คุณหนูแห่งตระกูลอัครมหาเสนาบดีและองค์ชายสามมีความสัมพันธ์ชู้สาวกันโดยไม่ผ่านแม่สื่อ ประโยคนี้ราวกับติดปีกบินไปทั่วทั้งนครหลวงในชั่วข้ามคืน
ในขณะที่เหยาเชียนเชียนและอาเหยียนกำลังรับสำรับเช้ากันอยู่ก็ได้ยินอาหญิงผู้ซึ่งชอบซุบซิบที่สุดในจวนกำลังอธิบายอย่างสมจริงสมจัง
“เื่นี้น่ะ เดิมท่านอ๋องเป็ฝ่ายคับข้องใจ แม้ว่าข่าวที่แพร่ออกไปจะไม่ค่อยน่าฟังนัก แต่ถึงอย่างไรก็เป็สองคนนั้นที่ไร้ยางอาย ยามนี้ภายนอกกำลังวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา”
อาหญิงเหลือบมองเสี่ยวซื่อจื่อ และในที่สุดปากที่พูดน้ำไหลไฟดับก็หยุดลงได้เสียที เหยาเชียนเชียนบีบใบหน้าเล็กของอาเหยียนเบาๆ และเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไปที่เรือนของตัวเองก่อนแล้วนางจะตามไปหาเขาทีหลัง
“ท่านแม่ มีความสัมพันธ์ชู้สาวกันโดยไม่ผ่านแม่สื่อคืออะไรหรือขอรับ?” อาเหยียนน้อยเอ่ยถามโดยไร้ซึ่งความเขินอาย
เมื่อเหยาเชียนเชียนและอาหญิงสบตากันต่างก็พากันปวดหัว พวกนางต้องอธิบายเื่นี้ให้เขาอย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นเขาจะประสบปัญหาใหญ่ถ้าเขาไม่เข้าใจและนำไปถามกับชิงผิงอ๋อง
“กล่าวอย่างง่ายๆ คือการที่ไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียมปฏิบัติอันพึงมี โดยต้องแต่งงานก่อน จากนั้นจึงค่อยอยู่ร่วมเรือนเดียวกัน” เหยาเชียนเชียนพยายามพูดให้อ้อมค้อมที่สุด โดยที่นางแทนเหตุการณ์นั้นด้วยคำว่าอยู่ร่วมเรือน อาหญิงที่อยู่ข้างๆ ก็อดหัวเราะไม่ได้
ดูเหมือนอาเหยียนน้อยจะไม่เข้าใจจึงเดินตามสาวใช้กลับไปที่เรือนของตัวเองก่อน เขาเปิดหนังสือเพื่อทำความเข้าใจด้วยตัวเองดีกว่า จะได้ไม่รบกวนท่านแม่
“หวังเฟย สองวันมานี้ผู้คนภายนอกกล่าวถึงพระองค์ไว้มากมายเช่นกันเพคะ” อาหญิงกล่าวเสียงเบา
เหยาเชียนเชียนพลันนึกขึ้นมาได้ว่าในคราแรกนางถูกซ่งอีอีใส่ร้าย ไม่ถือว่ากล่าวเกินจริงที่จะบอกว่าผู้คนทั้งเมืองต่างพากันวิจารณ์นางในด้านลบ ถึงอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับนางซึ่งเป็ชายาของชิงผิงอ๋องแล้ว มีคนอีกมากที่ไม่สามารถแต่งงานกับเป่ยเหลียนโม่ได้
ด้วยเหตุนี้ซ่งอีอีจึงทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกร่วมได้ง่ายกว่า และพากันด่าทอนางอย่างสะใจ
“เื่นี้คงยังไม่เพียงพอให้ผู้คนแสวงหาความบันเทิงกระมัง ถึงได้ดึงข้ากลับเข้าไปเกี่ยวข้องอีกครั้ง” เหยาเชียนเชียนอดไม่ได้ที่จะถอนใจ “ไม่จบไม่สิ้น”
“ไม่ใช่ๆ” อาหญิงรีบเอ่ยขึ้นมา “ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่แล้ว ทุกคนล้วนรู้ว่าคุณหนูซ่งผู้นั้นกับองค์ชายสามกระทำเื่น่าอับอาย คนประเภทนี้จะคู่ควรกับท่านอ๋องได้อย่างไร ยามนี้ผู้คนล้วนกล่าวกันว่าหวังเฟยมองการณ์ไกล และสมควรที่จะได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋อง”
