หลังจากสังหารเฉิงอวี้และหลบหนีจากถ้ำซากศพ มู่จื่อหลิงรู้สึกว่านางไม่เหลือเรี่ยวแรงพอที่จะรับมือกับอันตรายอื่นใดที่ไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม หากอันตรายมาถึงตัวจริงๆ นางก็ไม่อาจหลีกหนีได้
ูเาที่แห้งแล้งป่าทึบ ลึกล้ำโดดเดี่ยว
มู่จื่อหลิงคลำหาในความมืด เดินหน้าอย่างระมัดระวังเข้าไปในป่าทึบ
หลังจากเดินอย่างระมัดระวังประมาณหนึ่งก้านธูป เมื่อยืนยันว่านางอยู่ห่างจากถ้ำศพมากพอแล้ว มู่จื่อหลิงก็หยุดข้างต้นไม้เก่าแก่ขนาดใหญ่
จากนั้นนางก็นั่งลงบนพื้น พิงหลังกับลำต้นของต้นไม้ใหญ่เพื่อเติมพลัง
มู่จื่อหลิงเงยศีรษะขึ้น มองดูดวงจันทร์ที่ลอยสูงบนท้องฟ้ายามค่ำคืนเงียบๆ แสงจันทร์ลอดผ่านร่มเงาของต้นไม้หนาทึบ ดวงตาใสของนางเต็มไปด้วยความคิด
ตามที่สาวใช้ที่ตายไปก่อนหน้านี้กล่าวมา พวกนางทั้งห้ารออยู่บนเขาโฮ่วซานมาหลายวันแล้ว
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือพวกนางรอคอย่เวลาที่นางอยู่เพียงลำพัง หรือรอจนถึง่เวลาที่เหมาะสมจึงเริ่มเคลื่อนไหวมากที่สุด
ไม่จำเป็ต้องคิด มู่จื่อหลิงก็รู้ว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงหาโอกาสเช่นนี้
มู่จื่อหลิงเดาได้จากคำสารภาพของเฉิงอวี้ นางยังคงเย้ยหยันในใจไม่หยุด
ใช่แล้ว ไม่จำเป็ต้องพูดถึงพวกหลินเกาฮั่นที่เมื่อไม่นานมานี้ยังคิดหาหนทางกำจัดนาง หากเดาว่าคนที่อยู่ใกล้ตัวนางใน่เวลาไม่นานมานี้ล้วนเป็คนข้างกายหลงเซี่ยวอวี่
เช่นนั้นก็เดาได้ว่าเล่อเทียนกับกุ่ยเม่ยต้องรู้จักเยวี่ยหลิงหลงผู้นั้น
เนื่องจากพวกเขารู้จักเยวี่ยหลิงหลง พวกเล่อเทียนย่อมรู้จักสาวใช้ที่แสนสะดุดตาข้างกายเยวี่ยหลิงหลงด้วย
หากสาวใช้เ่าั้ลงมือในยามที่มีเล่อเทียนกับกุ่ยเม่ยอยู่ แล้วเกิดข้อผิดพลาดในการลอบสังหารขึ้น พวกเล่อเทียนย่อมรู้ว่าความผิดพลาดในการลอบสังหารคือเยวี่ยหลิงหลง เป็การกระทำที่ทรงพลังเสียจริง
แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ เพื่อสังหารนางผู้ไม่ได้ถืออาวุธใดๆ หญิงใจอำมหิตผู้นั้นถึงกับระดมกำลังมาถึงเพียงนี้ ทั้งยังต้องเลือกเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมในการฆ่า
ไม่แปลกเลยที่ยามออกจากป่าสายหมอกในวันนั้น ในตอนท้าย เยวี่ยหลิงหลงส่งสายตาเหี้ยมโหดมองนางด้วยความหมายลึกซึ้ง แต่นางกลับไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ มานานเพียงนี้
ปรากฏว่า เยวี่ยหลิงหลงกำลังเฝ้ารอ จนกระทั่งถึงยามนี้ที่หลงเซี่ยวอวี่ออกจากแคว้นเจียหลัว เขาอยู่ห่างจากนาง
อีกทั้งหลังจากนั้น คราวนี้นางยังต้องมาที่เขาโฮ่วซาน ตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับโรคระบาด จึงกลายเป็โอกาสเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับเยวี่ยหลิงหลง
นั่นเป็เหตุผลที่เยวี่ยหลิงหลงเลือกเขาโฮ่วซานอันเงียบสงบนี้ รอเวลาที่นางอยู่เพียงลำพัง
ถูกที่ ถูกเวลา...เรียกได้ว่าทุกอย่างช่างลงตัว
อา! คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าหญิงผู้นั้นจะคิดทุกอย่างรอบคอบรัดกุมถึงเพียงนี้
ดอกท้อเน่าของหลงเซี่ยวอวี่เกิดจากอสูรร้ายนำภัยพิบัติครั้งใหญ่มาสู่แคว้นและประชาชนได้จริงๆ ดอกท้อเน่าดอกนี้รุนแรงกว่าดอกอื่น บ้าคลั่งยิ่งกว่า
ดอกท้อเน่าเหล่านี้กำลังเล็งมาที่นาง หากไม่พุ่งเข้าหานางคงไม่เป็ไร
สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือนางไม่รู้ว่าคนที่ทำให้เกิดดอกท้อเน่าเป็พวงเช่นนี้ คนผู้นั้นที่ทำให้นางต้องถูกไล่ล่ายามนี้อยู่ที่ใด?
