มู่จื่อหลิงหลับตาทั้งสองข้างแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก ลอบสงบเพลิงโทสะที่กำลังเผาผลาญอยู่ในใจ มือกลับกำหมัดแน่น
นางดีใจไปเปล่าๆ อยู่นาน แล้วยังคุยโวโอ้อวดต่อหน้าเล่อเทียน ปรากฏว่าเสี่ยวไตกูเปลี่ยนแปลงแล้ว กลับมีแค่ลิ้นยาวที่แลบออกไปได้อย่างอิสระเท่านั้น
ความสนุกสนานที่สุดของมู่จื่อหลิงคือวิจัยพิษชนิดใหม่ สกัดพิษ ถอนพิษ ทุกครั้งที่คิดค้นพิษชนิดใหม่ออกมาได้ ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ ก็มักจะทำให้นางภาคภูมิใจยิ่งนัก
แตกต่างกันมากเพียงนี้ในครู่เดียว จะให้นางรับได้อย่างไร
ทว่ามีก็ดีกว่าไม่มี
คิดมาถึงตรงนี้ ในใจมู่จื่อหลิงก็สงบขึ้นมาบางส่วน
เสี่ยวไตกูกลับเตือนนางแล้ว ถ้าพบเื่ลอบสังหารเช่นคราวที่แล้วอีก เรียวลิ้นเล็กของมันก็สามารถปล่อยพิษถอนพิษได้ สะดวกขึ้นมาเล็กน้อยจริง
เพราะนางคงไม่โง่งมไปจินตนาการถึง เื่ถูกลอบฆ่า ถูกสังหารพรรค์นั้น หากฮั่นซินเลือกทหาร ยิ่งมากยิ่งดี
ดังนั้นนางจะไม่เชื่อมั่นได้อย่างไรว่า นอกจากกินหนอนที่เป็ข้อได้เปรียบใหญ่ที่สุด ลิ้นเล็กยาวของเสี่ยวไตกูที่แลบออกได้อย่างอิสระ ก็ยังมีประโยชน์อีกมากมาย
มู่จื่อหลิงกลับไม่รู้เลยว่า ลิ้นเล็กและยาวที่แลบได้อย่างอิสระของเสี่ยวไตกู จะช่วยชีวิตนางท่ามกลางภัยอันตรายไปมากมายกี่ครั้งในวันเวลาภายภาคหน้า
มู่จื่อหลิงหิ้วเสี่ยวไตกูที่กินอิ่มหนำสำราญไปวางบนโต๊ะไม้จันทน์ แล้วตรวจร่างกายให้หลี่เอินอีกรอบ
ยามนี้พิษในตัวหลี่เอินก็ถอนแล้ว กู่ควบคุมใจก็จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างยังคงปกติ แต่ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมา
ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ ทำได้แค่...รอเท่านั้น
เล่อเทียนเองก็เข้าไปจับชีพจรให้หลี่เอินโดยละเอียดอีกครั้ง ตรวจอาการตลอดทั้งร่างอย่างละเอียด จนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาจริงๆ
เล่อเทียนแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนด้วยความสุภาพ ถามว่า “หวางเฟย ร่างกายของมู่ฟูเหรินในเวลานี้ไม่มีปัญหาร้ายแรงแล้วกระมัง?”