นี่ก็เหมือนกับเทพบุตรที่ถูกแอบรักข้างเดียว เดิมทีกำลังจะได้แต่งงาน ทว่าอยู่ๆ คู่แต่งงานกลับออกนอกลู่นอกทาง ช่างชวนให้โมโหและร้อนรน หากเป็ไปได้ก็อยากจะเข้าไปก่นด่าสักสองประโยค
ยามนี้ซ่งอีอีตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่รู้ว่าชิงผิงอ๋องจะเป็วีรบุรุษในดวงใจของผู้ใดบ้าง ทั้งเหล่าสตรีกลุ่มหนึ่งที่รอคอยความฝัน และยังมีชายหนุ่มที่เลื่อมใสในตัวเขาอย่างสุดหัวใจ หรือแม้กระทั่งเหล่าผู้สูงอายุต่างก็ชื่นชมในตัวชายหนุ่มซึ่งฝ่าฟันอันตรายเพื่อเป่ยจิ้งผู้นี้
การได้เป็เช่อเฟยของเขาเป็สิ่งที่หลายคนมองว่าดี และเป็สิ่งที่หลายคนปรารถนาทว่าไม่อาจได้มา
และเพราะเป็เช่นนี้ ครั้งที่แล้วซ่งอีอีจึงต้องอาศัยการสนับสนุนจากทุกคน เพื่อให้ช่วยด่าทอเหยาเชียนเชียนจนเจียนตาย
“ลมน้ำหมุนเวียนสับเปลี่ยน [1] ยามนี้นางไม่เพียงแต่ทำลายความคาดหวังของทุกคน แต่นางยังโยนความคาดหวังนี้ลงบนพื้นและเหยียบย่ำมันอีกด้วย”
เหยาเชียนเชียนหัวเราะเบาๆ ไม่ง่ายเลยที่นางจะได้ตำแหน่งเช่อเฟยไป แต่นางกลับไม่หวงแหนและไม่รักตัวเอง เลือกที่จะคลานขึ้นไปบนเตียงขององค์ชายสาม เพียงนึกถึงเื่นี้ทุกคนต่างก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
“หวังเฟยกล่าวถูกต้อง นึกถึงในคราแรกนางยังคงร้องไห้และะโว่าอยากแต่งงานกับท่านอ๋อง ทั้งยังกล่าวออกมาอย่างเสน่หา หึ พระองค์ดูเอาเถิด นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไรเอง ท่านอ๋องเสด็จออกไปกับพระองค์เพียงสองวันเท่านั้น นางก็ไปนอนร่วมเตียงกับองค์ชายสามเสียแล้ว ผู้ใดเล่าจะไม่รังเกียจ”
ในคราแรกซ่งอีอีโอ้อวดตนเองมากเกินไป เอาแต่กล่าวว่านางยินดีเป็อนุ นางเป็ถึงคุณหนูแห่งตระกูลอัครมหาเสนาบดี แม้ต้องเป็อนุก็ยินดี นั่นทำให้ผู้คนต่างรู้สึกประทับใจหลังจากได้ยินเช่นนั้น
ทว่ายามนี้พิธีอภิเษกสมรสยังไม่ทันได้จัดขึ้น และชิงผิงอ๋องก็ไม่ได้เดินทางไปไหนไกล ในเวลาเพียงสองวันสั้นๆ นางก็ยังสามารถไปพัวพันกับเป่ยเซวียนเฉิงได้ ไม่ว่าผู้ใดกล่าวขึ้นมาก็ล้วนอดย่นจมูกอย่างรังเกียจไม่ได้
“ถึงแม้ฮ่องเต้จะทรงถ่ายทอดราชโองการแล้ว แต่ทุกคนไม่ใช่คนเขลา ‘องค์ชายสามวอนขอสตรีงามอย่างนางมา แสวงหารักแท้โดยไม่คำนึงถึงว่าจะเป็การล่วงเกินพระเกียรติขององค์จักรพรรดิ’ อย่างนั้นหรือ เฮ้อ” อาหญิงยิ้มเยาะ “ต่อให้กล่าวอย่างไพเราะเพียงใดก็เป็ได้เพียงข้ออ้างเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของราชวงศ์เท่านั้น”
ข้ออ้างนี้ถือว่าช่วยเป่ยเซวียนเฉิงและซ่งอีอีไว้ได้ก็จริง แต่โดยส่วนตัวแล้ว หากกล่าวด้วยคำของอาหญิง หากยังมีคนมองไม่ออกว่าเป็ข้ออ้างที่กล่าวเสริมเป็นัยโดยเจตนาอยู่อีก เช่นนั้นก็เกรงว่าคนผู้นั้นคงจะเป็คนเขลาอย่างถึงที่สุดแล้ว
