หลังจากทำพันธสัญญากับหุ่นเชิดซู่เหลียนเรียบร้อยแล้ว มู่เฟิงก็นำแหวนเฉียนคุนของผู้าุโจิ่วซานออกมาสำรวจ
เมื่อเขาส่งพลังิญญาเข้าไปตรวจสอบภายในแหวนเฉียนคุน สีหน้าของเด็กหนุ่มก็เผยให้เห็นร่องรอยของความยินดีออกมาทันที หลังจากพบว่าภายในแหวนเฉียนคุนนั้นมีสิ่งของบรรจุเอาไว้อยู่ไม่น้อย มันคือหินเทวะหลากสีจำนวนไม่ต่ำกว่าสามร้อยก้อน! เพียงเท่านี้ก็เท่ากับว่าเขามีของที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าสามล้านเหรียญตำลึงทองอยู่ในมือแล้ว
แต่นอกจากหินเทวะเหล่านี้ ด้านข้างยังมีฝักกระบี่ยาวสีดำอีกเล่มหนึ่ง
มู่เฟิงนำกระบี่ยาวเล่มนั้นออกมา ก่อนจะดึงกระบี่ออกจากฝัก ทันใดนั้นกลิ่นอายอันคมกริบก็พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าของเขา ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกปวดแปลบบริเวณแก้ม กระบี่ยาวเล่มนี้มีสีดำทั่วทั้งเล่ม ทั้งยังถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยพลังหยิน เพียงแค่ััก็รู้ได้ทันทีว่าอนุภาพพลังของมันนั้นทรงพลังเป็อย่างยิ่ง
มู่เฟิงส่งพลังปราณของเขาเข้าไปในตัวกระบี่ ฉับพลันนั้นปราณกระบี่สีดำสายหนึ่งก็พลันหพุ่งกวาดออกไปข้างหน้า กระแทกเข้ากับผนังหินอย่างแรงก่อนจะทิ้งรอยขนาดใหญ่เอาไว้
แน่นอนว่าผนังหินนี้ไม่ใช่ผนังหินธรรมดา ดังนั้นการจะทำให้มันเกิดรอยย่อมไม่ใช่เื่ง่าย ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าพลังของกระบี่เล่มนี้แข็งแกร่งมากเพียงใด
ใช่แล้ว เพราะกระบี่เล่มนี้คือกระบี่ิญญาขั้นสี่ และเป็อาวุธกระบี่ที่ผู้าุโจิ่วซานใช้สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยกระบี่นี้มีชื่อว่ากระบี่เซวียนหยิน
“ฮ่าๆ นับว่าเป็กระบี่ดี กระบี่เล่มนี้เหมาะสมสำหรับเ้า”
มู่เฟิงมองไปยังซู่เหลียนที่อยู่ด้านข้าง
แม้ว่าไป๋จื่อเยว่จะใช้กระบี่ แต่ระดับวรยุทธ์ของอีกฝ่ายยังไม่เหมาะที่จะใช้กระบี่ิญญาซึ่งเป็กระบี่ระดับสูง
จากนั้นมู่เฟิงก็ทำการสำรวจของในแหวนเฉียนคุนต่อ เขาพบว่ามีตำราอยู่อีกสองเล่ม ซึ่งตำราทั้งสองเล่มนี้ล้วนเป็ตำราวิชาระดับนิลกาฬและเป็ตำราที่เป็วิถีของภูตผี โดยเล่มหนึ่งคือวิชากรงเล็บ เป็ทักษะโจมตี ส่วนอีกเล่มหนึ่งก็คือก้าวเงาภูต เป็ทักษะร่างกาย
เพียงแต่วิชาระดับนิลกาฬทั้งสองวิชานี้ไม่มีประโยชน์สำหรับมู่เฟิง เพราะเขาไม่ได้ฝึกวิถีของภูตผี หาก้าแสดงพลังที่แท้จริงของทักษะวิชาเหล่านี้ออกมา จำเป็ต้องใช้พลังที่ได้มาจากการฝึกวิถีของภูตผีเท่านั้น
นอกจากตำราทั้งสองเล่มแล้ว ยังมีของประเภทขวด ไห ม้วนตำอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงยาครอบจักรวาลขั้นสามและขั้นสี่ ส่วนไหหยกนั้นภายในมีของเหลวสีขาวขุ่นบรรจุอยู่ โดยของเหลวนี้ก็มีคลื่นความผันผวนแปลกประหลาดของพลังแผ่ออกมาด้วย
“นี่มันอะไร?”