มู่จื่อหลิงยิ้มบางๆ พยักหน้า “อืม ร่างกายมารดาข้าฟื้นฟูกลับมาเป็ปกติแล้ว อาการอื่นที่ยังไม่รู้ก็ได้แต่รอเท่านั้น สองสามวันนี้ลำบากเ้าแล้ว”
สีหน้าเล่อเทียนอ่อนโยน สายตาเจือความเคารพเลื่อมใส ส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่ลำบาก ทักษะการแพทย์ของหวางเฟยยอดเยี่ยม มีประสบการณ์และความรู้กว้างขวาง ข้าน้อยติดตามก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย ต้องซาบซึ้งหวางเฟยต่างหาก”
เก็บเกี่ยวได้มากมายนัก! คำพูดนี้ของเล่อเทียนแฝงความหมายอีกอย่างไว้
อาจจะพูดว่าได้รับสิ่งของดีๆ มากมาย หรืออาจจะกำลังพูดว่าได้เรียนรู้ทักษะแพทย์ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือ มีทั้งสองความหมาย
มู่จื่อหลิงนำน้ำยาหลิงอวิ้นออกมาสองสามขวด โยนไปให้เล่อเทียน พูดด้วยรอยยิ้ม “เอ้า! พวกนี้ให้เ้า หากใช้หมดแล้วก็รอให้อาจารย์ข้ามา ข้าค่อยขอกับเขาเพิ่ม ต้องไม่ขาดของเ้าแน่”
การแสดงออกของมู่จื่อหลิงใจกว้างยิ่งนัก พูดราวกับว่าเป็เื่แค่นี้เอง
เล่อเทียนปลาบปลื้มขึ้นมาโดยพลัน รับน้ำยาหลิงอวิ้นที่มู่จื่อหลิงให้อย่างยินดีและไม่เกรงใจอีก
เล่อเทียนทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ขอบพระทัยหวางเฟย ข้าน้อยอยู่มาหลายวันก็ควรกลับได้แล้ว หากวันหน้า้าสิ่งใด ขอให้บอก”
มู่จื่อหลิงแย้มรอยยิ้มสดใสและเป็กันเองพลางโบกมือ “เ้าวางใจ ข้าไม่มีทางเกรงใจเ้าแน่”
เล่อเทียนได้ยินก็ชะงักไปในชั่วพริบตา มุมปากกระตุกเล็กน้อย ยิ้มพลางสบสายตามู่จื่อหลิง “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”
หลังจากมู่จื่อหลิงสื่อสารกับเสี่ยวไตกูก็ได้รู้ว่าการค้นหาสัตว์ร้ายของพวกเสิ่นซือหยางสองสามวันก่อนหน้านี้ไม่ราบรื่น สามารถพูดได้ว่าไม่มีเค้าลางแม้แต่น้อย
เริ่มแรกพวกเสิ่นซือหยางก็ได้พบสัตว์ร้ายบ้าง ทว่าไม่พบร่องรอยใดๆ ของกู่ปรสิต
ต่อมาพวกเขาก็ได้พบหมอกพิษที่ไร้สีไร้กลิ่นในป่า และหมอกพิษก็ลอยตามเส้นทางการค้นหาของเสิ่นซือหยางอยู่โดยตลอด
หมอกพิษอยู่เป็เวลานานไม่สลายหายไป ขัดขวางการค้นหาของพวกเสิ่นซือหยาง เสิ่นซือหยางหมดหนทางจึงได้สั่งให้ทหารถอยออกมาก่อน กลับไปรอคำสั่งที่ศาลต้าหลี่
ป่าสายหมอกปรากฏพิษที่ไร้สีไร้กลิ่นขึ้นอย่างไม่มีมูลเหตุ เห็นได้ชัดว่าเป็การกระทำของมนุษย์
มู่จื่อหลิงไม่รู้ว่า ฮองเฮารู้ว่านางไม่อยู่ในคณะค้นหาของพวกเสิ่นซือหยาง จึงคิดเพียงแค่ขัดขวางการค้นหาของพวกเสิ่นซือหยาง ดังนั้นจึงวางยาพิษเข้าไปในหมอก
ฮองเฮาก็ยังดูถูกนาง วางยาพิษ? ดีนักที่ฮองเฮาคิดออกมาได้ กู่ที่ร้ายแรงเพียงนั้นนางยังไม่หวาดกลัว แล้วจะกลัวพิษเล็กๆ น้อยๆ นั่น?
