“เป็ความคิดที่ดี!” ดวงตาของซูจื่อเยี่ยเผยรอยยิ้มเล็กน้อย อย่างที่คาด แม่สาวน้อยของเขาหลักแหลม ใช้ได้!
ภายในจวนที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง ต้องมีลูกไม้เช่นนี้จึงจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้
ซูจื่อเยี่ยไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าแม่สาวน้อยจะยินยอมหรือไม่
“คุณชายน้อยผู้สูงศักดิ์ เหตุใดเ้าจึงทำเกินเหตุเช่นนี้ นึกถึงตอนนั้นหากไม่ใช่ข้ากับท่านแม่ข้า...” หลิวเสี่ยวหลันซึ่งแปลงร่างเป็ดอกบัวขาวเล็ก ในที่สุดก็มีโอกาสออกหน้าบ้าง
นานๆ ทีซูจื่อเยี่ยจึงจะเบนสายตามาที่นาง
“เป็เช่นนั้นจริงหรือ?”
สายตาดั่งใบมีดน้ำแข็งค่อยๆ กรีดลงบนกระดูกของนาง ราวกับได้ยินเสียงซู่ซ่า จึงรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
“ตอนนั้น...”
หลิวเสี่ยวหลันบังคับให้ตนเองสงบ นางไม่สามารถปล่อยความมั่งคั่งในมือให้หลุดลอยไปได้ นับั้แ่เล็กหมอชะตาก็ทำนายว่านางมีบุญวาสนาดี
หากแต่ดวงตาของซูจื่อเยี่ยเ็า ไม่พูดไม่จา!
และปรากฏรังสีพิฆาตอยู่โดยรอบ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกราวกับอยู่ตรงกลางลานซ้อมรบ ข้างหูมีเพียงคำว่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า!
หลิวเต้าเซียงมองดูถึงกับตะลึง ที่แท้เ้าหมอนี่ยังมีความเืเย็น เหี้ยมโหดแบบนี้ด้วย
“เต้าเซียง!” จู่ๆ หลิวเหรินกุ้ยก็ขานชื่อนาง
เขากลืนน้ำลายเบาๆ รู้สึกว่าลำคอแห้งผากราวกับบ่อน้ำแห้งและมีควันพุ่งออกมา
หลิวเต้าเซียงมองลงมาเล็กน้อยที่เขา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและยิ้มเหมือนดอกไม้
“พี่จื่อเยี่ย โอ๊ย พอถูกพวกนางปั่น ข้าเกือบลืมเื่สำคัญเลย”
เื่สำคัญคืออะไร?
ก็ต้องเื่เขียนใบค้างชำระหนี้อยู่แล้ว
“ท่านย่าหลิว รีบเขียนเถิด ขืนร่ำไรไปก็เปล่าประโยชน์ อย่างไรก็ต้องเขียนอยู่ดี ตอนนี้ใกล้่เที่ยงแล้ว ท่านไม่หิว แต่ข้าเริ่มหิวแล้ว”
ซูจื่อเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองด้านนอกประตู แล้วพยักหน้าอย่างขึงขัง
“ก๋วยเตี๋ยวเส้นเป็ประกาย”
หมายความว่า เขากำลังสั่งอาหารที่เขาชอบกิน
“นั่นเรียกว่าแป้งมันเทศ วันนี้กลางวัน เราจะกินซวนล่าเฝิ่นกัน ดีหรือไม่?” หลิวเต้าเซียงยิ้มแย้ม
ซูจื่อเยี่ยหัวใจเบิกบาน!
