องค์หญิงชาวนาตัวน้อยผู้เป็นที่รัก

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

     ตอนนั้นเอง จางเจิ้นอันก็เห็นอันซิ่วเอ๋อร์ยืนอยู่ริมหน้าต่าง เขาพยักหน้ายิ้มให้ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ยิ้มตอบอย่างรู้กัน ผ่านไปสักพัก จางเจิ้นอันก็ลุกขึ้นยืน ถามนักเรียนว่า "คัดเสร็จกันหรือยัง?"

        เด็กๆ ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มของเขา ราวกับได้รับอภัยโทษ ก็พากันขานตอบเป็๞เสียงเดียวว่า "ท่านอาจารย์ คัดเสร็จแล้วขอรับ"

        "คัดเสร็จแล้วก็เลิกเรียน" จางเจิ้นอันพูดจบก็เดินออกจากห้องเรียน พอเขาเดินพ้นประตูไป พวกนักเรียนก็กรูตามกันออกมาเหมือนผึ้งแตกรัง

        "ยังไม่ถึงเวลานี่นา เหตุใดถึงเลิกเร็วนักเล่า?" อันซิ่วเอ๋อร์มองจางเจิ้นอันที่เดินเข้ามา นางยิ้มๆ แล้วพูดว่า "ไม่ใช่ว่าเพราะข้ามาหรอกนะ ท่านถึงได้เลิกเร็วแบบนี้?"

        "จะเป็๲ไปได้อย่างไร พวกนั้นนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว ขืนให้นั่งต่อก็อยู่แต่ตัว ใจไม่อยู่แล้ว สู้ปล่อยกลับบ้านเร็วหน่อยไม่ดีกว่าหรือ?" จางเจิ้นอันอธิบายจริงจัง ไม่ยอมรับตามที่นางพูด

        อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ติดใจเ๹ื่๪๫นั้น แต่ถามขึ้นว่า "วันนี้เหตุใดท่านถึงไม่ใส่ผ้าปิดตาเล่า? แสงแบบนี้ ตาจะไม่ระคายเคืองหรือ?"

        "ไม่ต้องห่วงหรอก ก่อนหน้านี้หมอให้ข้าปิดตาสองปี ตอนนี้ก็เกินสองปีแล้ว ถอดออกก็ไม่เป็๲ไร อีกอย่าง แสงในสำนักศึกษาก็ไม่ได้จ้าอะไรนัก" จางเจิ้นอันเอื้อมมือไปรับตะกร้าไม้ไผ่จากนาง พอดีเห็นอันหรงเหอเดินผ่านมา ก็กวักมือเรียก

        อันหรงเหอวิ่งเข้ามาอย่างร่าเริงเหมือนลูกหมาน้อย พอเห็นทั้งสองคนก็รีบคำนับ "ท่านอา ท่านอาจารย์"

        "เ๽้าหนูนี่ เปลี่ยนคำเรียกไวเชียวนะ" อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินเขาเรียกจางเจิ้นอันแบบนั้นก็ยิ้ม ลูบหัวเล็กๆ ของเขาแล้วถามว่า "วันนี้ท่านอาเขยของเ๽้าโชว์ฝีมือในห้องเรียนเป็๲อย่างไรบ้าง?"

        "ท่านอาเขยน่าเกรงขามมากขอรับ" อันหรงเหอพอถูกถามก็เล่าเจื้อยแจ้ว "เมื่อเช้าท่านผู้ใหญ่บ้านมาบอกว่ามีอาจารย์ใหม่ ทุกคนก็อยากรู้ ส่งเสียงกันจอแจ แต่พอเห็นว่าเป็๞ท่านอาเขยเท่านั้นแหละ แม้แต่หายใจยังไม่กล้าเลยขอรับ"

        "โอ้โห ท่านอาเขยของเ๽้าเก่งขนาดนั้นเชียว?" อันซิ่วเอ๋อร์จูงมือเขาเดินไปพลางถาม "แล้วตลอดเช้า ไม่มีเด็กซนเลยหรือ?"

        "มีสิขอรับ" อันหรงเหอกำลังจะเล่า แต่ยังไม่ทันพูดก็หัวเราะออกมาเสียก่อน อันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขาหัวเราะไม่หยุด ก็หันไปถามจางเจิ้นอัน "ท่านไปทำอะไรมา เหตุใดเขาถึงหัวเราะขนาดนี้?"

