เมื่อคำว่า ‘ย่อมยับ’ สองคำนี้ถูกเปล่งออกมา มู่ชิงก็รู้สึกเหมือนว่าร่างกายจะหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาฉับพลัน เม็ดเหงื่อเริ่มผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้า
หนานหลิงยิ้มมุมปาก ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าน้องมู่ชิงเป็คนมีเหตุมีผล จากทิศทางของสถานการณ์ในตอนนี้ คนเชื่อฟังย่อมอยู่รอด ส่วนคนที่คิดฏล้วนต้องตายทั้งสิ้น หากตระกูลมู่ยังคิดจะต่อต้านต่อไป จุดจบย่อมมีเพียงแบบเดียวเท่านั้น”
“นั่นคือถูกทำลายจนสิ้นซาก!”
หนานหลิงหรี่ตาลง พร้อมเผยจิตสังหารออกมา!
หลังจากได้ยินดังนั้นมู่ชิงก็เงียบเสียงไปทันที
หนานหลิงยังคงกล่าวต่อว่า “ตระกูลมู่ที่มีมู่เฉินเป็ผู้นำในตอนนี้นั้นกำลังพยายามต่อต้านทิศทางลม ข้าไม่จำเป็ต้องพูดอะไรให้มากมาย เ้าก็คงพอจะมองเห็นจุดจบของมันอยู่แล้ว
“หากกล่าวกันตามจริง จวนเป่ยอ๋องยังคงให้ความสำคัญต่อตระกูลที่ภักดีอย่างตระกูลมู่ เพียงแต่ผู้นำของตระกูลมู่กลับไม่เข้าใจอะไรเอาเสียเลย หากว่าเขาสามารถเข้าใจอะไรได้อย่างง่ายดายเหมือนน้องมู่ชิง ตระกูลมู่จะต้องเผชิญกับวิกฤตอย่างเช่นทุกวันนี้หรือ”
“เฮอะๆ ข้าเข้าใจแล้วจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อท่านลุงใหญ่ของข้าไม่ยอมเข้าใจ เวลานี้ทุกคนในตระกูลมู่ต่างก็ยกย่องมู่เฟิงในฐานะนายน้อย”
มู่ชิงยิ้มเยาะตัวเอง
“ไม่หรอก อนาคตล้วนจะถูกตัดสินโดยคนรุ่นเรา ต่อไปผู้ที่จะชี้นำตระกูลมู่ล้วนเป็พวกเรา ถึงเวลานั้นมู่เฉินคงแก่ชราไร้ความสามารถแล้ว”
หนานหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะ ทันใดนั้นดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นก่อนจะพูดว่า “น้องมู่ชิง หากในอนาคตเ้ากลายเป็ผู้นำตระกูลมู่ ตระกูลมู่ย่อมจะสามารถอยู่เคียงคู่กับอาณาจักรหนานหลิงต่อไปอย่างแน่นอน และกลายเป็ตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ของเมืองหลวง
“แต่หากต่อไปผู้นำของตระกูลมู่คือมู่เฟิง เกรงว่าอนาคตของตระกูลมู่คถึงทางตันแล้ว หรือกระทั่งอาจจะประสบกับหายนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
เมื่อมู่ชิงได้ยินดังนั้น ดวงตาของเขาก็ทอประกายขึ้นมาทันที ฉายให้เห็นถึงความทะเยอทะยานที่อยู่ภายในตัวเขาอย่างชัดเจน!