มู่เฟิงตื่นตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามซีเยว่อย่างสงสัย
“นี่คือยาควบหยวนตาน ตอนนี้เ้ายังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ ทว่าในยามที่เ้ากำลังจะก้าวขึ้นสู่ระดับหยวนตาน สิ่งนี้จะสามารถช่วยให้หยวนตานของเ้ามีอานุภาพพลังที่สูงขึ้นได้ นอกจากนี้มันยังเป็สิ่งที่หาได้ยากเป็อย่างยิ่ง คิดไม่ถึงเวลาคนผู้นี้จะมียาควบหยวนตานบรรจุอยู่ในไหมากถึงเพียงนี้”
ซีเยว่อธิบาย
“ยาควบหยวนตาน!”
หลังจากได้ยินดังนั้นมู่เฟิงก็ตาลุกวาวทันที เหตุผลที่เว่ยอี้อวิ๋น ซือถูคงและบัณฑิตคนอื่นเข้าร่วมภารกิจนี้ ไม่ใช่ว่าเพื่อสิ่งนี้หรอกหรือ?
มู่เฟิงมองไปยังม้วนตำราต่อด้วยความตื่นเต้น
เมื่อเด็กหนุ่มคลี่มันออกก็พบว่ามันคือบันทึกลายเส้นทั้งหมด มีบันทึกลายเส้นค่ายกลหลายรูปแบบ มีทั้งลายเส้นค่ายกลคมดาบสังหารซึ่งเป็ค่ายกลขั้นสองระดับสูง ทั้งค่ายกลป้องกันขั้นสาม นอกจากนี้ยังมีแผนภาพลายเส้นค่ายกลลวงตาขั้นสามที่เหมือนกับด้านนอก และยังมีค่ายกลป้องกันขั้นสี่ซึ่งเป็ค่ายกลของประตูทางเข้าที่นี่อีกด้วย
มู่เฟิงม้วนตำรากลับคืนพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง การมาในครั้งนี้นับว่าไม่เสียเปล่า ลำพังแค่มูลค่าของแผนภาพค่ายกลเหล่านี้ก็เป็สิ่งที่ไม่อาจวัดได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งเหล่านี้ยังสามารถพิสูจน์ได้ว่าจิ่วซานเองก็เป็นักสลักลายเส้นผู้หนึ่งเช่นกัน
มู่เฟิงย้ายสิ่งของทั้งหมดไปเก็บไว้ในแหวนเฉียนคุนของเขา จากนั้นเขาก็สวมแหวนเฉียนคุนของผู้าุโจิ่วซานไว้ที่นิ้วหัวแม่มือ ก่อนจะนำโลงศพของซู่เหลียนเข้าไปเก็บภายใน
โลงศพนี้ทำขึ้นมาจากไม้ของต้นลั่นทมทองคำ นับว่าล้ำค่ามากเช่นกัน
“การเดินทางครั้งนี้ไม่นับว่าสูญเปล่า นอกจากจะได้รับสมุนไพรไปช่วยจื่อเยว่แล้ว ข้ายังได้สมบัติกลับไปมากมายด้วย และดูเหมือนว่าสิ่งของเหล่านี้ที่ข้าได้รับมาคงจะเป็สมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในพระราชวังใต้ดินแห่งนี้แล้ว”
มู่เฟิงพึมพำกับตัวเองพร้อมกับยิ้มมุมปาก
จากนั้นเขาก็จูงมือซู่เหลียนออกมาจากสุสาน เขาเปิดประตูก่อนจะเดินออกจากอาณาเขตของชั้นสี่เพื่อกลับไปยังโถงของวิหารใหญ่อีกครั้ง
ทว่าหลังจากกลับมาถึงห้องโถงใหญ่มู่เฟิงกลับต้องขมวดคิ้วเมื่อพบว่าค่ายกลภายในห้องโถงได้หายไปแล้ว ค่ายกลบนพื้นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอีก นอกจากนี้ทุกคนยังหายตัวไปด้วย
“เกิดอะไรขึ้นกัน? หรือว่าพลังงานของค่ายกลจะหมดลงแล้ว? แล้วพวกข่งย่วนไปไหนกันเสียแล้วเล่า?”