นอกจากนี้นางยังต้องเผชิญกับอันตรายเหล่านี้เพียงลำพัง
พูดไม่ได้ว่าใจริษยาของสตรีโบราณนั้นช่างร้ายกาจยิ่งนัก เมื่อไม่อาจชนะใจชายผู้เป็ที่รักได้ ก็พร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อจัดการกับผู้หญิงที่อยู่รอบตัวเขา
เมื่อนึกถึงเื่นี้ ดวงตาของมู่จื่อหลิงก็ฉายแววเ็า
คนที่เยวี่ยหลิงหลงส่งมาฆ่านาง ในยามนี้ยังเหลืออีกสี่คนที่กระจัดกระจายกันออกไปตามหานางภายในเขาโฮ่วซาน
แม้ว่ายามนี้จะมืดค่ำแล้ว แต่พวกนางรับรู้ว่าวันนี้นางเข้ามาในเขาโฮ่วซาน ย่อมต้องรู้ว่านางยังไม่ได้กลับออกไป
จากจุดนี้ มู่จื่อหลิงคิดอย่างรอบคอบถึงความเป็ไปได้ที่ไม่อาจเลี่ยง
คนที่เหลืออยู่เ่าั้ ในยามนี้ต้องมีสักคนที่เฝ้ารออยู่ตรงทางออกจากเขาโฮ่วซาน รอให้นางพาตัวเองเข้าไปในกับดัก
ดังนั้นมู่จื่อหลิงจึงรู้ว่า หากนางยืนกรานจะกลับไปในยามนี้ นางต้องสังหารคนที่เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย [1] อยู่ตรงทางออกให้ได้เท่านั้น
แต่เห็นได้ชัดว่ามันเป็ไปไม่ได้ นี่เป็เพียงความคิดเพ้อเจ้อ
ยิ่งนางไม่รู้ว่ามีคนรออยู่ตรงจุดนั้นกี่คนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยิ่งนางไม่มีความสามารถในการต่อกรตัวต่อตัวยิ่งไม่ต้องคิด กล่าวได้ว่าการที่นางไร้วรยุทธ์เป็จุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนาง
ดังนั้น เพียงเพราะนางไร้วรยุทธ์ ความแข็งแกร่งของมู่จื่อหลิงจึงลดลงมากยามต้องเผชิญหน้าศัตรู
ต้องรู้ว่าไม่ว่านางจะมีเล่ห์เหลี่ยมมากมายเพียงใด หากพบเข้ากับใครบางคนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง อาจกลายเป็การวางยุทธวิธีบนกระดาษ [2] ไม่อาจทำได้จริง
ดังนั้นในยามนี้จึงเป็ไปไม่ได้ที่มู่จื่อหลิงจะถามหาความตายด้วยการใช้ไข่มากระทบหินอย่างโง่เขลา
มู่จื่อหลิงรู้ดีว่า การกลับออกไปในเส้นทางนี้เป็ได้เพียงความฝัน นางตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่จากไป ซึ่งหมายความว่านางจะไม่กลับออกไปในยามนี้
เกลียดนัก! มู่จื่อหลิงรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ กำหมัดแน่น กระแทกลงกับพื้นอย่างแรง ประกายแห่งความมุ่งมั่นส่องประกายในดวงตาของนาง
หากครั้งนี้นางสามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่านางจะเป็เพียงขยะในโลกผู้ฝึกวรยุทธ์หรือไม่ ไม่ว่านางจะได้รับผลกระทบร้ายแรงอย่างไรจากการฝึกวรยุทธ์ นางก็อยากลอง
เพราะแทนที่จะเป็ลูกแกะ [3] ที่สามารถถูกเชือดได้ทุกที่ทุกเวลาเช่นนี้ สู้ยอมอดกลั้น พยายามให้เต็มที่จะดีกว่า
......
