ในสวนของเรือนชุนอวี่ สาวใช้บางคนเริ่มลงมือทำความสะอาดเรือนให้สะอาด
ตอนที่ผู้นำตระกูลสั่งให้พวกเขามาก็ได้กำชับว่าให้ระมัดระวัง พวกเขาจึงรับรู้กันเป็อย่างดีว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในเรือนหลังนี้คือคนที่จะกลายเป็พระชายาในอนาคตของเทพเ้าแห่งา ทำให้ไม่กล้าที่จะเกียจคร้านนัก
เวลานี้ หลินหร่านอยู่ในห้องของเรือนชุนอวี่ กำลังมองเด็กหนุ่มรับใช้ที่ทำตัวติดเขาเป็ตังเม
หลินหร่านข้ามภพมาที่แห่งนี้ได้ไม่นานก็ถูกขับไล่ออกจากจวนแม่ทัพ เขาเหมือนเด็กน้อยที่ถูกอวี้ฉู่จาวดูแลและมีความสุขอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ณ ตอนนี้ ตนเองมีผู้ติดตามแล้ว พูดตามตรงก็ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร
เด็กรับใช้คนนั้นคุกเข่าลงพร้อมก้มหัวลงกับพื้น
อายุยังน้อย ดูออกว่าคงกังวลอยู่พอควร แต่หน่วยก้านไม่เลวเลย ท่าทางฉลาดใช้ได้
“เ้า...เ้าชื่ออะไร” หลินหร่านนั่งตัวตรง ในใจกังวลเป็อย่างมาก
“คุณชายน้อย ข้ามีนามว่าติงหร่วนขอรับ ปีนี้อายุ 15”
หลินหร่านรู้สึกว่าเด็กคนนี้ใช้ได้ทีเดียว ดูไปแล้วติงหร่วนเป็คนนุ่มนวลจิตใจดี ขาวสะอาด บอบบางและน่ารัก ใบหน้าดูมีแก้มยุ้ยๆ เหมาะกับอายุของเขา แลดูน่ารักและเข้ากันมาก
“อืม” แล้วก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
หลินหร่านเองก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ “เ้า...ลุกขึ้นเถิด”
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลินหร่านเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังไม่ได้บอกให้ติงหร่วนลุก
“ขอบพระคุณขอรับคุณชายน้อย”
“...ไม่เป็ไร” หลินหร่านระบายยิ้ม
ติงหร่วนลุกขึ้นแล้วแอบเงยหน้ามองผู้เป็นาย นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้เจอกับเ้านายที่ไม่ถือตัว ดูเป็กันเองและพูดกับเขาว่าไม่เป็ไร
ติงหร่วนยืนอยู่ข้างๆ ลอบมองหลินหร่านอย่างระมัดระวัง
เขาคิดว่าหลินหร่านมีรูปลักษณ์ดี ท่าทางอ่อนหวาน ผมยาวดำขลับราวกับหางม้าดูสะอาดสดใส เสื้อผ้ามีราคากับผ้าพันคอขนสุนัขจิ้งจอกสีขาว ยิ่งทำให้คนผู้นี้ดูขี้เล่นและน่ารักขึ้นไปอีก