เหยาเชียนเชียนรู้สึกขบขันกับคำกล่าวของอาหญิง ยามนี้ดูเหมือนว่าผู้คนภายนอกเริ่มกล่าวถึงเื่ของนางกันอีกครั้ง แม้ในคราแรกมือสังหารจะสารภาพว่าได้รับคำสั่งมาจากนาง แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่สามารถพิสูจน์ได้ว่านางเป็ผู้บงการอยู่เื้ั
ทุกอย่างล้วนเป็ถ้อยคำใส่ความให้ร้ายของซ่งอีอี จริงหรือเท็จไม่สามารถแยกแยะได้
ในคราแรกเหยาเชียนเชียนตกเป็เป้าวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คน ดังนั้นย่อมไม่มีผู้ใดออกตัวมาวิเคราะห์เื่นี้อย่างละเอียด แต่ยามนี้คนที่ประสบอุปสรรคก็คือซ่งอีอี และคราแรกที่กล่าวว่าเหยาเชียนเชียนส่งมือสังหารไปสังหารนางก็คงต้องนำมาพูดคุยถกเถียงกันอย่างละเอียด
“ท่านอ๋องเล่า” เหยาเชียนเชียนเอ่ยถาม “ข้าอยากคุยกับท่านอ๋องสักหน่อย”
แม้ว่าเื่ของซ่งอีอีดูเหมือนจะเป็ไปอย่างราบรื่น แต่เหยาเชียนเชียนก็รู้สึกว่าจะขาดชิงผิงอ๋องที่เป็ผู้ผลักดันอยู่เื้ัไปไม่ได้ ไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหาการแต่งงานอันน่ารำคาญนี้ได้เท่านั้น แต่ยังเป็การช่วยดึงนางออกมาจากปลักอีกด้วย
เหยาเชียนเชียนอยากไปขอบคุณเขาสักหน่อย
“ท่านอ๋องอยู่ที่ห้องหนังสือเพคะ” อาหญิงพูด “ถ้าหวังเฟยอยากไปพบท่านอ๋อง ทางห้องเครื่องตุ๋นน้ำแกงสงบใจไว้เรียบร้อยแล้ว หวังเฟยยกไปด้วยสิเพคะ”
เหยาเชียนเชียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าทุกคนต่างก็หวังให้นางและชิงผิงอ๋องรักกันตลอดไป หากรู้ว่านี่เป็เพียงการแสดงละครแสร้งว่ารักกันฉากหนึ่งเท่านั้น พวกเขาจะผิดหวังกันหรือไม่?
“สองสามวันมานี้ท่านอ๋องทรงงานหนักมาก เมื่อคืนนี้แสงไฟในห้องหนังสือก็สว่างอยู่ค่อนคืน หากหวังเฟยนำน้ำแกงสงบใจไปให้ต้องมีประโยชน์แน่นอนเพคะ”
แม้ว่าเป้าหมายสุดท้ายจะไม่เหมือนกัน แต่โดยเนื้อแท้แล้วล้วนทำเพื่อขอบคุณอีกฝ่าย เหยาเชียนเชียนทำได้เพียงจดจ้องสายตาอันมีเมตตาของอาหญิง และตรงไปที่ห้องเครื่องเพื่อยกน้ำแกงสงบใจไปให้ชิงผิงอ๋อง
เมื่อเทียบกับความน่าหวาดหวั่นยามที่เหยาเชียนเชียนแต่งเข้าจวนอ๋องในคราแรก ยามนี้เมื่อได้อยู่ด้วยกันแล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าหวังเฟยผู้นี้อ่อนโยนมาก ไม่หยิ่งผยองหรืออารมณ์ร้าย ทั้งยังปฏิบัติต่อบ่าวไพร่อย่างเป็มิตร
แน่นอนว่าเสี่ยวซื่อจื่อฉลาดที่สุด เขาััได้ว่าหวังเฟยเปลี่ยนไปเป็อีกคนั้แ่แรก ยามนี้หากเปลี่ยนนายหญิงของจวนเป็คนอื่นก็คงไม่มีผู้ใดจิตใจดีได้เท่านี้อีกแล้ว
ดังนั้นคุณหนูตระกูลอัครมหาเสนาบดีในเสียงเล่าลือผู้นั้นมอบให้องค์ชายสามใช้ประโยชน์เองเสียดีกว่า พวกเราที่นี่สบายดีกันอยู่แล้ว
“ท่านอ๋อง?”