หนานหลิงยังคงกล่าวเติมเชื้อไฟว่า “หากน้องมู่ชิงมีใจคิดทะเยอทะยานอยากจะปีนป่านขึ้นไปให้สูงกว่านี้ จวนเป่ยอ๋องของเราก็ย่อมยินดีให้ความช่วยเหลือเ้า ไม่แน่ว่าในอนาคตจวนเป่ยอ๋องและตระกูลมู่อาจจะสามารถหยัดยืนอยู่เคียงข้างกันบนจุดสูงสุดของอาณาจักรหนานหลิงได้”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ มู่ชิงยังคงนิ่งเงียบโดยไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ทว่าดวงตาคู่นั้นของเขากลับมีคลื่นความอารมณ์อันซับซ้อนสะท้อนอยู่ในนั้น
หนานหลิงเหยียดยิ้ม ก่อนจะรินชาอีกถ้วยให้แก่มู่ชิงและตัวเอง จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบ
มู่ชิงเผลอยกถ้วยชาขึ้นจิบโดยไม่รู้ตัว หลังจากจิบเข้าไปแล้วเขาก็วางถ้วยชาลง ดวงตาของเขาฉายแววมุ่งมั่นราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว เขามองไปที่หนานหลิงก่อนจะกล่าวว่า “หากในอนาคตข้าได้ปกครองตระกูลมู่ ข้าก็ยินดีจะเป็พันธมิตรกับจวนเป่ยอ๋อง!”
“ฮ่าๆ ๆ ๆ ข้ากำลังรอคำพูดนี้ของน้องมู่ชิงอยู่พอดี จวนเป่ยอ๋องของข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือน้องมู่ชิง เพียงแต่หากน้องมู่ชิง้าควบคุมตระกูลมู่ มีคนผู้หนึ่งที่เ้าจำเป็ต้องกำจัดทิ้งเสียก่อน!”
หนานหลิงหัวเราะออกมาก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า
“เ้าหมายถึง...”
รูม่านตาของมู่ชิงหดตัว เขาตระหนักได้ทันทีว่าหนานหลิงกำลังกล่าวถึงใคร
“มู่เฟิง!”
หนานหลิงเอ่ยชื่อคนผู้นั้นออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
มู่ชิงก้มศีรษะลงราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่ไม่นานเขาก็กล่าวขึ้นว่า “แม้ข้าจะไม่พอใจท่านลุงใหญ่ที่ปฏิบัติต่อข้าอย่างไม่ยุติธรรม แต่อย่างไรเขาก็เป็ลูกพี่ลูกน้องของข้า บิดาเขาคือท่านลุงรองของข้า หากข้าทำเช่นนั้น ข้าจะกลายเป็คนบาปของตระกูลมู่ตลอดไป”
“น้องมู่ชิง ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในการทำการใหญ่ได้ต้องไร้ความปรานี เ้ามองเขาเป็ลูกพี่ลูกน้องของเ้า แล้วเขาเล่า เขามองเ้าเป็ลูกพี่ลูกน้องของเขาหรือไม่ เขาพยายามจะแข่งขันกับเ้าในทุกๆ เื่เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานจากท่ายลุงใหญ่ของเ้าไม่ใช่หรือ”
หนานหลิงยังคงยั่วยุต่อไป
เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของมู่ชิงพลันมืดครึ้มลง แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ทันใดนั้นบนมือของหนานหลิงก็พลันมีแสงสีขาวส่องสว่าง จากนั้นขวดหยกสีแดงปรากฏขึ้นในมือของเขา ชายหนุ่มอธิบายต่อว่า “ขวดยานี้เป็ยาประหลาดชนิดหนึ่ง ผู้ที่ได้รับมันเข้าไปจะค่อยๆ สูญเสียวรยุทธ์ พลังในจุดตันเถียนจะแห้งเหือด ในเมื่อน้องมู่ชิงไม่เต็มใจจะลงมืออย่างโหดร้าย เช่นนั้นการใช้ยาตัวนี้ถือเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด เพียงมู่เฟิงได้รับยานี้เข้าไป เขาก็จะกลายเป็เพียงแค่เศษสวะไร้ค่าอีกครั้ง คราวนี้ในบรรดาทายาทสายตรงของตระกูลมู่ ยังจะมีใครสามารถแข่งขันกับน้องมู่ชิงได้อีก?