แม้ว่าูเาจะกว้างใหญ่และมีศัตรูอยู่ไม่มาก แต่ผู้ฝึกวรยุทธ์มักมีประสาทััที่เฉียบแหลม ความเร็วในการเคลื่อนที่ของพวกนางเร็วราวกระต่าย [4] สามารถรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย
หากถูกพบตัว ย่อมไม่อาจหนีพ้น นอกจากนี้ยังเป็ไปไม่ได้ที่จะยืนโง่ๆ รอให้ใครสักคนมาฆ่าได้
จากจุดนี้ มู่จื่อหลิงจึงต้องป้องกันระมัดระวังให้ดี
หลังจากพักผ่อนครู่หนึ่ง มู่จื่อหลิงก็ไม่กล้าอยู่ตรงนี้ต่อ นางรีบลุกขึ้น เดินหน้าต่อไป
เนื่องจากนางไม่อาจกลับออกไปได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ในยามนี้คือพุ่งเข้าไปในส่วนลึกของป่า หาสถานที่ปลอดภัยแล้วหลบซ่อนตัว ไม่ให้อีกฝ่ายหานางพบได้
มู่จื่อหลิงใช้ร่างกายสีดำแฝงกายกลมกลืนบรรยากาศยามค่ำคืน ลดความรู้สึกของการดำรงของตนภายในป่าแสนอันตรายนี้ให้มากที่สุด
แต่ใครจะคิด มู่จื่อหลิงที่พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อซ่อนตัวกลับต้องหยุดเดินหลังจากเดินไปได้เพียงไม่นาน
ทันใดนั้น คิ้วของนางก็กระตุก เพียงเพราะใช้เวลาเพียงไม่นาน ลางสังหรณ์ไม่ดีที่ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งก็พุ่งเข้ามาในหัวใจของนางอีกครั้ง
มู่จื่อหลิงรู้แล้วว่า นี่เป็เื่น่าเศร้า นางถูกพบอีกแล้ว
ใน่เวลานี้ มู่จื่อหลิงอยากจะร้องไห้ นางพบว่าตนโชคร้ายจริงๆ!
ดูชุดสีเข้มของนางสิ นางปลอมตัวมาอย่างดี ดูจะกลมกลืนไปกับป่าไม้สีดำสนิท สามารถทำให้คนคิดว่านางเป็เพียงต้นไม้แคระที่ไม่เด่นได้
แต่ยามนี้เล่า?
ยามนี้ถูกพบแล้ว
มู่จื่อหลิงเตรียมพุ่งเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว โดยไม่แม้แต่จะคิด
แต่ยามที่นางยกเท้าขึ้น ก่อนที่นางจะได้เคลื่อนไหว เสียงผู้หญิงเ็าก็ดังมาจากข้างหลัง
“เ้าคนที่อยู่ข้างหน้า หยุดนะ!” ผู้มาคือลวี่จู๋ นางพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
หยุดหรือ? เ้าบอกให้หยุด แล้วข้าต้องหยุดหรือ นี่ไม่หน้าด้านไปหน่อยหรือ? มู่จื่อหลิงเยาะเย้ยในใจ
ประมาทเพียงนิด ชีวิตย่อมสิ้นสูญ
ดังนั้น หยุดนิ่งไม่ได้เด็ดขาด
แต่ใครจะคิด ยามที่มู่จื่อหลิงยันตัวขึ้น เตรียมก้าวหลบหนีต่อ เสียงที่ตามหลังมายิ่งเร็วขึ้น ทำให้นางต้องยอมหยุดอย่างเชื่อฟัง
เสียงลวี่จู๋เยือกเย็น เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ “เ้าเคยเห็นหญิงรูปงามเ้าอารมณ์แต่กลับโง่เขลา สวมชุดเรียบๆ แต่กลับใช้เนื้อผ้าราคาแพง แต่กลับมีกลิ่นเหม็นสาบติดตัวบ้างหรือไม่?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา มู่จื่อหลิงก็ไม่จำเป็ต้องคิดอีก นางรู้ว่านางคือคนที่คนผู้นี้ถามถึงอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่คนคนนี้กำลังพูดบ้าอะไร?