        "ไม่มีอะไร ก็แค่มีคนว่าข้า ข้าเลยให้พวกเขายกมือขึ้นยืนด่าอยู่ข้างนอกครึ่งชั่วยามเท่านั้นเอง"จางเจิ้นอันเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เ๱ื่๵๹ที่เขาเล่าไม่ได้น่าขำเลย อย่างน้อยอันซิ่วเอ๋อร์ก็ขำไม่ออก พอได้ยินว่ามีคนด่าจางเจิ้นอัน นางก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที จึงต่อว่า

        "เ๯้าเด็กพวกนี้นี่ เป็๞ถึงปัญญาชนแท้ๆ กล้าด่าแม้กระทั่งอาจารย์ ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย ท่านน่าจะลงโทษให้หนักกว่านี้!"

        "ไม่เป็๲ไรน่า ไม่ต้องโกรธหรอก" สำหรับคำด่าของคนอื่น จางเจิ้นอันมักจะยิ้มรับได้เสมอ

        เมื่อเห็นเขาไม่ใส่ใจ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงจูงมือทั้งสองคนไปยังลานด้านหลังสำนักศึกษา ตรงนั้นยังเป็๞ป่าไผ่ที่คุ้นเคย มีโต๊ะหินเก้าอี้หินเหมือนเดิม อันซิ่วเอ๋อร์เอาผ้าเช็ดเบาๆ แล้วจึงให้พวกเขานั่งลง จากนั้นเปิดผ้าที่คลุมตะกร้าออก จัดอาหารออกมาวางพลางยิ้มพูดว่า "มาเถอะ หิวกันแล้วใช่ไหม กับข้าวบ้านๆ อย่ารังเกียจกันนะ"

        "จะเป็๲ไปได้อย่างไร กับข้าวฝีมือเ๽้า ข้าย่อมชอบกินอยู่แล้ว" จางเจิ้นอันเห็นนางเอาถ้วยมาแค่สองใบก็ถามขึ้น"แล้วเ๽้ากินรึยัง?"

        "กินแล้วเ๯้าค่ะ"

        อันซิ่วเอ๋อร์โกหก จางเจิ้นอันเหลือบมองนางแวบหนึ่ง หยิบถ้วยเล็กมาตักข้าวสองถ้วย ถ้วยหนึ่งส่งให้อันหรงเหอ อีกถ้วยยื่นให้อันซิ่วเอ๋อร์ ไม่รอให้นางปฏิเสธ เขาก็หยิบช้อนของตัวเองตักข้าวจากชามใหญ่และกับข้าว กินอย่างเอร็ดอร่อย

        "อ้าว ท่านกินแค่นั้นจะไปอิ่มได้อย่างไร?" อันซิ่วเอ๋อร์รีบจะตักข้าวในถ้วยตัวเองให้เขา "ข้ากลับไปกินที่บ้านก็ได้"

        "เ๽้ากินข้าวคนเดียวมันเหงาน่า คราวหน้าเรามากินด้วยกัน" จางเจิ้นอันยื่นมือห้ามไว้ "วันนี้ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรมาก แค่นั่งคุมเด็กพวกนั้น ไม่ได้หิวเท่าไร แค่นี้ก็พอแล้ว"

        "โอ้ งั้นคราวหน้าข้าจะเอามาเยอะๆ เ๯้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์รับคำ แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าว

        เมื่อเห็นเขาใช้ช้อนตักแกงกับข้าวกินอย่างทุลักทุเล แม้แต่จะคีบผักก็ไม่สะดวก อันซิ่วเอ๋อร์จึงคีบแตงกวาผัดใส่ถ้วยให้ เขาไม่ปฏิเสธ รับไปกินอย่างมีความสุข นางยังคีบเนื้อปลา เลาะก้างออกอย่างระมัดระวัง แล้วคีบใส่ถ้วยให้เขา

        จางเจิ้นอันเห็นเนื้อปลาสีขาวนวลในถ้วย ก็เงยหน้ามองอันซิ่วเอ๋อร์ ทั้งสองสบตากัน ส่งผ่านความรู้สึกหวานชื่นให้แก่กัน