เหยาเชียนเชียนยกน้ำแกงเข้าไป ทั้งที่องครักษ์หน้าประตูแจ้งว่าท่านอ๋องอยู่ข้างใน แต่เหตุใดถึงไม่เห็นมีผู้ใดอยู่เลยเล่า?
ร่างเล็กร่างหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังของฉากบังลม เหยาเชียนเชียนวางน้ำแกงสงบใจลงด้วยความประหลาดใจก่อนจะเอ่ยทักทายเสียงเบา
“เสี่ยวไกวไกว มานี่ๆ”
แมวดำะโเข้าสู่อ้อมแขนของนางอย่างว่าง่าย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและจูบคางของนาง เหยาเชียนเชียนจั๊กจี้จึงยิ้มและลูบหัวของมันเบาๆ
“หลังจากข้ากลับมาก็ไม่เห็นเ้าเลย คิดว่าเ้าหนีออกไปเที่ยวเล่นเสียอีก” นางพูดพร้อมกับจับอุ้งเท้าของแมวดำไว้ “สองสามวันก่อนท่านอ๋องพาข้าไปที่เรือนพักผ่อน ที่นั่นสวยมาก ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสจะพาเ้าไปด้วยกัน"
ที่แท้เ้าก็ชอบที่นั่น ดวงตาของแมวดำเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ชอบก็ดีแล้ว ข้ามอบให้เ้า
“สองสามวันที่ผ่านมาเกิดเื่ขึ้นมากมาย เดิมทีข้าอยากจะมาขอบคุณท่านอ๋อง แต่ไม่คิดว่าท่านอ๋องจะไม่อยู่ที่นี่”
แมวดำเห็นน้ำแกงที่วางอยู่บนโต๊ะชามนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะสะบัดหาง กลิ่นนี้เพียงดมดูก็รู้ได้ว่าทำโดยคนของห้องเครื่อง แต่นางมีน้ำใจเช่นนี้ก็ถือว่าดีแล้ว
“ข้าคิดว่าท่านอ๋องเก่งกาจเหลือเกิน ถึงจะไม่รู้ว่าเขาถือโอกาสนี้ช่วยกอบกู้ชื่อเสียงของข้าไว้หรือไม่ แต่เขาสามารถวางแผนได้หลายอย่างโดยที่ข้าไม่รู้ตัว เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน”
เหยาเชียนเชียนลูบขนแมวดำพร้อมกับพูดร่ำไรมากมายไปด้วย ส่วนใหญ่ล้วนกล่าวว่าครั้งนี้รู้สึกได้ระบายความโกรธเต็มที่ ดูสิว่าต่อไปผู้ใดจะกล้ายกเื่ประดิษฐ์เ่าั้มาจัดการนางอีก และถือโอกาสพูดยกย่องเป่ยเหลียนโม่ด้วย
แมวดำสบายมากจนเกือบจะหลับไป นิ้วอันอ่อนโยนลูบไล้ไปตามตัวเขาเบาๆ อีกทั้งข้างหูก็เต็มไปด้วยคำชมเชยตัวเอง วันแบบนี้จะอยู่ได้นานกว่านี้แน่นอน
“เพียงแต่ครั้งนี้ท่านอ๋องถือว่าล่วงเกินจวนเฉิงเซี่ยงอย่างถึงที่สุด เดิมทีเขาอาจจะสามารถใช้ซ่งอีอีเพื่อสร้างสัมพันธ์กับอัครมหาเสนาบดีให้มาเป็ผู้สนับสนุนเขาได้ ทว่ายามนี้กลับทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว”
ถึงอย่างไรเขาก็เป็ถึงเฉิงเซี่ยง เป็รองเพียงคนเดียวอยู่เหนือคนนับหมื่น อำนาจนั้นย่อมไม่อาจดูิ่ได้ เหยาเชียนเชียนกังวลเล็กน้อย หากว่าท่านอ๋อง้าเป็ฮ่องเต้ ยิ่งเขาได้รับความช่วยเหลือมากเท่าไรก็จะยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น
แม้เหตุผลที่ชิงผิงอ๋องปฏิเสธการแต่งงานจะไม่ใช่เพราะนางทั้งหมด แต่นางก็มีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย หากเขาสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งด้วยเหตุผลนี้ อีกทั้งยังส่งผู้ช่วยที่มีอำนาจไปให้เป่ยเซวียนเฉิงอีก เช่นนั้นเมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ถือว่าเป็การสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
แมวดำใช้ปลายหางเกาไปที่คางของเหยาเชียนเชียน เขาจะกลัวเฉิงเซี่ยงด้วยเหตุใด คนเป็ขุนนาง สิ่งที่ควรศรัทธาจนถึงวันตายก็คือความซื่อสัตย์ หากสร้างความวุ่นวายในราชสำนักเพื่อเื่ยุ่งเหยิงเ่าั้ จะไม่เก็บคนผู้นี้ไว้ก็ไม่เป็ไร
“การจะนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นเป็อันตรายเสมอ และก็ไม่รู้เช่นกันว่าข้าจะสามารถเห็นท่านอ๋องก้าวไปได้ไกลเท่าใด”
แมวดำเงยหน้าขึ้นมองนาง ที่บอกว่าไม่รู้นั้นหมายความว่าอย่างไร นางต้องอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปอยู่แล้ว และคอยดูเขาปกครองใต้หล้า คนที่จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปก็คือนาง
คงไม่ใช่เพราะว่าจนถึงยามนี้แล้วสตรีผู้นี้ก็ยังคิดจะจากเขาไปอยู่อีกหรือ?
