากเจาเยี่ย แล้วเขาก็แอบดูสไตล์เสื้อผ้าของเจาเยี่ยที่จะใส่ในตอนค่ำสุดท้ายเขาก็ไม่ได้กลับเข้าบ้าน นั่งอยู่ที่แท่นวางดอกไม้แล้วโทรศัพท์หาหวังเว่ยหลังจากสอบถามหวังเว่ยว่าอยู่ที่ไหน เขาก็สวมแว่นตาหมวกและหน้ากากผ้าให้ตัวเองรอหวังเว่ยมาหารอจนหวังเว่ยมาถึง อุปกรณ์ครบครันก็ขึ้นรถแล้วให้หลิวฉู่พาตัวเองไปร้านขายเสื้อผ้า
ไม่รู้ว่าเข้าร้านเสื้อผ้าไปทั้งหมดกี่ร้านแต่กู้หลานอันก็ยังคงส่ายหัวและเดินออกจากร้านหวังเว่ยเห็นดังนั้นก็เตือนเขาด้วยความหวังดีว่า “หลานอันตอนนี้เป็เวลาห้าโมงเย็นแล้ว งานเลี้ยงเริ่มตอนหกโมงเย็นโดยทั่วไปงานเลี้ยงแบบนี้ควรไปถึงงานก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงการแต่งกายไม่จำเป็ต้องหรูหรามากเกินไปคุณไม่จำเป็ต้องเลือกอย่างละเอียดขนาดนี้ก็ได้”
“ผมรู้ ผมไม่ได้คิดจะเลือกเสื้อผ้าอย่างละเอียดเพื่องานเลี้ยงแบบนี้หรอก” ปากของกู้หลานอันบอกว่าไม่ได้คิด แต่วินาทีต่อมาเขาเลี้ยวเข้าไปอีกร้านที่อยู่ข้างๆ
หวังเว่ย: ถ้านี่ไม่ได้เลือกอย่างละเอียดแล้วคุณกำลังทำอะไรอยู่ (o''ω''o)?
หลังจากนั้นเขาเข้าไปอีกสองสามร้านในที่สุดเขาก็ซื้อเสื้อที่ชอบที่สุดได้สักที กู้หลานอันเปลี่ยนชุดในร้าน จากนั้นเขาก็เข้าร้านแต่งหน้า “เซอร์ก้า” (ร้านแต่งหน้าส่วนตัวสำหรับดาราที่เปิดโดยดาราที่ล่วงลับไปแล้ว) อย่างพึงพอใจ หลังจากที่เขาแต่งหน้าเสร็จก็รีบตรงไปยังสถานที่ที่จัดงานเลี้ยง
เมื่อถึงสถานที่จัดงาน แเื่ก็มากันพอสมควรแล้วทันทีที่กู้หลานอันเดินเข้าไปในงาน ก็ดึงดูดสายตาได้เป็อย่างมากนอกจากสายตาคนในงานมากองรวมกันเพราะตัวของเขาเองแล้ว อีกจำนวนหนึ่งก็มากองกันเพราะชุดที่เขาสวมใส่การแต่งกายลักษณะพิเศษั้แ่หัวจรดเท้าเหมือนกับชุดของซุปเปอร์สตาร์เจา [1] ในงานโอ่อ่าหรูหราอย่างแท้จริงแบบนี้ แต่กลับไม่มีใครหัวเราะเยาะพวกเขาถึงแม้สองคนนี้จะใส่ชุดที่ถอดแบบออกมาจากพิมพ์เดียวกัน แต่พอชุดอยู่บนร่างทั้งสองคนมันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน เหมือนดั่งน้ำแข็งและเปลวเพลิง ดวงและเดือนดอกบัวและโบตั๋น
อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดใหม่กู้หลานอันก็ได้พัฒนาความสามารถในการเมินเฉยต่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าและไม่คิดจะสนใจเพียงแวบเดียวเขาก็มองเห็นเจาเยี่ยที่ถือแก้วเหล้า นั่งก้มหน้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ตรงมุมห้องเขาเม้มปากและเดินตรงไปหาเจาเยี่ยโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
“เฮ้ หลานอันคะ คุณมาแล้วเหรอ? ” เมื่อเห็นกู้หลานอัน สวีย่าออกแรงดึงเสื้อตัวเองลง แล้วเดินมาใกล้เขากู้หลานอันไม่ได้มองเธอแม้แต่หางตาแต่เดินตรงไปตรงหน้าเจาเยี่ยแล้วเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปลื้มปีติว่า “เจาเยี่ย”