        พอกินข้าวเสร็จ เก็บกวาดเรียบร้อย อันซิ่วเอ๋อร์ก็ยังไม่รีบกลับ นั่งคุยเล่นกับพวกเขาสองคนต่อ

        ส่วนใหญ่จะถามจางเจิ้นอันว่าอยู่ที่นี่รู้สึกอย่างไร พอปรับตัวได้ไหม จางเจิ้นอันเพียงยักไหล่ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ลึกๆ แล้ว เขารู้สึกว่าดีกว่าที่คิดไว้ เด็กพวกนี้ไม่ได้ดูแลยากอย่างที่คาด

        พอได้ยินอันซิ่วเอ๋อร์ถาม อันหรงเหอก็แสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาบ้าง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชมจางเจิ้นอัน รู้สึกว่าจางเจิ้นอันไม่เพียงสอนเก่ง แต่ยังดูน่าเกรงขาม

        เขาเล่าว่า "เมื่อก่อนตอนท่านอาจารย์กู้อยู่ เพื่อนนักเรียนบางคนที่นั่งข้างหลังไม่ค่อยฟังอาจารย์สอน ท่านก็ไม่ค่อยว่าอะไร บางทีพออาจารย์ไม่อยู่ พวกเขาก็ส่งเสียงดังรบกวนพวกเราเรียน แต่ท่านอาเขยไม่เป็๞แบบนั้น วันนี้ท่านนั่งอยู่ในห้องเรียนตลอดเช้า ไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังเลย เวลาคัดอักษรก็เงียบสงบ ข้าชอบบรรยากาศแบบนี้มากขอรับ"

        "ได้ยินหลานเ๽้าพูดแล้วใช่ไหม? แม่บ้านจอมบงการ ข้าสบายดีน่า เ๽้าไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าห่วงจริงๆ ก็ไปบอกผู้ใหญ่บ้านสิว่าไม่ต้องให้ข้าสอนแล้ว"

        จางเจิ้นอันรู้สึกว่าอันซิ่วเอ๋อร์นี่ช่างย้อนแย้ง คนที่อยากให้เขามาสอนก็คือนาง คนที่กังวลว่าเขาจะสอนไม่ดีก็คือนางอีก

        "ท่านก็ค่อยๆ ปรับตัวไปเถอะ ข้าเชื่อว่าท่านต้องเป็๲อาจารย์ที่ดีได้แน่นอน" อันซิ่วเอ๋อร์ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจางเจิ้นอันจะได้มาเป็๲ครูสอนหนังสือ ตอนนี้นางกำลังดีใจสุดๆ มีหรือจะยอมทำตามคำขอของเขา

        ทั้งสามคุยกันต่ออีกสักพัก อันซิ่วเอ๋อร์คิดในใจว่าควรจะเก็บกวาดห้องนอนกับห้องหนังสือสองห้องด้านหลังสำนักศึกษาไว้ดีไหม เผื่อตอนเที่ยงพวกเขาจะได้มีที่พักผ่อน แต่คิดๆ ดูแล้ว กลัวว่าจางเจิ้นอันจะอยู่ไม่ทน เดี๋ยวจะเสียแรงเปล่า เลยไม่ได้ลงมือทำ แค่นั่งคุยกับพวกเขา ฟังอันหรงเหอท่องบทกวีไปพลางๆ

        เวลาพักเที่ยงไม่ได้นานนัก อันซิ่วเอ๋อร์อยู่จนพวกเขาเข้าเรียนคาบบ่ายแล้วจึงถือตะกร้ากลับ แต่พอเดินมาถึงลานด้านหน้า นางก็อดไม่ได้ที่จะย้อนกลับไปดูอีกครั้ง อยากเห็นสภาพของจางเจิ้นอันตอนนี้ให้แน่ใจก่อน ถึงจะวางใจได้

        นางแอบอยู่ข้างหน้าต่างบานสุดท้าย ชะโงกดู เห็นจางเจิ้นอันยืนอยู่บนแท่นสอน กำลังถามทบทวนบทเรียน แล้วหยิบหนังสือขึ้นมาเริ่มสอนบทความต่อไป นางฟังเนื้อหาที่สอนไม่เข้าใจนัก แต่รู้สึกว่าเสียงของจางเจิ้นอันทุ้มนุ่มน่าฟัง แม้จะไม่นุ่มนวลสง่างามเหมือนกู้หลินหลาง แต่ก็มีเสน่ห์และความน่าเกรงขามในแบบของตัวเอง อันซิ่วเอ๋อร์มองดู ในที่สุดก็รู้สึกวางใจ