เพียงแต่ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าในป่าสายหมอกเป็พิษชนิดใด
ถ้าหมอกพิษในป่าสายหมอกรุนแรงจริงๆ ไม่เพียงคนที่จะเข้าไปไม่ได้ ต่อให้เป็สัตว์ร้ายข้างในคาดว่าส่วนใหญ่ก็คงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
ตอนนี้อยากรู้ว่าสถานการณ์เป็เช่นใด คงต้องไปสืบหาด้วยตนเองแล้ว
จากนั้น
มู่จื่อหลิงก็นำเื่ที่รักษาโรคทางสมองของหลงเซี่ยวหนาน หลงเซี่ยวหนานถูกพิษกู่ ซึ่งนางถูกขังในคุกหลวงด้วยเหตุนี้ แล้วก็ถูกหลงเซี่ยวอวี่พาออกมา เล่าให้มู่เจิ้นกั๋วฟังโดยที่เลี่ยงหนักเป็เบา
ส่วนเื่ที่ฮองเฮาประทานรังนกให้นางกับเื่ที่หลงเซี่ยวหนานถูกพิษกู่ปรสิต นางย่อมหลีกเลี่ยง เื่กู่ปรสิตในตอนนี้นอกจากนางและหลงเซี่ยวอวี่แล้วก็ไม่มีบุคคลที่สามล่วงรู้
อย่างไรเสียเื่ก็เป็เื่ใหญ่ที่หลอกลวงเบื้องสูงจริงๆ ยิ่งคนรู้น้อยยิ่งดี อีกอย่างกู่ก็เป็สิ่งต้องห้ามในเมืองหลวง ถ้ามู่เจิ้นกั๋วทราบว่านางมีความรู้เื่กู่ ต้องถามซักไซ้ต่อเป็แน่
ถึงเวลานั้นมีเหตุผลก็พูดไม่ชัดเจน พูดมากไปกลับยิ่งเห็นได้ชัดว่ายิ่งปกปิดก็ยิ่งโผล่
แทนที่จะเพิ่มอีกเื่มิสู้ลดไปหนึ่งเื่!
ยามนี้จวนจงอี้โหวที่งดงามก็เป็เพียงเปลือกกลวงๆ เท่านั้น ไม่แน่ว่าใช้นิ้วผลักเบาๆ ก็ล้มแล้ว นางไม่อยากให้เป็เพราะเื่ของตน พัวพันไปถึงจวนจงอี้โหวในท้ายที่สุด
อีกอย่างยามนี้ก็มีความช่วยเหลือจากหลงเซี่ยวอวี่ นางจึงมิต้องกังวลแม้แต่น้อย การลงมือเล็กน้อยเื้ัของฮองเฮาในตอนนี้ก็มิอาจก่อคลื่นลมได้แล้ว
หลังจากมู่เจิ้นกั๋วได้ยินมู่จื่อหลิงอธิบายอย่างง่ายๆ ก็ทั้งใทั้งกังวล “มีเื่เช่นนี้ด้วย หลิงเอ๋อร์ เช่นนั้นฝ่ามือซื่อเสวียนบนหัวไหล่เ้าเป็มาเช่นใด?”
ฝ่ามือซื่อเสวียน?
เมื่อพูดถึงเื่นี้มู่จื่อหลิงก็ยกมือไปวางไว้บนไหล่ ก็อดที่จะนึกถึงเื่ที่ถูกหลงเซี่ยวอวี่แต๊ะอั๋งไม่ได้...
เพียงแค่คิดถึงหลงเซี่ยวอวี่ จุดที่อ่อนไหวที่สุดในหัวใจนางบางที่ก็มักจะสั่นไหว ความรู้สึกนั้นช่างแปลกพิกลนัก
ได้ยินมู่เจิ้นกั๋วถามเช่นนี้ เขาดูเหมือนจะรู้ความเป็มาของฝ่ามือซื่อเสวียน และความเป็มาก็คงจะไม่เล็กเลย
“ก่อนหน้าไม่กี่วันจวนฉีอ๋องเผชิญกับนักฆ่า หลิงเอ๋อร์ไม่ระวังจึงถูกทำร้ายเข้า” มู่จื่อหลิงพูดอย่างคลุมเครือ แสดงออกว่านางเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุคืออะไรเช่นกัน
นางไม่ได้ชี้ชัดว่านักฆ่ามุ่งเป้ามาที่นาง เพราะอำนาจของหลงเซี่ยวอวี่นั้นยิ่งใหญ่ เผชิญนักฆ่ามือสังหารก็เป็เื่ราวปกติแค่นั้น
