รถม้าหยุดตรงหน้าตำหนัก ป้ายไม้แผ่นใหญ่สลักชื่อว่าไป่เหอ เธอจำได้ว่าตำหนักนี้เดิมเป็ขององค์หญิงหกในองค์ฮ่องเต้ปัจจุบันหากแต่ยามนี้นางถูกส่งไปอภิเษกอยู่อีกแคว้นทำให้ตำหนักจึงว่างเปล่า
อีกทั้งตำหนักไป่เหอเป็ตำหนักอยู่ไม่ไกลจากตำหนักที่ประทับของไทเฮา อาจด้วยที่จ้าวซูหลินนั้นนางเป็คนสนิทของพระองค์ ทำให้ไทเฮาทรงเอ็นดูนางราวกับเป็หลานสาวอีกคน ร่างอรชรก้าวลงจากรถม้าด้วยท่วงท่าสง่างามราวกับหงส์ไม่ผิดกับจ้าวซูหลินคนเดิม บรรดาขันที นางกำนัลต่างก็วิ่งออกมาหยุดยืนเรียงกันพร้อมด้านหน้าตำหนัก
ก่อนยอบกายลงแสดงความเคารพต่อนาง เพราะเดิมจ้าวซูหลินเป็คนเ้ายศเ้าอย่างแม้นางจะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์หากแต่องค์ไทเฮาทรงรับนางเป็หลานสาว เช่นนั้นแล้วนางย่อมมีเกียรติอันสูงส่งไม่ต่างจากองค์หญิงในวังหลวงนี้
นางใช้อำนาจไทเฮาลงโทษนางกำนัลที่คิดเอ่ยถึงนางลับหลัง และผู้ที่ไม่ยอมก้มหัวให้แก่นาง จนเป็ที่รู้กันดีถึงความร้ายกาจของนาง
"ฮูหยิน..น้ำชาเ้าค่ะ" มู่ชิงชิงยกถ้วยชาสีเขียวมรกตลายกิ่งหลิวให้กับเธอ ขณะที่แววตานางกำลังกวาดมองไปรอบ ๆ เจียวอี้หลินได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้เป็ผู้ดูแลนางกำนัลฝ่ายกองศิลป์เพื่อแสดงต่อหน้าพระพักตร์
"เสี่ยวมู่ การแสดงที่นี่ส่วนใหญ่แล้วชอบแสดงอะไรกัน" เจียวอี้หลินจดจ้องถ้วยชาในมือพลางถามความเห็นสาวใช้คนสนิท
"ส่วนใหญ่แล้วนางกำนัลฝ่ายกองศิลป์ก็จะร่ายรำกันเ้าค่ะ ส่วนคุณหนูจวนใหญ่ ๆ แล้วล้วนแต่แสดงฝีมือที่ตนเองถนัด เหมือนคราวที่แล้วคุณหนูหลี่ก็แสดงการร่ายรำเ้าค่ะ" เธอพยักรับอย่างเข้าใจ ในมือก็รีบจดพู่กันด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ เพราะยังไม่คุ้นชินเสียเท่าไหร่นัก
"แล้วข้าเล่า...ข้าแสดงอะไร " เธอถามอีกครั้ง มู่ชิงชิงก็เข้าใจว่านางก็คงจะลืมเลือนด้วยเพราะพบเจอเหตุการณ์ที่เลวร้าย
"ฮูหยินไม่ได้เข้าร่วมเ้าค่ะ”
“ไม่ได้เข้าร่วม?”
