หลินหวั่นชิวไม่สนใจว่าเถ้าแก่ได้เงินเท่าไร นางได้ในส่วนที่ควรได้เป็พอแล้ว โลภเกินไปไม่ดี หากเราเอาเงินทั้งโลกมาเป็ตัวเองเสียหมด ผู้อื่นไม่ต้องอดอยากกันพอดีหรือ?
เป็ไปไม่ได้
วัสดุที่หลินหวั่นชิวซื้อจากเสียนอวี๋ล้วนไม่แพง ไข่มุกในยุคปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยง อีกทั้งไข่มุกที่ซื้อก็ไม่ได้เกรดสูง เม็ดไม่ใหญ่ ส่วนใหญ่เป็แค่เม็ดเล็กๆ ขายถูกบนเสียนอวี๋จนไม่รู้จะถูกอย่างไร
หินหมาเหน่ากับหินหยกก็ไม่ใช่แร่หายาก บวกกับการหาซื้อในยุคปัจจุบันก็ต่างจากอดีต สะดวกรวดเร็ว ประหยัดเวลาและประหยัดแรงงานกว่ามาก เมื่อราคาต้นทุนลดลงย่อมขายถูก
สรุปคือ ยุคสมัยแตกต่างกัน ราคาวัสดุย่อมต่างกันมาก ด้วยเหตุนี้เ้าของร้านจึงรู้สึกว่าราคาที่หลินหวั่นชิวขายเหมาะสม ไม่ได้ดึงดันที่จะต่อรองราคากับนาง
ท้ายที่สุดสองแม่ลูกที่อยู่ด้านนอกก็เลือกดอกไม้ลูกปัดไปสี่ดอก ดอกไม้ผ้าหกดอก เ้าของร้านลดราคาให้สองส่วน ทั้งคู่พึงพอใจเป็อย่างมาก
เ้าของร้านดีใจมากเช่นกัน เสียดายก็แต่มีของน้อยไปหน่อย
มาส่งหลินหวั่นชิวออกจากร้าน เขาถามด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสาว ยังไม่ทราบเลยว่าต้องเรียกเ้าว่ากระไร ข้าชื่อเฉียวว่านชิง เรียกข้าว่าเหล่าเฉียวหรือเถ้าแก่เฉียวก็ได้”
หลินหวั่นชิวยิ้มอย่างสุภาพ “ข้าหลินหวั่นชิว สามีข้าแซ่เจียง” เวลาสตรีในยุคนี้แนะนำตัวมักเอ่ยถึงครอบครัวสามี หลินหวั่นชิวเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
“ที่แท้ก็เจียงไท่ไท่ ฮ่าฮ่าฮ่า วันหน้าเจียงไท่ไท่มาซื้อของที่ร้าน ข้าจะลดราคาให้สามส่วน!”
“เถ้าแก่เฉียวเกรงใจท่านแล้ว ท่านกลับไปเถิด พรุ่งนี้สายๆ ข้าจะให้คนนำของมาส่ง” เจรจาธุรกิจเรียบร้อยแล้ว นางไม่จำเป็ต้องมาด้วยตัวเองอีก ให้ยายสวีนำมาส่งก็พอ นางยังมีงานอื่นต้องทำอีกมาก
ออกจากร้านขายเครื่องประดับ นึกได้ว่าคืนนี้เจียงหงหย่วนจะกลับเร็ว หลินหวั่นชิวก็อยากทำของอร่อยให้เขากิน
นางเห็นว่ามีคนขายเนื้อแกะในตลาดจึงไปซื้อมาหนึ่งขา ซื้อเครื่องในมาเล็กน้อย คืนนี้ทำต้มเนื้อแกะ
จากนั้นซื้อหัวไชเท้า เห็ดสด ผักกาดขาว เต้าหู้ ผักชีและต้นหอมต่างๆ ฟู่เหรินตัวเล็กท่าทางบอบบางถือของเต็มมือทั้งสองข้าง คนนอกมองมายังรู้สึกหนัก แต่นางกลับเดินถืออย่างสบายๆ เป็ที่น่าแปลกใจของคนรอบข้างยิ่งนัก
แม่นางคนสวยผู้นี้แรงเยอะไม่เบา
สามีนางช่างโชคดี สตรีแรงเยอะมีความอดทนสูง ที่สำคัญคือสวยอีกต่างหาก
กลับมาถึงบ้าน ยายสวีรีบเข้ามารับของจากมือหลินหวั่นชิว หลินหวั่นชิวไม่ได้มอบของให้นางเสียทั้งหมด ทั้งคู่ช่วยกันถือของเข้าห้องครัว หลินหวั่นชิวใส่ผ้ากั้นเปื้อนแล้วเริ่มงานทันที
นางให้ป้าสวีเลาะเนื้อแกะออกมา ใช้สันของมีดโค้งเคาะกระดูกให้หัก ล้างน้ำแล้วใส่ลงในหม้อดินใบใหม่ ใส่ขิง ต้มหอม พริกไทย พริกฮวาเจียว พริกแห้งสองเม็ดและเปลือกส้มลงไปตุ๋นด้วยกัน