มู่เฟิงกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย เขาใช้เวลาอยู่ในสุสานเกือบหนึ่งวันเต็มโดยไม่รู้เลยว่าข้างนอกมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง
มู่เฟิงพาซู่เหลียนเดินออกจากวิหารใหญ่ หลังจากไม่พบเว่ยอี้อวิ๋นและคนอื่นๆ อยู่ด้านนอก มู่เฟิงก็พาซู่เหลียนเดินไปยังทางออกอย่างรวดเร็ว เขาไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่ เนื่องจากยังมีพวกค้างคาวใต้พิภพกลุ่มใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวอยู่
แต่เมื่อเดินมาถึงประตูทางเข้าของชั้นสาม เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงโครมครามดังสนั่นขึ้น
เวลานี้หูเถี่ยหนิ่ว เว่ยอี้อวิ๋น ซือถูคงและกลุ่มคนทั้งหมดล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นั่น พวกเขากำลังปล่อยพลังออกไปโจมตีประตูเหล็กสีดำตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง
“พี่ใหญ่เถี่ยหนิ่ว! ข่งย่วน”
มู่เฟิงะโขึ้น ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับซู่เหลียน
“น้องเฟิงเย่”
หูเถี่ยหนิ่วและคนอื่นๆ ผงะไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าเป็มู่เฟิง พวกเขาก็รู้สึกยินดีขึ้นมาทันที
“ช่างดีเหลือเกิน เ้าหายไปไหนมา พวกเราตามหาเ้าตั้งนาน”
หูเถี่ยหนิ่วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างมองมู่เฟิงด้วยความสงสัย
“เหตุใดพวกท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
มู่เฟิงเองก็สงสัยเช่นกัน
“อย่าได้พูดถึงมันเลย พวกเราทุกคนต่างตกอยู่ในค่ายกลลวงตา กว่าพวกเราจะได้สติก็หลังจากที่พลังงานของค่ายกลนั้นหมดลงแล้ว แต่เมื่อพวกเราตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเ้า
“สถานที่เส็งเคร็งแห่งนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว พวกเราจึงไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ เลยกลับมายังประตูทางเข้า แต่กลับต้องพบว่าหากไม่มีเ้า พวกเราก็ไม่สามารถเปิดประตูเหล็กนี้ได้”
หูเถี่ยหนิ่วกล่าวอย่างอับจนหนทาง แต่แล้วสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นซู่เหลียนที่อยู่ด้านข้างมู่เฟิง แววตาจึงมีร่องรอยของความประหลาดใจ เด็กสาวผู้นี้โผล่มาได้อย่างไรกัน
“น้องเฟิงเย่ นางคือ...?”