“เ้าค่ะ...เพราะก่อนหน้านั้นฮูหยินไปผลักคุณหนูหลี่ตกน้ำที่สะพานข้ามหน้าตลาดนี่เ้าคะ ท่านแม่ทัพใหญ่จึงสั่งฮูหยินไว้ไม่ให้ออกจากเรือน" มู่ชิงชิงอธิบายอย่างตำหนิในความใจร้อนของนายหญิงตน
‘แบบนี้ก็ได้เหรอ สั่งเมียตัวเองให้อยู่เรือนแต่ออกไปพบกับสตรีอื่น จิตใจช่างคับแคบนัก เป็ฉันละก็ขอลากันเสียที’ เจียวอี้หลินตำหนิเขาอยู่ภายในใจ สะบัดหน้าส่าย ‘ตั้งใจ ๆ ตอนนี้เราก็ได้ออกมาจากจวนแม่ทัพบ้านั่นแล้ว ชะตาจ้าวซูหลินนางก็คงเปลี่ยนไปบ้างนั่นแหละ’ เธอนึกปลอบใจตนเอง
"ปีนี้ฮูหยินได้เข้าร่วม เสี่ยวมู่คิดว่าน่าจะดีดกู่ฉินดีไหมเ้าค่ะ ฮูหยินดีกู่ฉินแสนจะไพเราะ" มู่ชิงชิงเอ่ยถาม แต่เธอจะดีดได้เยี่ยงไรในเมื่อเธอไม่ใช่จ้าวซูหลินเสียหน่อย
เจียวอี้หลินทำท่าอ้ำอึ้งก่อนจะหันไปมาก่อนหันไปพบกับซอเอ้อหูที่วางอยู่บนชั้นไม้ ดูเหมือนองค์หญิงหกผู้นี้คงชื่นชอบการสีซอเอ้อหูอยู่ไม่น้อย เพราะดูจากร่องรอยแล้วตอนนางอยู่ที่ตำหนักนี้คงเล่นอยู่บ่อย ๆ
"ไม่ ข้ามีการแสดงที่ข้าคิดไว้แล้ว " เอ่ยจบร่างอรชรก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบซอเอ้อหูขึ้นมาก่อนจะทำการปัดฝุ่นที่เกาะอยู่เล็กน้อย
มู่ชิงชิงทำตาโตจ้องมองเพราะนางจำไม่ได้ว่านายหญิงตนเคยเล่นเครื่องดนตรีเช่นนี้เป็ด้วย อีกทั้งซอเอ้อหูนี้ก็มีเสียงเล่าลือต่อ ๆ กันมา
“ฮูหยิน...ท่านจะสีซอเอ้อหูนี่จริง ๆ หรือ”
“ทำไม...ข้าว่าเสียงของมันก็ไพเราะไม่น้อยไปกว่ากู่ฉินที่ข้าเคยดีดไม่น้อย”
“แต่บ่าวเคยได้ยินว่า...”
“ได้ยินว่าอย่างไร”
“ได้ยินว่าซอเอ้อหูนี้เป็ของที่คนรัก ขององค์หญิงหกมอบให้ไว้ พอได้อภิเษกกับองค์รัชทายาทแคว้นซูนางจึงทิ้งไว้เ้าค่ะ” มู่ชิงชิงทำเสียงอื้ออึงในลำคอก่อนหันซ้ายแลขวาพร้อมยกมือป้องปากพลางกระซิบ
ยังไม่ทันที่เธอจะได้ลองสีซอฟังเสียง เสียงขลุ่ยไพเราะรื่นหูแฝงด้วยความสงบลอยตามสายลมเอื่อยมายังตำหนักที่เธออยู่ เจียวอี้หลินพยายามเองหูฟังหาเสียงนั่นไม่นานเธอก็พบกับผู้ที่เป่าขลุ่ย เจียจื่อฮั่วนั่งเก้าอี้ไม้ใต้ต้นดอกเหมย เธอหยุดยืนอยู่ไม่ไกลเขานักก่อนที่ร่างสูงโปร่งนั้นจะหันกลับมามอง เขาลุกเดินก่อนหยุดพร้อมจับปอยผมบนไหล่เธอที่กำลังพลิ้วไหวไปตามแรงลม เขาค่อย ๆ จับปอยผมที่พัดปรกใบหน้าขาวนวลออกอย่างระมัดระวัง
