จางเหม่ยอิงยืนมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกด้วยความหลงใหลราวกับว่าเธอเพิ่งเคยเห็นใบหน้าอันงดงามของตัวเองเป็ครั้งแรก...
เส้นผมดำขลับยาวสลวยล้อมรอบใบหน้าเรียวเล็ก ผิวพรรณขาวนวล แก้มแดงระเรื่อราวกับกลีบกุหลาบ ดวงตาคู่งาม และจมูกโด่งรับกับริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มสดใส
จางเหม่ยอิงหมุนตัวอย่างรวดเร็วไปมา ยิ้มยกมุมปากยกขึ้นอย่างพอใจก่อนจะเริ่มสำรวจเรือนร่างที่มีความอ่อนช้อยในชุดฮั่นฝูเต็มยศ
หงเอ๋อร์และหลิวกงหยวนได้แต่มองดูนายของตนด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งประหลาดใจและกังวลใจ พวกเขาไม่เคยเห็นคุณหนูจางในท่าทีเช่นนี้มาก่อน เหมือนว่าเธอได้กลายเป็คนใหม่ ไม่ใช่คุณหนูที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อยเช่นเคย
หลังจากตรวจสอบข้าวของในห้องอย่างละเอียด จางเหม่ยอิงก็พบผ้าแพรผืนหนึ่งที่มีกลิ่นบางอย่างที่คุ้นเคย
“กลิ่นเมล็ดผิงกั่ว?” ตอนที่เรียนมหาวิทายาลัยเคยค้นเจอว่ามันเป็สารประกอบเดียวกันกับไซยาไนด์ในยุคปัจจุบัน หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที แล้วมันมาอยู่ที่ห้องนี้ได้อย่างไรกัน?
“ไม่คิดมาก่อนเลยว่าในยุคนี้จะมีการใช้เมล็ดผิงกั่ว… ใครกันที่นำมันมาใช้ หรือว่านี้คือการฆาตกรรม ร่างเดิมของข้าไม่ได้ป่วยตาย?”
จางเหม่ยอิงสวมบทบาทเป็นิติเวชสาวและเริ่มต้นสืบหาต้นตอด้วยความรู้ด้านนิติวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในหัว เธอสังเกตเห็นว่ากลิ่นนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ที่ผ้าแพรเท่านั้น แต่มันยังติดอยู่ตามสิ่งของอื่นๆ ในห้อง ไม่ว่าจะเป็เครื่องประดับหรือแม้แต่กาน้ำชา ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ที่อยู่ในร่างเดิมอาจจะัักับพิษนี้หลายครั้งจนสะสมเข้าไปในร่างกาย ค่อยออกอาการป่วยและเสียชีวิตในท้ายที่สุด
“พิษจากเมล็ดผิงกั่วนั้นจะไม่ทำให้เหยื่อตายในทันที แต่จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ หายใจลำบาก และหัวใจเต้นเร็ว ก่อนจะนำไปสู่ความตายอย่างช้าๆ…”
เธอพึมพำเบาๆ พร้อมเดินสำรวจไปรอบห้องอย่างระมัดระวัง ด้วยรู้ดีว่าเบาะแสที่มีอยู่นี้อาจจะเป็กุญแจสำคัญในการไขคดีการตายของร่างเดิม
หลังจากนั้นจางเหม่ยอิงได้เดินผ่านสวนหย่อมกลางจวนและบังเอิญได้ยินสาวใช้กลุ่มหนึ่งพูดคุยกันอย่างออกอรรถรสเกี่ยวกับตนแอง
“ครั้งล่าสุดที่แม่นางผิงชิงเสียมาหาคุณหนู นางนำของขวัญวันแต่งงานมาให้ เห็นว่าเป็ผ้าแพรผืนหนึ่ง ทันทีที่คุณหนูรับไว้ ท่าทีของนางก็เปลี่ยนไปทันที”
“ข้าเองก็อดสงสารคุณหนูจางของพวกเราไม่ได้ นางเคยสนิทกับแม่นางผิงชิงเสียมาก่อนแต่กลับต้องมาแตกหักกันเพราะองค์ชายสามคนเดียว”
“ข้าเองก็ได้ยินมาว่าองค์ชายสามรักแม่นางผิงชิงเสียมากแต่เพราะถูกบังคับให้แต่งกับคุณหนูของเรา จึงไม่พอใจคุณหนูของเราเป็อย่างมาก”
“คุณหนูของพวกเราช่างน่าสงสารเสียจริง ข้าเองก็ไม่ชอบแม่นางผิงชิงเสียเอาเสียเลย ถ้าสังเกตดีๆ นางไม่ได้เป็มิตรกับคุณหนูของเราเลยสักนิด มีแต่คุณหนูของพวกเราที่มองว่านางยังเป็สหาย”
จางเหม่ยอิงหยุดชะงักทันที คำพูดเ่าั้จุดประกายความสงสัยในใจเธอ
“ผิงชิงเสีย…ผ้าแพร?”