หูเถี่ยหนิ่วเอ่ยถามอย่างสงสัย
ทุกคนต่างก็หันไปมองทางซู่เหลียนด้วยความประหลาดใจเช่นกัน เพราะพวกเขาจำได้ว่าตอนที่เข้ามาไม่มีเด็กสาวผู้นี้อยู่
“น้องสาวคนนี้ช่างน่ารักเหลือเกิน”
ดวงตาของข่งเซวียนเอ๋อร์เป็ประกาย นางพุ่งเขาไปหาซู่เหลียนอย่างรวดเร็ว
“แฮ่…”
แต่ปฏิกิริยาที่ได้รับก็คือซู่เหลียนที่แผดเสียงคำรามใส่ พร้อมทั้งยังแยกเขี้ยวออกมาหมายจะกัดข่งเซวียนเอ๋อร์
ข่งเซวียนเอ๋อร์ใจนเผลอก้าวถอยออกไปสองก้าว ข่งเซวียนเอ๋อร์มองซู่เหลียนที่กำลังมองนางกลับราวกับเป็ศัตรูด้วยสายตาตื่นตะลึง
“เป็หุ่นเชิด!”
เว่ยอี้อวิ๋นตวาดอย่างเ็า ทันใดนั้นมือของเขาก็ชักกระบี่ออกจากฝักอย่างรวดเร็ว
“อะไรกัน นี่มันหุ่นเชิดไม่ใช่หรือ!”
ทุกคนพากันตกตะลึง พวกเขาจ้องซู่เหลียนด้วยความประหลาดใจ
มู่เฟิงรีบควบคุมซู่เหลียน นางจึงสงบลงอย่างรวดเร็ว
“เฟิงเย่ เหตุใดเ้าจึงมีหุ่นเชิดได้”
หยางฉานหรี่ตาลงขณะเอ่ยถาม ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็มองมาที่เขาด้วยความสงสัยเช่นกัน
“ในตอนที่พวกเราได้สติเ้าก็หายตัวไปแล้ว เราออกตามหาตัวเ้าตั้งนาน ทั้งยังตามหาเ้าไปทั่วทุกที่ เว้นเพียงแค่ถ้ำค้างคาวที่อยู่ส่วนลึกเท่านั้นที่พวกเราไม่ได้เข้าไป แต่เ้ากลับปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันพร้อมกับหุ่นเชิดเช่นนี้ เฟิงเย่ช่วยอธิบายให้ข้าฟังทีว่าเ้าไปเอาหุ่นเชิดตัวนี้มาจากที่ใด”
ซือถูคงเอ่ยถามอย่างเ็าด้วยเจตนามุ่งร้าย
แน่นอนว่าคนอื่นที่เหลือล้วนไม่ใช่คนโง่ จากคำพูดของซือถูคง ทุกคนย่อมตระหนักได้ทันทีว่ามู่เฟิงมีเื่บางอย่างปิดปังพวกเขา และมีความเป็ไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะได้รับสมบัติในพระราชวังใต้ดินแห่งนี้แล้ว!
เมื่อพวกเขาตระหนักได้ถึงเื่นี้ สายตาของคนส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาแห่งความโลภของพวกเขามุ่งเป้าไปยังแหวนเฉียนคุนของมู่เฟิงทันที
“น่าขันนัก ข้าจะไปที่ใดจำเป็ต้องรายงานเ้าด้วยหรือ?”
มู่เฟิงย้อนถามซือถูคงด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“หึ พวกเราทุกคนมาที่นี่เพื่อตามล่าสมบัติ ในวังแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยค่ายกล และในที่นี้ก็มีเพียงเ้าที่สามารถทำลายมันได้ ไม่แน่ว่าเ้าอาจจะลอบเข้าไปในค่ายกลลับมา หลังจากพบสมบัติก็แอบเก็บมันไว้คนเดียว เฟิงเย่ เ้าทำเช่นนี้ยุติธรรมหรือ”
ซือถูคงหรี่ตามองพลางกล่าววิจารณ์มู่เฟิงอย่างชั่วร้าย
ทางด้านเว่ยอี้อวิ๋น หยางฉาน โจวเหวินเฉวียน รวมถึงโหวโซ่วและคนอื่นๆ ต่างก็เริ่มมองมู่เฟิงต่างไปจากเดิม...