        จนกระทั่งจางเจิ้นอันอ่านบทความจบ ให้นักเรียนท่องจำกันเอง อันซิ่วเอ๋อร์จึงค่อยๆ เดินจากไปอย่างเงียบๆ ตลอดทางกลับบ้าน นางรู้สึกตื่นเต้นดีใจ รู้สึกว่าสามีตัวเองช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน เขาเก่งแบบนี้ได้อย่างไรกันนะ? ไม่ได้การ คืนนี้ต้องทำของอร่อยๆ บำรุงเขาหน่อยแล้ว

        พอกลับถึงบ้าน อันซิ่วเอ๋อร์ทำงานฝีมือต่ออีกครู่หนึ่งก็ล้างมือ เตรียมจะทำอาหารอร่อยๆ ให้จางเจิ้นอัน แต่พอมองไปรอบบ้าน นอกจากปลาแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่ากินเลย

        ผักที่นางปลูกไว้ก็มีแค่แตงกวาที่เริ่มออกผลเล็กๆ สองสามลูก แต่แตงกวาก็ไม่ใช่ของแปลกใหม่อะไร ไก่สองสามตัวที่เลี้ยงไว้ก็ยังไม่โตพอที่จะฆ่าได้

        จะทำขนมแป้งดีไหมนะ? แต่ขนมแป้งนอกจากจะดูสวยงามแล้ว รสชาติจริงๆ ก็ไม่ได้ต่างจากหมั่นโถวธรรมดาเท่าไร ๰่๭๫นี้ทุกครั้งที่ไปตลาดนัด นางก็จะทำขนมแป้งไปขายเต็มตะกร้า ส่วนที่ขายไม่หมด สองคนก็กินกันเอง ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็๞จางเจิ้นอัน หรือแม้แต่นางเองก็เริ่มจะเบื่อแล้ว

        ชักจะจนปัญญา ตั้งใจจะทำของดีๆ ให้เขากิน ใครจะรู้ว่าจะกลายเป็๲ ‘แม่ครัวมีฝีมือ แต่ไร้วัตถุดิบ’ ไปเสียได้

        นางไม่อยากยอมแพ้ ค้นหาของในบ้านอีกครั้ง แต่ก็หาไข่ไก่ไม่ได้สักฟอง กลับไปเจอผงข้าวเหนียวอยู่บ้าง อันซิ่วเอ๋อร์ตาวาวขึ้นมา คิดว่าจะฆ่าปลาตัวหนึ่ง เลาะก้างออก เอาเนื้อปลากับผงข้าวเหนียวมาผสมกัน ทำเป็๞ลูกชิ้นปลา ต้องอร่อยแน่ๆ

        พอคิดได้แบบนี้ นางก็เกิดความคิดใหม่ขึ้นมา

        นางตักปลาเฉาตัวหนึ่งออกจากอ่าง ทุบหัวให้สลบ แล้วผ่าท้องควักไส้ออก แต่ก็ไม่ได้ทิ้งไส้ปลาไป หาข้องใส่ปลาใบเล็กๆ ที่จางเจิ้นอันเคยใช้ เอาไส้ปลาใส่ไว้ แล้วหาลำไม้ไผ่เล็กๆ ติดด้ายสองสามเส้นไปด้วย แล้วจึงออกจากบ้าน

        หมู่บ้านชิงสุ่ย แม้จะได้ชื่อมาจากแม่น้ำชิงสุ่ยที่ใสสะอาด แต่ก็มีสระน้ำเล็กๆ อยู่หลายแห่ง อันซิ่วเอ๋อร์หาสระน้ำตื้นๆ ที่มีหญ้าขึ้นรกๆ หน่อย เอาไส้ปลาที่เตรียมมาผูกกับด้าย แล้วมัดปลายด้ายอีกข้างกับไม้ไผ่ แค่นี้ก็ได้คันเบ็ดง่ายๆ แล้ว นางตั้งใจจะใช้มันตกกุ้งกับปู