ยายสวีออกไปล้างผักที่ลานบ้าน หลินหวั่นชิวหั่นเนื้อแกะที่เลาะออกมาแล้วเป็ชิ้นใหญ่ๆ โยนลงไปลวกในน้ำเพียงครู่เดียวก็ตักขึ้นมาพักให้เย็นก่อนจะหันเป็ชิ้นหนาพอดีคำ หมักด้วยเหล้าสำหรับทำอาหาร
จากนั้น นางล้างหม้อให้สะอาด เทน้ำมันร้อนๆ ลงไปพร้อมกับขิงแบน กระเทียมสับและพริกฮวาเจียว ใส่เนื้อแกะลงไปผัดสองสามครั้งก็ตักไปตุ๋นต่อในหม้อดิน
นางคิดในใจว่าโชคดีที่หม้อดินใบใหญ่ มิเช่นนั้นคงใส่ขาแกะสิบชั่งไม่หมดเป็แน่
ไม่นาน กลิ่นหอมของเนื้อแกะเข้มข้นก็ลอยออกจากห้องครัว
“ฝีมือของไท่ไท่ดีมากจริงๆ ข้าแค่ดมกลิ่นก็น้ำลายไหลเสียแล้ว” ยายสวีประจบด้วยรอยยิ้ม แต่แน่นอนว่าที่นางพูดก็เป็ความจริงเช่นกัน
“เช่นนั้นคืนนี้ท่านก็กินเยอะหน่อย!” หลินหวั่นชิวชอบให้คนชมฝีมือการทำอาหารของตัวเองมาก
“ได้ ขอบคุณเ้าค่ะไท่ไท่!” ป้าสวีตอบด้วยความดีใจ เ้านายบ้านนี้เป็เ้านายที่ดีที่สุดที่นางเคยเจอมา เ้านายกินสิ่งใด นางก็กินเช่นนั้น บ้านตระกูลเจียงลงทุนกับอาหารการกินมาก
นางเพิ่งมาอยู่ด้วยไม่นาน ได้กินเนื้อเยอะกว่าที่กินในชีวิตครึ่งแรกรวมกันเสียอีก
น้ำแกงเริ่มอุ่นแล้ว หลินหวั่นชิวทำบะหมี่ต่อ เจียงหงหย่วนกินจุ กินโอสถชำระไขกระดูกไปแล้วอาจหิวอีก นางจึงอยากเตรียมบะหมี่เผื่อเอาไว้ หากหิวจะได้นำน้ำแกงเนื้อแกะมาต้มบะหมี่
ล้างหัวไชเท้าเสร็จ หลินหวั่นชิวให้ยายสวีหั่นหัวไชเท้าเป็แผ่นบางๆ ตอนกินเนื้อแกะคืนนี้ให้ใส่หัวไชเท้าลงในหม้อดินแค่ครู่เดียวก็สุกแล้ว
นางเปลี่ยนวิธีหั่นเห็ด จากนั้นโยนลงไปตุ๋นด้วยกันกับเนื้อแกะ
ยังมีเวลาอีกเยอะ นางให้ยายสวีเบาไฟลงหลังจากที่น้ำในหม้อดินเดือดแล้ว
ออกจากห้องครัวเสร็จก็กลับห้องไปวาดหนังสือภาพต่อ
กระทั่งเมื่อท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เจียงหงป๋อกับเจียงหงหนิงกลับบ้านมาด้วยกัน
“พี่สะใภ้ทำสิ่งใดกินน่ะ หอมมากเลยขอรับ!” เจียงหงหนิงเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องเสร็จก็วิ่งไปห้องครัวอย่างอดใจไม่ไหว
“นายน้อยรอง นายน้อยสาม เชิญล้างมือก่อนเถิด มีน้ำร้อน” ยายสวีเห็นเด็กชายประจำบ้านทั้งสองกลับมาก็รีบตักน้ำร้อนให้พวกเขาล้างมือ
“ขอบคุณยายสวี” หงหนิงยิ้มหวานขอบคุณยายสวี หงป๋อพยักหน้าให้ยายสวีน้อยๆ เช่นกัน
เด็กสองคนนี้ปฏิบัติกับนางเช่นนี้มาโดยตลอด ่แรกนางยังทำตัวไม่ค่อยถูก บอกให้พวกเขาไม่ต้องทำเช่นนี้ แต่ไท่ไท่บอกให้ปล่อยพวกเขาไป ต่อมายายสวีจึงเริ่มชิน
์คงมีตา เห็นว่าชีวิตนี้นางไม่เคยทำเื่เลวร้ายจึงปกปักให้ชีวิตครึ่งหลังได้เจอกับเ้านายที่ดี
“พี่สะใภ้ตุ๋นเนื้อแกะ ในนั้นใส่ต้นหอม ขิง พริกฮวาเจียว พริกไทย พริกแห้ง เปลือกส้ม” เจียงหงป๋อมองหม้อดินแล้วพูดขึ้น
ยายสวีพูดว่า “นายน้อยรองรู้ได้อย่างไร ข้าเห็นไท่ไท่ใส่ส่วนผสมพวกนี้จริงๆ”
เจียงหงหนิงถามเจียงหงป๋อด้วยความสงสัยเช่นกัน “นั่นสิ เอ้อร์เกอรู้ได้อย่างไร?”