ในท้ายที่สุดหลิวฉีซื่อก็จนปัญญา จึงถูกบีบให้เขียนใบค้างชำระหนี้ นางรู้ว่าถึงแม้ตนเองจะพิรี้พิไรอย่างไรก็ต้องเขียนอยู่ดี
ใครจะเดาได้ว่า แผนการที่นางวางไว้เมื่อตอนรุ่งเช้า คือการได้เงินก้อนหนึ่งเข้ามาอยู่ในกระเป๋าอย่างสบายใจ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็เสียทั้งฮูหยินและรี้พล [1]
เมื่อเกาจิ่วกลับมาพร้อมโฉนดที่ดิน หลิวเหรินกุ้ยก็พยุงหลิวฉีซื่อจากไปแล้ว
ทั้งสองครอบครัวฉีกหน้ากันแล้ว อย่าได้คิดว่าหลิวเต้าเซียงจะเอ่ยปากรั้งให้คนในตระกูลหลิวเดิมอยู่ทานข้าวด้วยความเกรงใจ
อย่างไรก็ตาม นางบอกให้ชิงเหมยเตรียมอาหารไปให้สามพี่น้องหลิวจื้อไฉ บอกว่าให้ลิ้มชิมรส นับว่าเป็การรับน้ำใจของหลิวซุนซื่อ
เดิมทีโฉนดชื่อนี้เขียนด้วยชื่อของหลิวซานกุ้ย ดังนั้นจึงไม่จำเป็ต้องวิ่งไปที่ว่าการอำเภออีก
เมื่อได้ยินว่าหลิวเต้าเซียงกําลังจะทำซวนล่าเฝิ่น หลี่เจิ้งก็อยู่ต่อ พร้อมทั้งสั่งให้เซวียต้าเหอกลับไปที่บ้านเขาแล้วเรียกภรรยามากินด้วยกัน!
เมื่อนึกถึงว่าครอบครัวในภพชาติก่อนก็ชื่นชอบอาหารชนิดนี้ รสชาติเผ็ดเปรี้ยวนั้นทำให้หลิวเต้าเซียงน้ำลายสอ
นางยืนอยู่ข้างเตาขนาดใหญ่และน้ำในหม้อเหล็กใบใหญ่ที่กำลังเดือดปุดๆ “ชุนเจียว รีบเอาวุ้นเส้นที่ทำเสร็จหย่อนลงหม้อเร็ว”
ซูจื่อเยี่ยยืนอยู่ข้างๆ จ้องมองข้างในหม้ออย่างจริงจัง
“ไม่ปรุงน้ำแกงหมูหรือ?”
เขานึกถึงตอนที่หลิวเต้าเซียงมอบของขวัญประจำปีตอบแทน ได้ให้แป้งมันเทศกับเขาไม่มากนัก จากนั้นก็แนบวิธีทำน้ำแกงแป้งมันเทศไปด้วย
“มีสิ อยู่อีกหม้อหนึ่ง ต้มไว้ล่วงหน้าแล้ว”
โชคดีที่เช้านี้กินก๋วยเตี๋ยวเนื้อ น้ำแกงยังคงอุ่นอยู่บนเตาเล็กด้านข้าง
“นั่นไม่ใช่เื่สำคัญ สำคัญคือต้องเป็น้ำแกงเครื่องเทศ แล้วใส่เฉ่ากั่ว ใบกระวาน โป๊ยกั้ก อบเชย ขิง และน้ำตาลทรายขาว เป็ต้น ทั้งหมดสิบแปดชนิด มานี่ เ้าลองมาดมเร็ว” นางยกชามที่ใส่น้ำแกงสีแดงให้เขาดม
ซูจื่อเยี่ยดมกลิ่นเล็กน้อย “หอม พริกไทยหรือ?”