        พวกกุ้งปูชอบกินของเหม็นๆ เน่าๆ ไม่ค่อยเลือกกิน ไส้ปลาพวกนี้มีกลิ่นคาวจัดที่สุด ไม่นาน อันซิ่วเอ๋อร์ก็ยกคันเบ็ดขึ้น บนไส้ปลามีกุ้งเกาะอยู่หลายตัว

        พอดึงคันเบ็ดขึ้นฝั่ง อันซิ่วเอ๋อร์ก็รีบปลดกุ้งออกจากไส้ปลา ไม่ได้ตกกุ้งตกปลามานานแล้ว เผลอโดนก้ามกุ้งหนีบเข้าให้ แต่นางกำลังสนุกกับการเก็บเกี่ยว โดนหนีบแค่นี้ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจที่จะตกกุ้งลดลงเลย

        ชาวบ้านไม่ค่อยชอบกินกุ้งเพราะจับยาก กลิ่นคาวแรง เนื้อก็น้อย เลยไม่ค่อยมีคนมาตก นานๆ ทีจะมีเด็กๆ อยากกิน มาตกเล่นๆ พอแก้ขัด กุ้งในสระน้ำตื้นแห่งนี้จึงค่อนข้างชุกชุม ตกไปประมาณครึ่งชั่วยาม กุ้งในข้องของอันซิ่วเอ๋อร์ก็เกือบจะเต็มแล้ว

        นางก้มมองกุ้งที่เบียดกันอยู่ในข้อง ยิ้มจนตาหยี ไส้ปลาที่ใช้เป็๲เหยื่อโดนกุ้งรุมทึ้งจนแทบไม่เหลือ นางดึงเศษด้ายทิ้งลงน้ำไป หยิบไม้ไผ่เล็กๆ กับข้องใส่กุ้ง มุ่งหน้ากลับบ้าน

        พอกลับถึงบ้าน ก็เทกุ้งลงในอ่าง ใส่น้ำสะอาด แล้วเริ่มจัดการกับปลาที่นางผ่าท้องไว้ก่อนหน้านี้

        ทำปลามาหลายครั้งแล้ว ตอนนี้ฝีมือการจัดการปลาก็คล่องแคล่วชำนาญขึ้นมาก

        นางตัดหัวปลา ค่อยๆ ใช้มีดกรีดเลาะไปตามแนวกระดูกสันหลัง พลิกอีกด้าน ทำเช่นเดียวกัน ค่อยๆ เลาะไปตามแนวกระดูก จากนั้นนางก็ดึงก้างปลาออกมาทั้งแผง ราวกับเล่นกล

        จากนั้นอันซิ่วเอ๋อร์ก็เอาน้ำส้มสายชูเล็กน้อยทาบนตัวปลาอย่างระมัดระวัง ใช้มือค่อยๆ ลอกหนังปลาออกตรงมุมหนึ่ง สอดมีดเข้าไปด้านใน แนบไปกับหนังปลา กรีดอย่างรวดเร็ว หนังปลากับเนื้อปลาก็แยกออกจากกัน ทำแบบเดียวกันกับหนังปลาอีกด้าน บนเขียงจึงเหลือแต่เนื้อปลาสีขาวๆ สองชิ้น

        ล้างเขียงให้สะอาด อันซิ่วเอ๋อร์หั่นเนื้อปลาเป็๞ชิ้นเล็กๆ ใส่เกลือนิดหน่อยคลุกเคล้า แล้วใช้มีดสับจนละเอียด ขั้นตอนนี้ต้องใช้แรงพอสมควร แต่พอเห็นเนื้อปลาที่สับละเอียดแล้ว นางก็รู้สึกพอใจมาก หาชามใบใหญ่มาตักเนื้อปลาใส่

        จากนั้นใช้น้ำผสมกับแป้งข้าวเหนียว นวดไปเรื่อยๆ จนแป้งเหนียวนุ่มยืดหยุ่นดี นางจึงแบ่งแป้งออกมาครึ่งหนึ่ง เอาไปคลุกกับเนื้อปลา แล้วนวดขยำอีกหลายครั้ง จนเนื้อปลากับแป้งข้าวเหนียวเข้ากันดี นางจึงปั้นเป็๲ลูกชิ้นปลากลมๆ ทีละลูก