หลินหร่านรู้สึกได้ว่าติงหร่วนกำลังจ้องมองตนเองจึงไม่ค่อยสบายใจนัก เขากลืนน้ำลายแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สบตากับติงหร่วนที่มองมาอยู่พอดี สุดท้ายก็รีบก้มหน้าหลบด้วยความใ
ติงหร่วนมุ่ยปาก รู้สึกว่าตนเองกำลังทำท่าทีคุกคามอยู่ จึงก้มหัวลงแล้วยืนอยู่ข้างๆ ดังเดิม
เวลานี้ทั้งห้องเงียบสนิท จนสุดท้ายเป็ติงหร่วนที่เอ่ยปากก่อน “คุณชายน้อยหิวหรือยังขอรับ ข้าจะไปบอกให้ในครัวเตรียมอาหารไว้ให้”
ติงหร่วนเป็คนมีไหวพริบ คิดว่าคุณชายน้อยของเขาเพิ่งจะได้กลับมาที่จวนแม่ทัพ คงจะเหน็ดเหนื่อยและเมื่อยล้าไม่น้อย
หลินหร่านเริ่มหิวพอดี วันนี้เป็วันที่เหนื่อยล้าสำหรับเขา เสียเวลาไปกับเหล่าคนที่เขารู้สึกแปลกหน้าไปหมด
แต่หลินหร่านก็มักจะคิดอยู่เสมอว่าตนเองไม่เหมือนคนอื่น ถ้าจะพูดให้ถูกก็คงไม่ใช่คนที่ชอบพูดเยินยอใคร แต่หากพูดตามจริง คิดว่าเขาคงไม่ใช่คนที่ฉลาดพอและเป็คนคิดน้อย หัวช้า นึกถ้อยคำหรือสังเกตท่าทีตอนผู้อื่นพูดไม่เป็
อย่างไรก็ตาม หลินหร่านกลับไม่รู้ว่าตนเองมีปัญหาด้านบุคลิกภาพและการเข้าสังคม
เขาสามารถพูดกับคนแปลกหน้าได้ แต่จะรู้สึกประหม่าและหวาดกลัว เพราะตอนเด็กมีพัฒนาการช้า เกิดมาตัวเล็กและอ่อนแอ ตอนอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจึงโดดเดี่ยวและมักถูกผู้อื่นกลั่นแกล้งเสมอ
จนเวลาผ่านไปถึงได้พบว่า ตนเองเป็คนมีปัญหาด้านบุคลิกภาพ ไม่ค่อยพูด กลัวการทำความรู้จักกับผู้อื่น เป็คนเปิดใจยาก
“อื้อ ดีสิ เ้าไปเตรียมมาเถิด” เมื่อติงหร่วนถามมาแบบนี้ หลินหร่านก็คิดว่าควรให้เขาไปทำอะไรให้สักหน่อย จะได้ไม่ต้องมานั่งจ้องกันไปจ้องกันมา ชวนให้อึดอัด
“ขอรับ”
หลังจากติงหร่วนออกไป หลินหร่านก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย เขาลุกขึ้นก่อนมองไปรอบห้อง
ถึงแม้ว่าเรือนชุนอวี่จะเทียบไม่ได้กับตำหนักของท่านอ๋อง แต่ก็ดีกว่ากระท่อมฟางหลายต่อหลายเท่านัก
“คุณชายน้อย” ในขณะที่หลินหร่านกำลังมองโดยรอบอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงของสาวใช้คนหนึ่งดังขึ้น
“หือ?” หลินหร่านใ “...มีอะไรหรือ”
“อนุภรรยาคนที่สอง นางซ่งมาพบเ้าค่ะ”
“นางซ่งงั้นหรือ?”