แต่ก็ไม่เหมือนพริกไทย กลิ่นนั้นแปลกประหลาด พูดไม่ถูก แต่ดมแล้วรู้สึกดีนักเชียว
หลิวเต้าเซียงพูดอย่างระมัดระวัง “ใช่ มันคือพริกไทย แต่ทำจากพริกไทยผสมกับฮัวเจียวและหมาเจียว จากนั้นคั่วจนสุกในหม้อ พอเย็นแล้วค่อยบดเป็ผง แล้วโรยบนเส้น ค่อยเติมงา ถั่วลิสง ต้นหอมสับ แล้วก็ซีอิ๊วขาวกับน้ำส้มสายชู ทั้งหอมและเผ็ด อีกทั้งมีรสเปรี้ยวด้วยเล็กน้อย”
ซูจื่อเยี่ยฟังอย่างตั้งใจ
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าใครเป็ผู้คิดค้นอาหารชามนี้ แต่นางรู้สึกว่าชายคนนั้นต้องเป็นักชิมอย่างแน่นอน
ดังนั้นเมื่อซูจื่อเยี่ยถามว่า นางคิดวิธีการทำเช่นนี้ได้อย่างไร นางจึงตอบว่า “เพราะข้าชอบกิน”
เพราะชอบกิน จึงชอบทำอาหาร และเพราะชอบทำอาหารจึงสามารถทำของอร่อยได้มากมาย
เมื่อโรยด้วยต้นหอมเขียวขจี งาขาวสะอาดและถั่วลิสงเม็ดอวบลงในถ้วยวุ้นเส้นน้ำแกงสีแดงอมน้ำมัน กลิ่นหอมเย้ายวนก็ลอยเข้ามาในสมอง
ซูจื่อเยี่ยเห็นแล้วนึกอยากใช้มือหยิบ เขารู้สึกว่าตอนนี้ตนเองน่าจะกินได้สองชามใหญ่
เมื่อก้มลงมองชามขนาดเล็ก น้อยเกินไปและคงไม่อิ่มแน่
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ เกาจิ่วล่วงรู้ทันทีจึงรีบเอ่ย “คุณหนูรองหลิว บ้านเ้ามีชามที่ใหญ่กว่านี้หน่อยหรือไม่ ข้าเห็นว่าอาหารนี้ทั้งเผ็ดและหอม ต้องรสชาติดีแน่นอน จึงคิดว่ากินชามใหญ่น่าจะอร่อยกว่านัก”
ดวงตาของหลิวเต้าเซียงเปล่งประกาย เมื่อเป็นักกินเหมือนกัน ย่อมต้องสามารถรับรู้ถึงการกินที่ไต่ระดับสุดยอด
“มีสิๆ ชุนเจียว ไปเอาชามใหญ่มาให้ข้า ข้าเองก็รู้สึกว่าชามนี้เล็กเกินไป กินแล้วอร่อยไม่ถึงใจ”
นางยังคิดว่า ชามเล็กแค่นี้ เวลากินก็ดูเป็กุลสตรีเกินไป
การกินซวนล่าเฝิ่นควรพับแขนเสื้อขึ้นแล้วกินอย่างหน้าแดง เหงื่อซึม นั่นจึงจะอร่อยเด็ดได้อรรถรส
ชุนเจียวมองไปที่ฮูหยินแล้วคิดในใจ ฮูหยินเ้าคะ คุณหนูนับวันก็มุ่งสู่หนทางของบุรุษสาวเข้าทุกที บ่าวต้องขอโทษฮูหยินด้วยที่รั้งคุณหนูที่เหมือนม้าดีดกะโหลกไม่ได้!
หางตาของซูจื่อเยี่ยยิ้มจนตาโค้ง แม่สาวน้อยของเขาพิเศษจริงๆ
จางกุ้ยฮัวแสดงท่าทีว่า ตนเองก็ปวดศีรษะจนหัวหงอกหมดแล้ว จะมีบุรุษคนใดกล้ารับมือกับแม่สาวตัวร้ายแบบนี้กัน!
หลี่เจิ้งกำลังจดจ้องชามเ่าั้ หูสองข้างไม่ได้ยินเื่ภายนอก ในใจคิดเพียงแต่เื่กิน เขากำลังดูว่าชามไหนที่มีวุ้นเส้นเยอะกว่า อย่าคิดว่าเขาแก่ชราและไม่รู้ไม่เห็น วุ้นเส้นชามนี้ต้องอร่อยอย่างมากแน่
บางคราก็แอบส่องไปด้านนอกหน้าต่างแล้วนึกโอดครวญ โอย เหตุใดภรรยายังไม่มาอีก อีกเดี๋ยวจะเก็บสองชามสุดท้ายไว้ไม่ทันนา
มีของอร่อย ก็ต้องแบ่งปันให้กับภรรยาของตน!