ประจวบเหมาะว่ามู่เจิ้นกั๋วเชื่อพอดีว่ามือสังหารเพียงมุ่งเป้าไปที่จวนฉีอ๋องเท่านั้น
เพราะว่าสำนักชางฉยงอย่างไรก็เป็สำนักในยุทธภพ หลังจากนิกายกู่ตู๋พ่ายแพ้ในปีนั้น นับวันสำนักชางฉยงก็ยิ่งใหญ่ขึ้น
ต่อมา สำนักชางฉยงก็กลายเป็อันดับหนึ่งของสามพรรคใหญ่แห่งแผ่นดินใหญ่ิเยว่อย่างชอบธรรม ปัจจุบันนี้ตำแหน่งในยุทธภพก็ยิ่งโดดเด่นขึ้น
มู่จื่อหลิงก็แค่สตรีในห้องหอ แต่งเข้าจวนฉีอ๋องยังไม่ถึงสองเดือน มู่เจิ้นกั๋วจะไปเชื่อได้อย่างไรว่านางจะหาเื่สำนักใหญ่ในยุทธภพได้
ตอนนี้มู่จื่อหลิงเป็ฉีหวางเฟย การ่ชิงอำนาจนั้นดุเดือด เื่เช่นนี้มิอาจหลีกเลี่ยง ได้แต่เผชิญหน้าอย่างสุขุมเยือกเย็น
เพียงแต่
เื่หลงเซี่ยวหนานถูกพิษกู่ เกิดขึ้นหลังจากที่มู่จื่อหลิงรักษาโรคทางสมองของเขาหายอย่างบังเอิญพอดี คนที่วางพิษกู่ต้องมุ่งเป้ามาที่มู่จื่อหลิงเป็แน่ หรือพูดได้ว่าเป็จวนฉีอ๋อง
มู่เจิ้นกั๋วขมวดคิ้วนิ่วหน้า น้ำเสียงกลับเคร่งขรึมจริงจัง “หลิงเอ๋อร์ เ้าสืบเื่องค์ชายห้าต้องระมัดระวัง แม้พ่อไม่มีอำนาจ แต่ตำแหน่งในราชสำนักก็ยังมั่นคง มีเื่ใดก็สามารถพูดออกมาได้ พ่อจะช่วยเ้า”
“หลิงเอ๋อร์ทราบแล้ว ท่านพ่อวางใจ มือสะอาดมิต้องล้าง หลิงเอ๋อร์จะไม่ปล่อยให้ตนเองเกิดเื่เป็แน่ เชื่อว่าหลังจากนี้ไม่นาน ต้องสืบออกมาได้แน่” สายตาของมู่จื่อหลิงแน่วแน่ น้ำเสียงเคร่งขรึม
แม้สืบเื่หลงเซี่ยวหนานในยามนี้ หนทางล้วนไม่ราบรื่น
แต่นางเชื่อว่ามือสังหารจะยิ่ง้าปกปิดความจริง
บ่อยครั้งที่ความจริงนั้นจะผุดขึ้นบนผิวน้ำด้วยตัวมันเอง จะต้องมีวันที่น้ำลดตอโผล่
เมื่อได้ยินว่าหลงเซี่ยวอวี่ใส่ใจช่วยเหลือเื่นี้มาทั้งทาง มู่เจิ้นกั๋วก็ยินดีปรีดากับตนเอง เขาพยักหน้า “แม้พูดว่าเป็การสมรสที่ฮองเฮาประทานให้ แต่หลิงเอ๋อร์สามารถแต่งกับฉีอ๋องได้ พ่อก็โล่งใจ”
เอ่อ?
มู่จื่อหลิงแสดงออกว่าหมดคำพูดนัก ที่ไหนกันล่ะนี่
พูดไปพูดมาก็พูดไปถึงเ้าคนสารเลวผู้นั้นได้อย่างไร?
เหตุใดนางรู้สึกว่าบิดานางพูดเช่นนี้แล้วเหมือนว่าสบายใจที่สะบัดลูกติดออกโดยให้บุตรสาวแต่งออกไปเล่า?
ความรู้สึกนี้ช่างทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจจริงๆ
นางกับหลงเซี่ยวอวี่มิได้มีอันใดกันเสียหน่อย ก็ยังคงเป็สามีภรรยาในนามที่แต่งงานการเมือง
อย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็ยังเป็อยู่
สำหรับต่อไป?
เดิมพวกเขาก็เป็คนของสองโลก ความคิดของหลงเซี่ยวอวี่นางเหมือนจะเดาไม่ได้ไปตลอดชีวิต จะมีวันที่โลกทั้งสองมากันด้วยหรือ?