“น้องมู่ชิง อนาคตล้วนอยู่ในมือของเ้าเอง หากว่าเ้า้าจะต่อสู้เพื่อนำพาตระกูลมู่ไปสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้ง เ้าต้องกำจัดมู่เฟิงผู้นี้เสีย แต่หากน้องมู่ชิงเต็มใจจะอยู่ใต้อาณัติของผู้อื่นเช่นนี้ต่อไป เช่นนั้นวันนี้ก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”
กล่าวจบหนานหลิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงหันไปจิบชากับซั่งกวานเชียนจื้อต่อเท่านั้น
“อืม...นับเป็ชาดี ชารสชาติดีเช่นนี้ หากไม่ใช่คนใกล้ชิดที่รู้สึกสนิทใจ ข้าหนานหลิงคงจะไม่นำมันออกมา”
หนานหลิงกล่าวพึมพำกับตัวเอง
“ฝ่าา ชาชั้นดีแบบนี้มีไว้สำหรับผู้ที่มีอุดมการณ์สูงส่ง ไม่ใช่ของพวกคนขี้ขลาดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ซั่งกวานเชียนจื้อกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มเ้าเล่ห์
“วางใจเถอะ ข้าหนานหลิงไม่มีทางมองคนผิด อำนาจ หญิงงาม สุราชั้นดีและชารสเลิศ อนาคตอันสดใสทั้งหมดนี้ล้วนเป็ทางเลือกของคนผู้เดียว”
หนานหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
ทางด้านมู่ชิง ดวงตาของเขากำลังสั่นไหว และสีหน้าของเขาก็ดูซับซ้อนเป็อย่างยิ่ง
เขามองไปยังขวดยาสีแดงบนโต๊ะ ในที่สุดเขาก็ยื่นมือไปคว้าขวดยานั้นมา
“ฮ่าๆ ๆ ๆ ข้าหนานหลิงมองคนไม่ผิด อาณาจักรหนานหลิงในภายภาคหน้าย่อมต้องมีที่ว่างสำหรับน้องมู่ชิงอย่างแน่นอน”
หนานหลิงหัวเราะออกมาเสียงดัง พร้อมกับยกมือขึ้นตบลงบนไหล่ของมู่ชิงอย่างเอ็นดู ส่วนซั่งกวานเชียนจื้อเพียงมองดู ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาเท่านั้น...
ความริษยา อำนาจ ทั้งหมดนี้ก็เหมือนกับยาพิษ...
ขณะนี้พวกมู่เฟิงได้ไปยังวิหารรับภารกิจเพื่อรับเอาคะแนนหลังจบการประเมิน ครั้งนี้บัตรผลึกของเขาได้รับคะแนนเพิ่มขึ้นมาสามหมื่นคะแนน
มู่เฟิงมอบคะแนนให้แก่ว่านเอ๋อร์ห้าพันคะแนน เขายัง้ามอบคะแนนให้กับมู่หลิงเอ๋อร์อีกจำนวนหนึ่ง แต่มู่หลิงเอ๋อร์ปฏิเสธ นอกจากนี้เขายังมอบคะแนนให้ศิษย์ตระกูลมู่ที่ไม่ได้เข้าสู่สิบอันดับแรกของการประเมิน มู่เฟิงและมู่ขวงล้วนแบ่งปันคะแนนให้แก่พวกเขา ทำให้ทุกคนต่างก็มีคะแนนไม่ต่ำกว่าสี่พันคะแนน ส่วนมู่เฟิงมีคะแนนเหลือมากกว่าหนึ่งหมื่นคะแนน
บัตรผลึกสีน้ำเงินที่มีคะแนนกว่าหนึ่งหมื่นคะแนนในตอนนี้ เพียงพอให้มู่เฟิงใช้ได้อีกสักพักใหญ่ๆ
วันที่สามหลังจากจบการประเมินแขกผู้หนึ่งก็มาเยือนเรือนพักของมู่เฟิง ไป๋จื่อเยว่และมู่ขวง คนผู้นั้นก็คือผู้าุโอู๋อี้
“คารวะผู้าุโอู๋”
มู่เฟิงและคนอื่นๆ ต่างก็ประสานมือกำหมัดคารวะผู้าุโอู๋อี้ด้วยความเคารพ
“ฮ่าๆ พวกเ้าสามคนตามสบายเถอะ ไม่จำเป็ต้องมากพิธี ข้ามั่นใจมากว่าข้ามองคนไม่ผิด ยินดีกับสามอันดับแรกของการประเมินบัณฑิตใหม่ในรุ่นนี้ด้วย”
อู๋อี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม โดยจงใจเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มทั้งสาม
เด็กทั้งสามคนนี้ล้วนเป็บัณฑิตที่เขาคัดเลือกมาเอง ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายประสบความสำเร็จในการประเมิน เขาย่อมได้รับเกียรติต่อหน้าผู้าุโคนอื่นๆ ไปด้วย
“ฮ่าๆ เพียงแค่โชคดีเท่านั้นขอรับ เอ่อ ไม่ทราบว่าผู้าุโอู๋มาที่นี่ด้วยธุระอันใดหรือขอรับ...?”