การกินคนเดียวเท่ากับเป็การตีมือตนเอง
นี่เป็ 'คู่มือกำราบสามี' ข้อที่สิบของบ้านหลี่เจิ้ง!
กลิ่นหอมของเครื่องเทศช่างดึงดูดใจคนยิ่งนัก
ท่ามกลางความปรารถนาของหลี่เจิ้ง ในที่สุดท่านย่าหวงก็มาถึง
หน้าประตูเห็นเงาร่างของนางครู่หนึ่ง แต่ราวกับตาพร่ามัวและมีลมพัดผ่าน เมื่อได้สติอีกที ท่านย่าหวงก็แย่งชามที่เยอะที่สุดไปเสียแล้ว
การกินอย่างเอร็ดอร่อย มักทำให้คนอารมณ์ดี
ซูจื่อเยี่ยลูบท้องของตนแล้วอดที่จะนึกถึงรสชาตินั้นอีกไม่ได้ ความรู้สึกชาเล็กน้อยตรงริมฝีปาก ช่างรู้สึกดีเสียนี่กระไร
“มื้อค่ำ เอาอีก”
เสียงคำสั่งหนักแน่น เพราะ้ากินซวนล่าเฝิ่นกันต่อในมื้อค่ำอีกมื้อ
หลี่เจิ้ง้าอีกเช่นกัน แต่น่าหน่ายใจที่เริ่มฤดูใบไม้ผลิแล้วงานเกษตรค่อนข้างยุ่ง มีคนมาหาเขากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ต่างก็เป็เื่เล็กน้อยขี้ปะติ๋ว
เขาส่งสายตาเสียดาย หลิวเต้าเซียงกำผ้าเช็ดหน้าและส่งเขากลับไป
แต่ก่อนหน้านั้นนางก็พูดว่า “หลี่เจิ้ง ตอนค่ำถ้ามีเวลาก็มานะ”
หลี่เจิ้งเงยหน้าขึ้นมองและแอบหลั่งน้ำตาในใจ อย่าแกล้งกันแบบนี้ เขาจะไปมีเวลาว่างได้อย่างไรกัน ไม่เห็นหรือว่าด้านหลังมีคนตามอยู่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้ากลุ่ม!
พวกเขาทั้งหมดมาด้วยเื่ที่มีคนไปทางปล่อยน้ำ ทำให้บ้านไม่มีน้ำไหลเข้านา หรือไม่ก็เื่ที่วัวไถนาทำขาของคนบังคับาเ็ ช่างไร้สาระจริง เขาไม่ใช่หมอนะ...
เมื่อได้ยินหลิวเต้าเซียงกล่าวอย่างอบอุ่น หลี่เจิ้งจึงรู้สึกจุกในอก ก่อนหน้านี้มีซวนล่าเฝิ่นที่หอมหวนวางอยู่ตรงหน้ามากมาย แต่เขากลับไม่รีบลงมือจึงนึกเสียใจ หากนับเป็ระยะเวลาก็คงเสียใจไปหนึ่งหมื่นปี
เหตุใดถึงเป็เช่นนั้น?