แมวดำลุกขึ้นยืนในทันที ดวงตาสีมรกตไร้ซึ่งแววเฉื่อยชาเหมือนเมื่อครู่แล้ว มันจ้องไปที่เหยาเชียนเชียนเขม็ง ทำให้คนที่ยังคงอยู่ในภวังค์ต้องมองมาอย่างอดไม่ได้
“เป็อะไรไป?”
เหยาเชียนเชียนโน้มเข้าไปหมายจะจูบมัน แต่กลับถูกอุ้งเท้าตะปบลงบนปาก
ยังไม่ให้จูบยามนี้
เขาทำมามากมายขนาดนี้แล้ว นางก็น่าจะรับรู้ได้ว่าเขามองนางเปลี่ยนไปจากเดิม เมื่อไม่กี่วันก่อนที่เรือนพักผ่อน เขาก็เห็นได้ว่านางมีความสุข ในสายตาก็ไม่มีความกังวลและความตึงเครียดอย่างเช่นแต่ก่อนแล้ว
มาถึงจุดนี้แล้ว เหตุใดนางถึงยังคิดที่จะจากไปอีก ในเมื่อทุกอย่างกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดี เหตุใดถึงไม่อยู่รอต่ออีกสักหน่อย เพื่อให้เวลาแก่เขาและนางได้พัฒนาความสัมพันธ์
“เ้ามีอะไรจะบอกข้าหรือ?”
เหยาเชียนเชียนถือโอกาสจูบอุ้งเท้าเล็กเบาๆ “จะว่าไปข้าก็ไม่เคยได้ยินเ้าร้องเลยสักครั้ง เหมียว เหมียว เหมียว เ้าี้เีร้องหรือ?”
แมวดำถอนกรงเล็บของมันออกอย่างกังวลเล็กน้อย ยามนี้เขาไม่สามารถส่งเสียงแบบนั้นเหมือนยามเด็กได้แล้ว ทุกครั้งที่ส่งเสียงก็จะเป็เสียงของมนุษย์ หากส่งเสียงร้องคงทำให้นางใไม่น้อย
“ช่างเถิด ไม่ร้องก็ไม่ต้องร้อง ดูขรึมดีเหมือนกัน”
เหยาเชียนเชียนไม่เซ้าซี้มากนัก ในเมื่อชิงผิงอ๋องไม่อยู่ นางจึงคิดจะอุ้มแมวดำไปหาอาเหยียน ทว่าเมื่อััได้ถึงความคิดของนาง แมวดำก็ดีดตัวไปข้างหลังและวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
เขายังไม่สามารถเอาท่าทีพึ่งพาอาศัยนี้ไปให้อาเหยียนเห็นได้
มันวิ่งออกไปนอกเรือน รอจนเหยาเชียนเชียนจากไปแล้วจึงะโเข้าไปทางหน้าต่าง เป่ยเหลียนโม่ก้มศีรษะดูน้ำแกงสงบใจบนโต๊ะแล้วดื่มช้าๆ จนหมด
ยามนี้แม้นางจะไม่ผลักไสเขาแล้ว แต่หาก้าให้นางเปิดใจให้กันอย่างเต็มที่ เขาก็ยังสู้แมวดำตัวนั้นไม่ได้ แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถรั้งนางให้อยู่ด้วยกันได้
ชิงผิงอ๋องขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด บางทีอาจจะเป็อย่างที่อาเหยียนพูด มีน้องสาวสักคนก็ไม่เลว
เชิงอรรถ
[1] ลมน้ำหมุนเวียนสับเปลี่ยน หมายถึง เมื่อถึงเวลาของใคร คนผู้นั้นย่อมลงมือได้เปรียบกว่าอีกฝ่าย