หลินหร่านคิดทบทวน ในความทรงจำของเ้าของร่างเดิมมีอยู่ว่า นางซ่งเป็อนุภรรยาคนที่สองของบิดา มีบุตรสาวด้วยกันหนึ่งคน
แต่ว่านางมาทำอะไร? เพราะตนเองไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นนี่
“...ให้เข้ามาสิ” แม้ว่าจะมีหรือไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่หลินหร่านก็ทำเป็ไม่สนใจไม่ได้
หลังจากนั้น หญิงสาวที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสวยหรูมีรูปร่างอวบนางหนึ่งก็เดินเข้ามา ข้างหลังยังมีสาวใช้ติดตามมาด้วยอีกสองคน ในมือถือกล่องบางอย่างมาด้วยกันสองกล่อง
“คำนับคุณชายน้อย” นางซ่งแสดงความเคารพ ก่อนที่รอยยิ้มอันแสนประจบจะปรากฏบนใบหน้า
ไม่ทันให้หลินหร่านบอกนางซ่งพลันลุงขึ้น
“รีบวางของที่นำมาให้คุณชายน้อยลงสิ” นางซ่งโบกผ้าเช็ดหน้า บอกกับสาวใช้ด้านหลังตนเอง
“คุณชายน้อยเพิ่งจะกลับมา ข้ามาพบจึงได้นำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้” รอยยิ้มของนางซ่งดูแปลกพิกล
หลินหร่านไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำเช่นไรกับอนุภรรยาคนนี้ ตอนนี้จึงทำได้เพียงพยักหน้าพร้อมตอบกลับ “อ๋อ ขอบคุณขอรับ”
เมื่อเห็นท่าทีนุ่มนวลและอ่อนโยนเช่นนี้ของหลินหร่าน นางซ่งก็คิดว่าตนเองประเมินหลินหร่านสูงเกินไป
นึกว่าเขามีความสามารถอะไรเสียอีกถึงได้เป็ชายาของท่านอ๋อง
นางซ่งมองหลินหร่านั้แ่หัวจรดเท้า ทำให้หลินหร่านอึดอัดใจจนต้องก้มหน้าหนี
“...ไอหยา นี่ผ่านไปหลายปีแล้วหรือนี่” ท่าทีของนางซ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้นางเว่ยไล่เ้าออกไปจากจวน เวลานั้นเ้ายังเล็กมาก ตอนนี้กลับจวนจะแต่งงานแล้ว” นางซ่งสะบัดผ้าเช็ดหน้าพลางเอ่ยอย่างเผ็ดร้อน
ถึงแม้ว่าหลินหร่านจะเป็คนไม่ค่อยมีอารมณ์โกรธ แต่เขาก็ฟังออกว่านางซ่งกำลังพูดจาแอบแฝง น้ำเสียงไม่ได้แสดงถึงความเคารพเหมือน่แรกที่มาถึง
“โธ่ พอมาลองนึกถึง่ที่ฟูเหรินคนก่อนยังอยู่ คนในตระกูลก็ไม่มีใครได้รับความลำบากเช่นนี้ ถ้าให้ข้าพูดก็คงเป็เพราะนางเว่ยอิจฉาริษยา…” นางซ่งเริ่มร่ายยาว
หลินหร่านฟังออกว่าคนผู้นี้บาดหมางกับนางเว่ย เขารับรู้ได้ถึงจิตใจเลวร้ายเ่าั้ดี
นางไม่มีความเคารพฟูเหรินผู้นี้แม้แต่น้อย
หากเป็เช่นนี้ในสมัยก่อน แม้ว่าประเพณีพื้นบ้านจะเปิดกว้าง แต่สถานะของอนุภรรยากับฟูเหรินก็ยังคงแตกต่างกันมากและยังมีกฎระเบียบที่เข้มงวด
หลินหร่านยังคงมองนางโดยไม่ตอบรับใดๆ จนนางซ่งหาที่นั่งพร้อมกับนั่งลงด้วยตนเอง ไม่รอให้เขาเชื้อเชิญ
“ข้าเคารพฟูเหรินคนก่อนมาก ก่อนที่ฟูเหรินจะเสียชีวิต ข้ายังรับปากนางว่าจะดูแลเ้าเป็อย่างดี แต่น่าเสียดาย ่ที่นายท่านจากบ้านไปไม่นานเ้าก็…” นางซ่งเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หยุด ถึงนางไม่พูดหลินหร่านก็รู้ว่ากำลังจะพูดถึงเื่ที่เขาตกลงไปในหลุมน้ำแข็งแล้วสิ้นชีวิต และหลังจากนั้นก็ ‘ฟื้นคืนชีพ’ ขึ้นมา
นางซ่งกล่าวมามากมายเพียงนี้ หลินหร่านก็ยังไม่เข้าใจว่านาง้าอะไร
เขาหันหน้ามองไปทางประตู คิดว่าทำไมติงหร่วนที่ไปหาของกินมาให้ถึงยังไม่กลับมา ตอนนี้เขาหิวจนเครียดเสียแล้ว
----------------------------