เพราะนางกล่าวว่า แป้งมันเทศที่ทำที่บ้านนั้นเพียงพอที่จะกินได้มื้อเดียว หลังจากนั้นคงต้องรออีกนาน อันที่จริงก็ไม่ได้มีแค่หลี่เจิ้ง กระทั่งซูจื่อเยี่ยเองก็ต้องอาศัยการย้อนนึกถึงความอร่อยมาแก้อยากด้วยอีกคน
ใน่บ่าย ซูจื่อเยี่ยไปที่ตำบลโดยบอกว่ามีธุระต้องทำ จวบจนเวลาอาหารค่ำจึงปรากฏตัวอีกครั้ง
ดวงจันทร์สีเงินดั่งคันธนู ต้นหลิวห้อยลงมาดุจควัน
ภายใต้แสงจันทร์นวลเนียน หนุ่มสาวมากมายนับไม่ถ้วน เ้ากับข้าสัมพันธ์ลึกซึ้ง
“เ้าสบายดีหรือไม่?”
แสงจันทร์กระทบลงบนคิ้วสวยของนาง
สายลมฤดูใบไม้ผลิที่ละเอียดอ่อนผสมกับเสียงของแมลงทำให้หัวใจของผู้คนสดชื่น
ไร้ซึ่งเสียงของไผ่เสียดหู ไร้ซึ่งความหอมที่เคลื่อนไหว
อย่างไรก็ตามหัวใจของซูจื่อเยี่ยเต้นไม่เป็จังหวะ
ดูเหมือนจะมีบางอย่างเบ่งบานอย่างเงียบๆ ในห้องหัวใจ มุมปากของเขายกยิ้มเล็กน้อย
เขาเอื้อมมือออกไปเกี่ยวผมที่ถูกลมพัดไปทัดไว้หลังหูให้นาง
“ถ้าเ้าสบายดี ข้าก็สบายใจ”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกเพียงใบหูนั้นร้อนผ่าว ใบหน้าเล็กๆ แผ่ซ่านไปด้วยความร้อน
ใครบอกว่าเด็กหนุ่มเกี้ยวพาราสีไม่เป็ นางคงเถียงขาดใจ!
ซูจื่อเยี่ยกล่าวเสริมว่า “ในตำรามักเขียนไว้อย่างนี้”
สิ้นเสียงนี้ นับเป็ความยุ่งเหยิงและความล้มเหลวครั้งใหญ่ในชีวิต
เกาจิ่วผู้แอบฟังอยู่ที่มุมกําแพงเอื้อมมือออกไปกุมหน้าผากและพูดไม่ออก นายน้อย การเกี้ยวพาราสีไม่ควรวาดงูเติมขา [2] แบบนี้นะขอรับ
ตามคาด ใบหน้าของหลิวเต้าเซียงปรากฏความหงุดหงิดเล็กน้อย เพียงแต่เนื่องจากวันนี้อาศัยคนอื่นเขาเป็หนังเสือ จิ้งจอกจึงไม่อาจแสร้งเป็เสือผู้น่าเกรงขามได้ จึงไม่อาจแง่งอนและไล่ตะเพิดอีกฝ่ายออกไป
“เ้าสูงขึ้นนะ” ก่อนที่หลิวเต้าเซียงจะได้เอ่ยอะไร เขาก็ชิงพูดขึ้นก่อน
หลิวเต้าเซียงอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่ เ้าหมอนี่ ทำดีด้วยมากเกินไปไม่ได้จริงๆ
“ปีนี้ข้าอายุสิบขวบแล้ว”
“ไวเหลือเกิน!” ซูจื่อเยี่ยพยักหน้าตอบรับ ปีนี้เขาเองก็อายุสิบหกแล้ว
ในเมืองหลวงผู้ชายส่วนใหญ่ที่มีอายุครบสิบห้าปีก็มักจะหมั้นหมายแล้ว มีเพียงเขา...
“เหตุใดเ้าจึงมาที่นี่ในเวลานี้?” หลิวเต้าเซียงเอ่ยถามเขา
ในฐานะบุตรชายในอ๋อง ตามหลักแล้วขณะนี้ควรอยู่ในเมืองหลวง แต่งกายหล่อเหลาและควบม้าเพลิดเพลินในเมืองจึงจะถูก
ซูจื่อเยี่ยมองลงมาที่นาง แสงจันทร์ไม่อาจส่องให้เห็นถึงความอ่อนโยนในดวงตาของเขาได้
“เ้าอยากรู้หรือ?”