ช่องว่างอันนิรนามนั้นจะเชื่อมผสานกันได้จริงหรือ? นางไม่อยากไปคิด และไม่กล้าคิดเช่นกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็ไปตามครรลองของมัน
-
มู่จื่อหลิงอยู่ที่สวนจิ้งซินอีกสองวันเพื่อสังเกตอาการของหลี่เอิน แต่กลับยังไม่พบความผิดปกติใดๆ
เื่ของหลงเซี่ยวหนานยิ่งลากไปนานยิ่งไม่ส่งผลดีต่อพวกนาง ดังนั้นมู่จื่อหลิงไม่จากไปไม่ได้ ลงมือไปตรวจสอบร่องรอยของกู่ปรสิตอีกครั้ง
นางนำลักษณะที่ส่อให้เห็นถึงว่ามีพิษที่ซุกซ่อนอยู่แสดงออกมาบอกพวกมู่เจิ้นกั๋วอย่างละเอียดรอบคอบ ให้พวกเขาคอยสังเกตอยู่ตลอดเวลา ป้องกันไว้ก่อน
มู่จื่อหลิงเพิ่งก้าวออกมาจากสวนจิ้งซิน เบื้องหน้าก็ปรากฏเงาร่างสีแดงที่ทรงเสน่ห์ราวปีศาจขึ้น
เย่จื่อมู่บังทางที่มู่จื่อหลิงจะไปไว้ ริมฝีปากแดงทรงเสน่ห์ยกขึ้น “เถ้าแก่มู่ ไม่เจอกันนานเลย!”
“พ่อค้าหน้าเื เ้ามาทำสิ่งใด?” มู่จื่อหลิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน วินาทีที่เห็นเย่จื่อมู่ในใจก็บังเกิดโทสะ
“ย่อมเพราะได้ข่าวว่ามารดาเถ้าแก่มู่ป่วยสาหัส ข้าน้อยจึงมาเยี่ยมเยียน” เย่จื่อมู่คล้ายกับว่าจะไม่เห็นดวงตากลมโตของมู่จื่อหลิงที่ถลึงใส่เขาอย่างมีโทสะ ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ประพฤติตัวเป็คนดี พูดจาไร้สาระ
“นี่ก็สามารถได้ยินมาได้? ท่านได้ยินผีพูดมาหรือ?” เห็นได้ชัดว่ามู่จื่อหลิงไม่เชื่อ
สวนจิ้งซินเงียบสงบและห่างไกล เย่จื่อมู่ผู้นี้จะตั้งใจมาได้อย่างไร แล้วคิดจะมาใส่ใจอันใดนางกัน?
“ไอ้หยา เถ้าแก่มู่ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าน้อยได้ยินผีพูดมา” เสียงของเย่จื่อมู่เกียจคร้าน ยังคงมีท่าทางเหมือนมาเก็บหนี้เช่นเดิม
มู่จื่อหลิงมอบสายตาค้อนควักให้เขาอย่างไม่ลังเล ชี้นิ้วไปทางสวนจิ้งซิน “ในเมื่อมาเยี่ยมมารดาข้าก็เข้าไปเอง กู่ไหน่ไนไม่ไปเป็เพื่อนเ้าแล้ว”
สิ้นเสียงพูดก็หันศีรษะไปทางรถม้า ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งด้านในรถ
“นี่ เถ้าแก่มู่รอก่อนสิ ข้าน้อยพูดความจริงก็มิได้หรือ?” จู่ๆ เย่จื่อมู่ก็ไปปรากฏตัวหน้ารถม้ากางแขนเรียวยาวออกขวางทางเดินรถ
อาภรณ์สีแดงทรงเสน่ห์ ลอยละล่องอย่างอ้อยอิ่ง พลิ้วไหวท่ามกลางสายลมบางเบา ทำให้ร่างสูงโปร่งของเขาตั้งตระหง่านดั่งต้นท้อ น่าหลงใหลกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งมวล
มู่จื่อหลิงข่มโทสะในใจไว้ กัดฟันแน่น เค้นออกมาหนึ่งคำ “พูด”
เพียงแต่คำพูดต่อมาของเย่จื่อมู่ ก็ทำให้มู่จื่อหลิงโมโหจนะเิอารมณ์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้