เจาเยี่ยเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของกู้หลานอัน และเมื่อได้เห็นการแต่งตัวของเขาแล้วเจาเยี่ยก็ผงะไปทันที หัวคิ้วขมวดเป็ปมทำไมกู้หลานอันถึงได้ใส่เสื้อผ้ารองเท้าแบบเดียวกับเขามาร่วมงานเลี้ยงได้แต่พอคิดดูอีกทีเขาก็รู้คำตอบ
“มีเื่อะไร? ” หลังจากเดาเหตุผลได้จู่ๆ เจาเยี่ยก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ ถามเขาเสียงเ็า
“ไม่ ก็อยากรู้ว่าแผลนายดีขึ้นบ้างรึยัง” กู้หลานอันขบฟันเบาๆและยิ้มอย่างสดใส
“ดีขึ้นเยอะแล้ว ขอบคุณที่เป็ห่วง” เจาเยี่ยตอบ
“ถ้าอย่างนั้น ก่อนมาร่วมงานคืนนี้นายทายาไปรึยัง” กู้หลานอันถาม
เจาเยี่ยไม่ได้รีบตอบในทันทีเขาแค่มองท่าทีความห่วงใยของเขาแวบหนึ่งแบบไม่เหลือร่องรอยไว้ แล้วตอบเขาว่า “ทาแล้ว”
“ทาแล้วก็ดี” กู้หลานอันยิ้มเดิมทีอยากจะตรงไปนั่งข้างเจาเยี่ยเลย แต่ก็คิดว่าตอนนี้เขาคงไม่สบายใจอยู่ไม่อยากไปกวนให้เขาอารมณ์เสียเข้าไปอีก เลยถามอย่างระมัดระวังว่า “เจาเยี่ย ฉันอยากนั่งข้างๆ นาย ได้ไหม? ”
เป็ครั้งแรกที่เห็นกู้หลานอันในลักษณะนี้ เจาเยี่ยกะพริบตาใจอ่อนลงทันทีแล้วพูดเสียงเรียบว่า “อยากนั่งก็นั่งโซฟาตัวนี้ฉันไม่ได้เหมาไว้สักหน่อย”
“นั่นสินะ เจาเยี่ยนายใจดีที่สุดเลย” กู้หลานอันพูดด้วยรอยยิ้มสดใสแล้วรีบนั่งลงข้างๆ เจาเยี่ย จ้องไปที่ใบหน้าด้านข้างของเขาอยู่นานโดยไม่รอให้เจาเยี่ยเอ่ยปาก เขาก็หาเื่ชวนคุยก่อนว่า “เจาเยี่ย นี่เป็ครั้งแรกที่ฉันเข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้ต่อจากนี้เขาจะทำอะไรกัน? ฉันยังไม่รู้เลยเดี๋ยวฉันต้องทำอะไรบ้างนายบอกให้ฉันรู้หน่อยได้ไหม? จะได้เตรียมตัวไว้ก่อน”
“ก็ไม่ต้องทำอะไร งานเลี้ยงแบบนี้ โดยทั่วไปก็มีแค่ผู้กำกับที่มาเปิดงานพูดกล่าวเปิดพิธีและกล่าวคำอวยพรล่วงหน้า ก็เหมือนงานเลี้ยงทั่วไปนั่นแหละ” เจาเยี่ยอธิบาย
“ดีเลย ฉันกลัวว่าเดี๋ยวต้องทำอะไรแล้วฉันจะรับมือไม่ได้” กู้หลานอันลูบหู
“ไม่หรอก” เจาเยี่ยพูดจบ พลางยกน้ำส้มที่วางอยู่ข้างตัวเองยังไม่ทันได้วางลง ก็เห็นร่างของหลินเซวียนตรงหน้าประตู เขาทำปากยื่นแล้ววางน้ำส้มหน้าตัวเอง ยันร่างลุกขึ้นแล้วเดินไปทางหลินเซวียน
“เจาเยี่ย...” กู้หลานอันมองเขาด้วยความสงสัยมองตามทางที่เขาเดินไป ดวงตาหมองลง แล้วเก็บคำถามกลับเข้าไปในใจ
หลินเซวียนถูกเชิญมาร่วมงานในฐานะผู้ร่วมลงทุนเมื่อเข้ามาในงานก็กวาดตามองหาร่างของเจาเยี่ยไปทั่ว พอเห็นเขาเดินตรงมาทางตัวเองหลินเซวียนก็มุ่งตรงเข้าไปหาเขาอย่างภาคภูมิใจสุดๆ แต่เจาเยี่ยกลับเดินเลยเขาไปไปคุยกับจางเจียอี้ที่อยู่ทางด้านหลังของเขา
หลินเซวียนโกรธจนเกือบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่หาได้ยากมากที่เจาเยี่ยจะเป็คนเริ่มไปคุยกับคนอื่นก่อนแม้ว่าจะเป็ธุระด่วนก็พูดไม่เกินสองคำแต่ว่าตอนนี้เขากลับเป็คนเริ่มคุยกับจางเจียอี้ก่อนและคุยกันนานมาก หรือเจาเยี่ยอยากแสดงให้หลินเซวียนรู้ว่าไม่อยากคุยด้วย
สัตว์เลี้ยงที่หลินเซวียนคนนี้เลี้ยงไว้ั้แ่ไหนแต่ไรมา [2] ตอนนี้กล้าแว้งกัดฉันแล้วเรอะ? กำเริบเสิบสานใหญ่แล้วใช่ไหม? หลินเซวียนจ้องเขม็งไปที่เจาเยี่ย กัดฟันกรอดแต่พอมีคนถือเครื่องดื่มเดินผ่านมาเขาก็ยิ้มออกมาอย่างสุภาพแต่แฝงด้วยความเหินห่าง
คิดว่าเจาเยี่ยเห็นหลินเซวียนปรากฏตัวขึ้นก็ทิ้งตัวเองไปแบบไม่พูดไม่จาแต่คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไปหาจางเจียอี้ ทำให้กู้หลานอันมีความสุขจนตัวแทบลอย เขายกเครื่องดื่มที่เจาเยี่ยดื่มค้างไว้เมื่อสักครู่ขึ้นมาแล้วหมุนแก้วให้ตรงกับมุมที่เจาเยี่ยเพิ่งดื่มเมื่อครู่จากนั้นก็ดื่มมันเข้าไปอึกหนึ่ง
“อร่อยจัง~” เขาสูดปากแล้วพูดชมไปด้วยกู้หลานอันยกขึ้นดื่มอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้วจากนั้นเขาก็ถือไวน์หนึ่งแก้วเดินตรงไปทางเจาเยี่ยกับจางเจียอี้
กำลังจะถึงเบื้องหน้าหลินเซวียน ทันใดนั้นเขาก็ถูกคนชนเข้าเต็มๆที่น่าแปลกก็คือ ไวน์ของเขาไม่กระเด็นเลยสักหยดแต่สวีย่าคนที่ชนเขาถูกไวน์ของตัวเองหกใส่ทั้งตัว โดยเฉพาะบนกระโปรงสีชมพูของเธอซึ่งเห็นได้ชัดเจนมาก
กู้หลานอัน: เธอตั้งใจเดินชนขนาดนี้นึกว่าฉันดูไม่ออกเหรอ?
“ขอ ขอโทษด้วยค่ะ” กู้หลานอันยังไม่ได้พูดอะไรแต่สวีย่าผู้รับเคราะห์ที่ตื่นตระหนกใทำอะไรไม่ถูกรีบเอ่ยคำขอโทษ
“ไม่เป็ไร เธอไม่เป็อะไรใช่ไหม? ” อีกฝ่ายสุภาพขนาดนั้น กู้หลานอันก็ไม่สามารถหักหน้าเธอต่อหน้าสาธารณชนได้เขาวางแก้วไวน์บนถาดของพนักงานที่เห็นเหตุการณ์ แล้วรีบเอากระดาษเช็ดมือมาส่งให้เขาหยิบกระดาษเช็ดมือแล้วคลี่ออกและส่งให้สวีย่าอย่างสุภาพบุรุษ
“ไม่เป็ไรค่ะ” สวีย่าวางแก้วลงรับกระดาษมาเช็ดกระโปรงเกาะอกราคาสูงลิ่วของเธอซึ่งหาคนมาตัดเย็บเป็พิเศษเพื่อให้ตัวเองโดดเด่นไม่เป็รองใครในงานนี้เธอมองดูรอยเปื้อนไวน์ที่ถูยังไงก็ยังมีคราบหลงเหลืออยู่ แล้วพูดอย่างน่าสงสารว่า “ฉันไม่ได้เตรียมชุดมาเปลี่ยน ในเมื่อมันสกปรกและอีกเดี๋ยวงานก็จะเริ่มแล้วฉันไม่มีชุดใส่แน่ๆ เลย”
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ชอบใส่สินค้าราคาถูก P: จริงๆแล้วสินค้าราคาถูกในสายตาของดาราก็คือเสื้อเชิ้ตที่นักเขียนใส่เป็ประจำและซื้อจาก Taobao ราคา 30 หยวนโดยประมาณ
[2] หลินเซวียนคิดแบบนี้เพราะว่า ละครเื่แรกที่เจาเยี่ยถ่ายทำดังเป็พลุแตกหลังจากถูกแมวมองค้นพบตอนที่ยังเป็ขอทานส่วนละครเื่ที่สองทุนสร้างมาจากเงินลงทุนทั้งหมดของครอบครัวหลินเซวียน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้