มู่เฟิงถามขึ้น แต่ในใจของเขาพอจะทราบคำตอบอยู่แล้ว
“ข้าได้รับคำสั่งจากผู้าุโเจิ้งให้มาพาพวกเ้าไปยังหอคัมภีร์เพื่อรับเอาทักษะวิชาระดับนิลกาฬที่พวกเ้าสมควรได้รับ”
ผู้าุโอู๋อี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ทักษะวิชาระดับนิลกาฬ!”
เมื่อได้ยินคำนี้ดวงตาของเด็กหนุ่มทั้งสามก็เป็ประกายขึ้นมาทันที ความคาดหวังพลันปรากฏขึ้นในใจของพวกเขา
“รบกวนผู้าุโแล้ว”
มู่เฟิงประสานมือกำหมัดทำความเคารพอีกฝ่ายอีกครั้ง จากนั้นผู้าุโอู๋อี้ก็เดินนำเด็กหนุ่มทั้งสามคนออกไปทันที
“มู่เฟิง ข้าจำได้ว่าเ้าเป็นักสลักลายเส้นขั้นสองใช่หรือไม่?”
ผู้าุโอู๋อี้เอ่ยถามขึ้นขณะนำทาง
“ใช่แล้วขอรับ เวลานี้ความสามารถด้านการสลักลายเส้นเครื่องรางและลายเส้นโอสถของศิษย์อยู่ในขั้นสองแล้วขอรับ”
มู่เฟิงพยักหน้า
“อืม ในสำนักศึกษาเทียนอวิ่นของเรามีสถานที่สำหรับนักสลักลายเส้นอยู่ด้วย เพียงแต่คงเทียบไม่ได้กับทางวิหารสลักลาย ภายในโถงลายเส้นแห่งนั้นมีพวกตำราและบันทึกของลายเส้นอยู่ไม่น้อย ทั้งลายเส้นค่ายกล ลายเส้นโอสถ ลายเส้นเครื่องรางหรือลานเส้นอาวุธล้วนมีอยู่ทั้งหมด หากเ้าสนใจสามารถไปเยี่ยมชมที่นั่นได้ ด้วยพร์ของเ้าแล้ว บางทีสิ่งเ่าั้อาจจะมีประโยชน์ต่อเ้า”
ผู้าุโอู๋อี้กล่าวแนะนำอีกฝ่าย
“โถงลายเส้น...”
หลังจากได้ยินคำกล่าวนั้น มู่เฟิงก็พยักหน้าพลางจดจำให้ขึ้นใจก่อนจะกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย
คนทั้งสี่เดินไปอย่างไม่เร่งรีบเท่าไรนัก หลังจากใช้เวลาราวๆ ยี่สิบนาทีในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหอคอยสีดำแห่งหนึ่ง
ที่ด้านนอกของหอคอยแห่งนี้นั้นสามารถมองเห็นม่านพลังสีขาวที่ปกคลุมตัวหอคอยจากภายนอกได้ มันคือมนตราแบ่งเขตประเภทหนึ่ง เป็ค่ายกลขั้นสี่ที่ทรงอนุภาพเป็อย่างยิ่ง ต่อให้ผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตานใช้พลังทั้งหมดเพื่อทำลายมันก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ
หอคอยสูงแห่งนี้คือหอคัมภีร์ของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้