จากนั้นด้วยความสงสัยจางเหม่ยอิงรีบไปหาหงเอ๋อร์และสอบถามข้อมูลทันที
“ไม่นานมานี้ ผิงชิงเสียเคยมาเยี่ยมข้าจริงหรือ?”
หงเอ๋อร์ถอนหายใจ “ใช่เ้าค่ะ แต่ท่านไม่ควรใส่ใจนางมากนัก นางไม่เคยจริงใจกับท่านเลยสักนิด มาทีไรก็มักจะพูดจาหยอกล้อเสียดสี ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณหนูถึงทนฟังคำพูดเ่าั้ ไหนจะองค์ชายสามที่มักจะปกป้องนางจนออกนอกหน้า”
“องค์ชายรักนางหรือ?” จางเหม่ยอิงถามขึ้น
“คุณหนูอย่าได้เสียใจเลยเ้าค่ะ ใครไม่รักท่านก็ช่าง แต่บ่าวรักท่านอย่างหมดใจ และจะภักดีต่อท่านเพียงคนเดียว...”
ได้ฟังเื่ราวเท่านี้ จางเหม่ยอิงก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดในทันทีถึงความสัมพันธ์ที่คลุมเครือนี้
ผิงชิงเสียดูจะเป็ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งที่อาจมีส่วนทำให้เ้าของร่างเดิมหายไปเพราะความหึงหวง ต่อให้ความรักขององค์ชายสามไม่สำคัญกับเธอก็ตามที แต่จางเหม่ยอิงรู้ว่าควรไปพบผิงชิงเสียด้วยตนเองสักครั้ง
หลังจากเครียดมาทั้งวันแล้วจางเหม่ยอิงจึงขออนุญาตบิดามารดาไปเที่ยวเล่นข้างนอก แม้ทั้งสองจะเป็ห่วงแต่เพราะความรักที่มีต่อลูกสาวพวกเขาก็ยอมให้นางออกนอกจวนเพื่อไปเที่ยวเล่น
หลังจากออกจากจวน จางเหม่ยอิงรู้สึกถึงสายตาของผู้คนที่จ้องมองนางด้วยความชื่นชม ก็รูปโฉมของร่างนี้งดงามจนใครๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง
จางเหม่ยอิงบอกหงเอ๋อร์และขบวนของผู้ติดตามว่าอยากจะไปที่ร้านหนังสือ หงเอ๋อร์จึงเดินไปส่งไปถึงหน้าร้านและถึงแม้จะเป็ห่วงคุณหนูแค่ไหน แต่ก็ยอมให้คุณหนูเข้าไปเพียงคนเดียวตามคำขอของนางว่าอยากได้ความเป็ส่วนตัว
เมื่ออยู่ในร้าน จางเหม่ยอิงเลือกดูหนังสือตำราต่างๆ อย่างสนอกสนใจ ส่วนใหญ่เป็หนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรและตำราอักษรโบราณ ทันใดนั้น หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนมีสายตาแปลกๆ จ้องมองมา จางเหม่ยอิงหันไปและชนเข้ากับแผงอกของชายหนุ่มคนหนึ่ง
หญิงสาวถอยหลังออกมา มองเขาอย่างใ!