เจียงหงป๋ออมยิ้ม “จมูกข้าไว ดมกลิ่นออก” ความจริงแล้วประสาทััด้านการดมกลิ่นของเขาค่อนข้างไว แต่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนใน่หลังมานี้เช่นกัน
ั้แ่ที่เขาตัดสินใจว่าจะเรียนแพทย์ อ่านเจอคำว่าแยกกลิ่นในตำราก็เริ่มฝึกการดมกลิ่นของตัวเอง ดมเครื่องปรุงเครื่องเทศทั้งหมดในบ้านและจดจำกลิ่นของพวกมัน
ตอนนี้เดินไปไหนมาไหนได้ตามปกติก็เริ่มจากไปดมเครื่องเทศที่ร้านขายของเบ็ดเตล็ด หลังจากจำได้เสร็จก็ไปดมกลิ่นยาสมุนไพรต่างๆ ที่ร้านขายยาโดยอ้างว่ามาซื้อยา
“เหตุใดพวกเ้าสองคนกลับมาด้วยกัน?” หลินหวั่นชิวออกมาจากห้อง เข้าห้องครัวมาก็เห็นสองพี่น้องยืนคุยหน้าหม้อดิน
เจียงหงหนิงยิ้มตอบ “เอ้อร์เกอมารับข้าขอรับ”
หลินหวั่นชิวพูดกับเจียงหงป๋อ “เดินยืดเส้นยืดสายเป็เื่ดี ออกกำลังกายจะได้แข็งแรง! หิวหรือไม่ หากหิวแล้วก็กินขนมไปก่อนเถิด รอต้าเกอเ้ากลับมาแล้วค่อยกินข้าว”
“ไม่หิวขอรับ ข้าจะกลับห้องไปทำการบ้านเสียก่อน” เจียงหงหนิงตอบ ความจริงเขาหิวแล้ว แต่อยากเก็บท้องไว้กินเนื้อแกะ!
“ข้าเองก็จะไปอ่านหนังสือ” หงป๋อพูด
หลินหวั่นชิวพยักหน้า นางดูเวลาก็รู้สึกว่าใกล้แล้ว ให้ป้าสวีเตรียมชามตะเกียบ ส่วนตัวเองก็พับแขนเสื้อทำน้ำจิ้ม
นางทำน้ำจิ้มสามแบบ แบบแรกเป็รสเปรี้ยวเผ็ด พริกซอยกับจิ๊กโฉ่วและซีอิ๊วขาว โรยต้นหอมสีเขียวกับผักชี แค่มองก็เจริญอาหาร
แบบที่สองเป็รสน้ำมันงา ใส่เต้าหู้ยี้ ดอกกุยช่ายและน้ำมันพริก ดมแล้วมีกลิ่นหอมโชยไม่จางหาย
แบบสุดท้ายเป็น้ำจิ้มแบบไม่ใส่พริก ใส่แค่เกลือกับผงชูรสเล็กน้อย ใส่ต้นหอมผักชี กระเทียมสับและน้ำมันงาลงไปผสมด้วยกัน มองแล้วเจริญอาหารเช่นกัน
ทำทุกอย่างเสร็จ บุรุษหยาบเถื่อนก็เดินเข้ามา