หลิวเต้าเซียงพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ถ้าเ้าไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ไม่ได้มีใครบังคับเ้าสักหน่อย”
ผู้หญิงมักปากอย่างใจอย่าง
ซูจื่อเยี่ยรู้สึกว่าแม่สาวน้อยกําลังบอกใบ้ว่า อันที่จริงนางอยากรู้
หลิวเต้าเซียงแสดงท่าทีว่านี่เป็การเคารพเื่ส่วนตัวของเขา หากเขาไม่สะดวกที่จะพูด เขาก็ไม่จำเป็ต้องพูดออกมา
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมเยือกเย็นที่เข้ากันกับแสงจันทร์ในเวลานี้นัก “ข้าคือบุตรชายแห่งอ๋องผิง เป็บุตรที่เกิดจากพระสนม แต่ก็ถูกระบุอยู่ในรายชื่อเชื้อพระวงศ์ เป็ทายาท ส่วนพระชายาของท่านพ่อ ทุกคนเรียกนางว่าพระชายาอ๋องผิง มีบุตรชายหญิงหนึ่งคู่ บุตรชายคนโตคือพี่ชายใหญ่ของข้า นามว่า ซูจื่อหง ส่วนน้องสามอีกหนึ่งคน นามว่าซูฮุ่ยหยา แล้วก็ยังมีเสด็จแม่อีกหนึ่งคนที่เป็พระสนมที่สิ้นพระชนม์ ให้กำเนิดน้องสี่นามว่าซูฮุ่ยหลัน ตอนนี้ถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายเสด็จแม่ของข้า”
หลิวเต้าเซียงฟังด้วยใบหน้าสับสน สหายที่รัก ครอบครัวของเ้าจะซับซ้อนเกินไปหรือไม่?
สี่พี่น้องจากมารดาสามคน
นอกจากนี้เพียงแค่ฟังชื่อของพี่ชายน้องชายของพวกเ้า [3] มันคือการป่าวประกาศให้โลกรับรู้หรือ?
พวกเ้าสองพี่น้องเข้ากันไม่ได้!
ช่างเป็การตั้งชื่อที่สูงส่งและยากแท้หยั่งถึง เป็แผนการต่อศึกแก่งแย่งกันภายในตระกูล
-----
เชิงอรรถ
[1] เสียทั้งฮูหยินและไพร่พล 赔了夫人又折兵เผยเลอฟูเหรินโย่วเจ๋อปิง คำกล่าวข้างต้น เป็คำกล่าวในเื่สามก๊ก ตอนที่ทหารฝ่ายเล่าปี่ะโเยาะเย้ยจิวยี่ อุบายจิวยี่เเสนเเยบยล เสียทั้งฮูหยินเเละรี้พล หมายความว่าวางแผนเป็เื่ยาว สุดท้ายเสียเปล่าทั้งขึ้นทั้งล่อง
[2] วาดงูเติมขา画蛇添足 huà shé tiān zú บ่งบอกถึง ของเดิมที่ดีอยู่แล้วถูกแต่งเติมมากจนเกินไป จนทำให้แย่ลง ซึ่งสำนวนนี้เน้นเื่การแต่งเติมจนเกินจำเป็ ทำให้เกิดผลในแง่ลบ
[3] ในประโยคนี้ที่หลิวเต้าเซียงรับรู้ว่าทั้งสองเข้ากันไม่ได้ เนื่องจากชื่อของซูจื่อหง คำว่า หง泓 แปลว่า น้ำใสสายหนึ่งหรือน้ำใสผืนหนึ่ง ส่วนชื่อของซูจื่อเยี่ย คำว่า เยี่ย烨 แปลว่า แสงไฟ แสงตะวัน หรือสว่างไสว ทั้งสองชื่อจึงเปรียบดั่งน้ำกับไฟ ซึ่งเข้ากันไม่ได้