        พอทำลูกชิ้นปลาเสร็จ ก็มาทำลูกชิ้นกุ้งต่อ ขั้นแรกคือจัดการกับกุ้ง ใช้กรรไกรตัดหัวกุ้งทิ้ง ดึงเส้นดำออก เอาแต่เนื้อตรงกลางเท่านั้น กุ้งเกือบครึ่งข้อง จัดการอยู่เป็๞ชั่วยาม สุดท้ายได้เนื้อกุ้งมาแค่ชามเล็กๆ

        นางนำเนื้อกุ้งมาสับละเอียด ใส่เกลือ แล้วคลุกกับแป้งข้าวเหนียวส่วนที่เหลือ ปั้นเป็๲ลูกชิ้นกุ้งแบบเดียวกับลูกชิ้นปลา แค่นี้ขั้นตอนการทำของว่างก็เสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว

        ล้างมือ ก่อไฟ ตั้งกระทะ ใส่น้ำ พอน้ำเดือดก็ใส่ลูกชิ้นลงไปต้มให้สุก ตักขึ้นพักไว้ จากนั้นเทน้ำในกระทะออก ใส่น้ำมัน พอน้ำมันร้อนจัด ก็ใส่ลูกชิ้นที่ต้มไว้ครึ่งหนึ่งลงไปทอด เสียงดังฉ่าขึ้นมาทันที สักพัก กลิ่นหอมก็ฟุ้งไปทั่วทั้งครัว

        จางเจิ้นอันเพิ่งเดินเข้าประตูบ้านมา ก็ได้กลิ่นหอมของปลาและกุ้ง กลิ่นหอมที่ลอยอยู่ในอากาศกระตุ้นความอยากอาหารของเขาได้เป็๲อย่างดี ตลอดบ่ายที่ต้องรับมือกับเด็กๆ ทั้งใช้สมองและใช้แรง เขารู้สึกว่าเหนื่อยยิ่งกว่าออกไปจับปลาเสียอีก แต่พอกลับถึงบ้าน ได้กลิ่นหอมๆ แบบนี้ ความเหนื่อยล้าก็หายไปหมดสิ้น

        เขาเดินเข้าไปในครัว เห็นอันซิ่วเอ๋อร์กำลังตักลูกชิ้นทอดขึ้นจากกระทะทีละลูก พอเห็นจางเจิ้นอันเดินเข้ามา นางก็หันมายิ้มให้ "ท่านพี่กลับมาแล้ว ข้ากำลังทำลูกชิ้นทองเงินอยู่พอดี ท่านลองชิมตอนร้อนๆ สิเ๯้าคะ"

        นางใช้ตะเกียบคีบลูกชิ้นสองสีจัดใส่จาน ครึ่งหนึ่งเป็๲ลูกชิ้นต้มสีขาวเหมือนหิมะ อีกครึ่งเป็๲ลูกชิ้นทอดสีเหลืองทอง ดูน่ากินมาก นางจัดวางอย่างสวยงาม แล้วคีบลูกชิ้นสีทองลูกหนึ่งส่งไปจ่อที่ปากจางเจิ้นอัน เขาอ้าปากงับเบาๆ เปลือกนอกกรอบ ข้างในนุ่ม รสชาติสดหวานอร่อยจนแทบละลาย

        "อร่อยไหมเ๯้าคะ?" นางเงยหน้าถาม

        "อร่อยมาก" เขาพยักหน้า ในแววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

        "ท่านชอบก็ดีแล้ว ที่ข้าอุตส่าห์ทำอยู่ตั้งนาน" อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มแก้มปริ นางบอกให้เขายกจานลูกชิ้นไปวางบนโต๊ะ ส่วนตัวเองก็ใช้น้ำมันร้อนๆ ที่เหลือในกระทะทำน้ำพริกเผาต่อ

        มื้อค่ำวันนั้น ทั้งสองกินแค่บะหมี่คลุกน้ำมันพริกเผาง่ายๆ กับลูกชิ้นทองเงิน แต่บ้านที่เรียบง่ายกลับดูอบอุ่นเป็๲พิเศษ เพราะมีกลิ่นหอมของอาหารและเสียงหัวเราะมีความสุขของหญิงสาว