"ท่านอ๋อง เป็ท่านนั่นเองเสียงขลุ่ยที่หม่อมฉันได้ยินเมื่อสักครู่"
"ข้าเพียงอยากช่วยให้เ้าคลายเหงา....กลัวว่าเ้าจะคิดถึง..." เจียจื่อฮั่วก้มหน้ายกยิ้มมุมปากก่อนหยุดคำเอ่ยต่อ
"หม่อมฉันอยู่ที่นี่รู้สึกสบายใจเสียกว่าอยู่จวนแม่ทัพใหญ่นั่นเสียอีกเพคะ" เจียวอี้หลินรีบเอ่ยตอบ
"เช่นนั้นหากเ้า้าสิ่งใดเพิ่ม ขอเพียงแค่เ้าเอ่ยข้ายินดีนำมาให้เ้า นานแล้วที่เ้ากับข้าไม่ได้เอ่ยคุยกันเช่นนี้” เจียจื่อฮั่วมองแววตาสีดำสนิทของนางที่กำลังกลอกตามองอย่างสงสัย นางคงลืมไปเสียแล้วจริง ๆ ว่าครั้งหนึ่งนางมักจะติดตามเขาไปไหนด้วยเสมอ
เพราะครั้งนั้นที่เสนาบดีจ้าวพานางเข้าวังมาเที่ยวเล่นก็เพียงแค่หกหนาว แม้ในยามแรกนางจะทำท่าทางดื้อรั้นไม่ให้เขาเข้าใกล้นาง หากแต่พอได้สนิทนางกลับตามติดเขาแจ ครั้นพอเขาอายุครบเข้าพิธีสวมกวานก็ถูกแต่งตั้งให้ไปช่วยจัดการดูแลทางเขตตงเป่ย ทำให้ไม่ได้ติดต่อกับนางนานนับสิบปี พอได้กลับมาก็พบว่านางได้แต่งงานเสียแล้ว
"ขอบพระทัยเพคะ เพียงเท่านี้หม่อมฉันก็มีพร้อมครบทุกอย่างแล้ว "
“ข้าอยากให้งานเลี้ยงพระราชสมภพเสด็จพ่อเลื่อนออกไปอีกสักเดือน”
“ทำไมหรือเพคะ”
“เ้าก็จะได้อยู่ที่ตำหนักไป่เหอนี่นาน ๆ เช่นไรล่ะ” เจียวอี้หลินหลุดขำออกมาก่อนที่เขาจะหัวเราะชอบใจตาม
ร่างสูงยืนมองด้วยสีหน้าและแววตาดุดันราวลูกไฟที่กำลังโหมกระหน่ำ ฉินลู่อวิ๋นถูกฮ่องเต้เรียกเข้าวังเพื่อปรึกษาหารือ จนล่วงเข้ายามซวี[19.00-20.59น.] เขาจึงได้รับอนุญาตกลับจวน
แต่เขาอดที่จะอยากรู้ไม่ได้ ว่ายามนี้จ้าวซูหลินนางจะเป็เช่นไร หรือนางกำลังคิดวางแผนอันใดลับหลังเขา หากเป็ข้าศึกเขาก็จะส่งทหารลับเข้าสอดแนมฝ่ายตรงข้ามเสียก่อน แต่เพราะเป็นางเขาจึงต้องเห็นด้วยตาตนเอง ไม่คิดว่าจะได้เห็นท่าทางนางที่กำลังส่งยิ้มให้กับบุรุษอื่นตรงหน้าราวกับเชื้อเชิญ ฝ่ามือหนากำแน่นความรู้สึกภายอกกลับรู้สึกร้อนวูบขึ้น ฉินลู่อวิ๋นหยุดยืนข้าง ๆ ทั้งสอง
"คารวะอ๋องสาม กระหม่อมเพียงแวะมาดูว่าฮูหยินกระหม่อมพักอยู่สบายหรือไม่ หากไม่มีกระหม่อมแล้วนางจะนอนหลับหรือไม่นะพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงเน้นย้ำทำให้เจียจื่อฮั่วก้มมองแววตาเธอก่อนเอ่ยตัดขึ้น
"ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลหลินหลินเป็อย่างดี หากนางไม่สบายจริง ๆ ข้าก็จะให้คนมาปรับปรุงตำหนักไป่เหอ " รอยยิ้มมุมปากดูราวเยาะเย้ยจนฉินลู่อวิ๋นรีบยกลำแขนตนโอบไหล่นาง
"ปล่อยข้าเถอะท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าจะเข้าตำหนักแล้ว" เจียวอี้หลินสะบัดไหล่จนวงแขนเขาหลุดออก เจียจื่อฮั่วรีบยกมือกำป้องปากเพื่อกลบท่าทางขำขัน
"วันนี้ข้าจะมาอยู่เป็เพื่อนฮูหยินของข้า เ้าก็ไปเตรียมเตียงนอนให้ข้าได้แล้วเสี่ยวมู่" มู่ชิงชิงที่เดินออกมาหวังจะมาเรียกนายหญิงตนกลับต้องงุนงง ั้แ่นางมาอยู่จวนแม่ทัพใหญ่นางก็ไม่เคยเห็นเขาแวะมาที่เรือนหรือมองมาที่เรือนฮูหยินเสียด้วยซ้ำ แต่ในยามนี้กลับบอกให้นางเตรียมเตียงนอนที่ตำหนักไป่เหอให้เขา มู่ชิงชิงพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเดินอมยิ้มออกไป
"ใครให้ท่านนอนกัน"
"ไม่มีใครเชิญข้าก็นอนได้ ข้ากับเ้าเป็สามีภรรยาไฉนนอนด้วยกันไม่ได้เล่าฮูหยิน" น้ำเสียงออดอ้อนดั่งลูกแมวน้อยในร่างเสือโคร่งตัวใหญ่ส่งสายตาอ้อนมาที่เธอจนรู้สึกขนลุก เจียจื่อฮั่วยืนมองก่อนเอ่ย
"วันนี้ค่ำแล้วเ้าพักเถอะหลินหลิน ข้ากลับเองเ้าไม่ต้องส่ง" เจียจื่อฮั่วเอามือไพล่หลังก่อนเดินกลับออกไป
"ฉินลู่อวิ๋น...ท่านจะมาไม้ไหนกันแน่ในเมื่อข้าก็บอกออกไปแล้วว่าต่างคนต่างอยู่ ใยท่านต้องกลับมาวุ่นวายข้า" น้ำเสียงเล็ก ๆ ตะเบ่งข่มราวกับอยากทำให้เขากลัว แต่คนตรงหน้ากับอมยิ้มให้กับใบหน้าของนางที่ตอนนี้แดงก่ำไปด้วยอารมณ์โกรธ เขาไม่เคยเห็นท่าทางโกรธราวกับเด็ก ๆ ของนางเช่นนี้มาก่อน คิดว่านางจะมีเพียงแต่ใบหน้านิ่งเงียบราวกับกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
"เวลาเ้าโกรธนี่ก็น่ารักดีเหมือนกัน" ฉินลู่อวิ๋นยกมือหยิกแก้มยุ้ย ๆ ของเธอก่อนจะเดินเข้าตำหนักอย่างสบายอารมณ์
หลายวันที่ผ่านมาเขากลับรู้สึกว้าวุ่นใจคิดไม่ตกเื่ของนาง พอฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้าเขาจึงได้โอกาสที่จะได้มาพบหน้านางเพื่อพิสูจน์ตนเองอีกครั้ง และวันนี้เขาก็รู้สึกสบายใจยิ่งนักเมื่อได้เห็นอีกด้านของนาง
เจียวอี้หลินคว้าผ้าห่มกับหมอนมาวางที่ตั่งไม้ตัวยาวข้างเตียงก่อนจะเอนตัวลงนอนอย่างไม่สนใจคนตัวโตที่กำลังนั่งมองมาที่เธอ
"ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยหรือฮูหยินของข้า" ฉินลู่อวิ๋นเอ่ยถาม ขณะที่จ้าวซูหลินนอนหันศีรษะหนีราวกับไม่อยากมองใบหน้าเขา เธอไม่เอ่ยตอบใด ๆ
"ว๊าย!!" เจียวอี้หลินใที่อยู่ ๆ เขาก็อุ้มตัวเธอลอยจากตั่งไม้ ร่างสูงยกอุ้มเธอ กลิ่นหอมอ่อนๆ ราวกับกลิ่นเหมยกุ้ยฮวา(ดอกกุหลาบ) หลงทำให้เขาเผลอสูดเข้าเต็มปอด
"ในเมื่อฮูหยินไม่ตอบข้า ข้าก็จะอุ้มไว้เช่นนี้จนรุ่งเช้าดีหรือไม่" น้ำเสียงหยอกเย้ากระซิบข้างแก้มทำให้ใบหน้าของเธอแดงด้วยความเขินอาย
"ข้าไม่คุ้นที่ต้องนอนร่วมกับผู้อื่น" เจียวอี้หลินรีบเอ่ยปฏิเสธ
"ข้าใช่ผู้อื่นไม่ ข้าเป็สามีเ้าต่างหาก"
"สามีงั้นหรือ? ท่านลืมไปแล้วหรือว่าท่านเอ่ยห้ามข้าว่าอย่างไร เป็ท่านเองไม่ใช่หรือที่ไม่อยากเป็สามีข้า ั้แ่ข้าแต่งเข้าจวนท่าน ข้าแทบจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ ว่าข้าได้แต่งงานแล้วหรือยัง" เจียวอี้หลินรีบตอบเขาอย่างไว เพราะเธอรู้ดีว่าที่จ้าวซูหลินโกรธแค้นหลี่ชินฮวาก็เพราะฉินลู่อวิ๋นไม่เคยมาใยดีนางเลยเสียด้วยซ้ำ มีแต่ไปเอาอกเอาใจหลี่ชินฮวาแม่นางเอกของเื่นั่น
"งั้นคืนนี้ข้าจะทำให้เ้านึกได้ว่าแต่งแล้วหรือยัง" พูดจบริมฝีปากของเขาก็ประกบลงริมฝีปากอวบอิ่มของเธอ สองมือของเขาสอดกระหวัดรัดเกี่ยวโลมไล้ไปตามเรือนร่างของเธออย่างนุ่มนวลทว่าร้อนแรง เป็ครั้งแรกที่ฉินลู่อวิ๋นััถึงความมีเสน่ห์ยั่วยวนเช่นนี้ ลิ้นอุ่นร้อนแทรกเข้าเกี่ยวกระหวัดลิ้นนุ่มจนเธอเผลอครางเสียงกระเส่า ปล่อยตนเองให้เตลิดเพริดไปกับห้วงอารมณ์เสน่หาที่เขาปลุกเร้าขึ้น ก่อนตั้งสติได้ผลักอกเขาออกเต็มแรง
ปึก!!
" ท่านเป็บ้าไปแล้วหรือยังไง ทำเช่นนี้ไม่คิดถึงน้ำใจคุณหนูหลี่ของท่านหรือ " เจียวอี้หลินผลักอกเขาเต็มแรง จนร่างกำยำผละออก คิ้วหน้ากระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะผละออกจากร่างบาง พร้อมยกปลายหัวแม่มือขึ้นเช็ดริมฝีปากของตนเอง
ฉินลู่อวิ๋นเดินเหม่อออกจากตำหนักไป๋เหอ ก่อนควบม้าออกไป ภายในใจเขากลับอดคิดไตร่ตรองการกระทำตนไม่ได้ เพราะเหตุใดเขาจึงทำกับนางเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่นางร้ายกาจกับเขา และหลี่ชินฮวาแค่ไหน แต่เพียงได้เห็นสีหน้าเศร้าของนางกลับทำให้เขาอดใจอ่อนได้ถึงเพียงนี้แล้วหรือ