ใบหน้าชายหนุ่มตรงหน้านั้นดูคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด นี่คือใบหน้าของอาจารย์หวังที่เธอแอบรักชัดๆ! ทว่าดวงตาของเขาเ็าและดุดัน ไม่อบอุ่นเช่นที่เคยเป็..
"หลีกทางให้ข้าเถอะเ้าค่ะ ข้าไม่รู้จักท่าน และข้าก็จะกลับจวนแล้ว"
จางเหม่ยอิงตอบเสียงเรียบพลางสงวานท่าทีของตัวเองอย่างแเีไม่ให้ตื่นเต้นไปกับใบหน้าที่หล่อเหลาเหมือนกับอาจารย์หวัง
ชายหนุ่มตรงหน้าขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
"เ้าจำคู่หมั้นของตัวเองไม่ได้หรือ? เราเจอกันออกบ่อยไป จางเหม่ยอิง"
จางเหม่ยอิงยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คู่หมั้น? อย่าบอกนะว่านี่คือองค์ชายสามคนนั้น?
"จำไม่ได้ก็คือจำไม่ได้ ข้าขอให้ท่านหลีกทางเพราะตอนนี้ข้าไม่มีเวลามาสนทนากับท่านนักหรอก องค์ชาย"
หวังกู้หย่งประหลาดใจกับท่าทีของหญิงสาวตรงหน้าเป็อย่างมาก ปกติจางเหม่ยอิงเป็คนขี้กลัวแค่สบตาเขาก็หน้าซีดแล้ว แต่คราวนี้นางกลับยืนประจันหน้าและถียงเขาอย่างไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
“เ้ากล้าพูดกับข้าเช่นนี้จริงหรือ จางเหม่ยอิง? ที่ข้าเข้าหาเ้าในวันนี้ก็เพราะข้าเพียง้าให้เ้ายกเลิกงานแต่งงานนี้ ข้ามีคนที่อยากแต่งงานด้วยอยู่แล้ว นั่นคือผิงชิงเสีย หากไม่ใช่เหตุผลนี้ข้าคงไม่เดินเขาหาคนตระกูลจางที่น่ารังเกียจอย่างเ้าหรอก”
จางเหม่ยอิงหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นก็ยกเลิกเองสิ ข้าไม่ได้รักท่าน และไม่อยากแต่งงานกับท่านเช่นกัน แต่ข้าจะไม่เป็ฝ่ายขอยกเลิก เพราะถ้าตระกูลจางของข้าขัดราชโองการ ฮ่องเต้ก็ต้องปะาครอบครัวของข้า แต่ถ้าฝ่ายของท่านยกเลิกเอง ฮ่องเต้ก็คงจะไม่ทำอะไรท่านหรอกเพราะท่านเป็บุตรของเขา หรือว่าท่านไม่กล้า?”
หวังกู้หย่งจ้องมองจางเหม่ยอิงด้วยความโกรธเกลียด ทว่าไม่ทันได้ตออะไรบ ตวนเฟิงก็เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
"องค์ชายสาม ฮองเฮาทรงเรียกพบท่านพ่ะย่ะค่ะ"
หวังกู้หย่งหันมองตวนเฟิง ก่อนจะปรายตามองจางเหม่ยอิงอย่างเ็าโดยไม่เอ่ยอะไร เขาหันหลังเดินออกจากร้านไปทันที ทิ้งให้จางเหม่ยอิงยืนอยู่ลำพังด้วยความรู้สึกโล่งใจและสงสัยถาโถมเข้ามาพร้อมกัน
“หน้าตาเหมือนกันก็จริง แต่นิสัยต่างกันสุดขั้ว อย่างไรจารย์หวังก็ดีกว่าเห็นๆ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้