สวยแต่ดูโง่หมายความว่าไง? สวมชุดที่ทำจากเนื้อผ้าราคาแพงแต่กลับมีกลิ่นเหม็นสาบ?
เส้นสีดำสามเส้นปรากฏบนหน้าผากของมู่จื่อหลิง นางได้แต่ก่นด่าในใจ
ให้ตายเถอะ บอกเพียงแค่นางเป็คนงดงามก็พอแล้ว จะวิจารณ์ถึงนิสัยใจคอของนางก็พูดไป แต่อะไรคือการบอกว่านางมีหน้าตาที่ดูโง่เขลา? ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นสาบ?
บ้าจริง!
แต่มู่จื่อหลิงไม่คาดคิดเลยว่า เยวี่ยหลิงหลงจะตรวจสอบนางอย่างละเอียด รู้แม้กระทั่งเสื้อผ้าแบบไหนที่นางชอบสวมใส่
คนที่เข้ามาผู้นี้ บอกนางหมดทุกสิ่งแล้ว
จริงๆ เลย...
เมื่อเทียบกับองค์หญิงผู้ป่วยไข้และหญิงอกใหญ่ไร้สมองอย่างมู่อี๋เสวี่ยแล้ว สองคนนั้นเทียบไม่ได้เลย เห็นได้ชัดว่าเยวี่ยหลิงหลงมีนิสัยโเี้กว่ามาก
แต่ไม่ว่าหญิงใจอำมหิตเยวี่ยหลิงหลงจะโหดร้ายเพียงใด นางมู่จื่อหลิงจะโเี้ให้มากยิ่งกว่า
มู่จื่อหลิงเยาะเย้ยในใจ
พยายามส่งคนตามล่าสังหารนางเช่นนั้นหรือ? เช่นนั้นจงรอดูให้ดี
แต่ยามนี้ เมื่อฟังสิ่งที่ลวี่จู๋ถาม นางก็ถึงกับต้องลอบด่าไปถึงมารดา มุมปากของมู่จื่อหลิงซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากสีดำกระตุกเล็กน้อย
ปรากฏว่านี่เป็อีกคนที่ไร้สมอง รูจมูกเชิดชี้ฟ้า [5]!
ขอแค่ทำให้อีกฝ่ายสติแตกได้เพียงชั่วครู่ โอกาสของนางก็จะมาถึง
ดังนั้นในยามนี้ เมื่ออีกฝ่ายพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วทั้งที่จดจำนางไม่ได้ หากนางหนีไปโดยไม่ตอบกลับ นางจะถูกเปิดโปงทันที
มู่จื่อหลิงกระแอมไอเบาๆ แสร้งป่วย หันกลับมาช้าๆ ลอบตรวจสอบคนตรงหน้า
เมื่อนึกถึงคำสารภาพของสาวใช้ที่ตายไป มู่จื่อหลิงหันมองหญิงชุดเขียวตรงหน้า นางก็สามารถตัดสินได้ทันที
คนผู้นี้เก่งวิชากระบี่
แม้ว่ายามนี้นางจะอยู่ในระยะใกล้ อีกทั้งนางยังสามารถวางยาพิษได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีใครรู้ว่ากระบี่ยาวในมือหญิงชุดเขียวจะรวดเร็วกว่านางหรือไม่?
ดังนั้นนางจึงตัดสินใจไม่กระทำสิ่งที่อาจเป็การสังหารศัตรูหนึ่งพันแต่สูญเสียไปถึงแปดร้อย
มู่จื่อหลิงส่ายหัว ตอบด้วยเสียงแหบแห้ง แสร้งทำเป็สับสน “ดึกดื่นถึงเพียงนี้ ในป่าทึบบนเขาลึกเช่นนี้ จะมีคนเข้ามาได้อย่างไร? ยามนี้นอกจากเ้าแล้ว ข้าก็ไม่เคยเห็นหญิงงามเ้าอารมณ์อย่างที่เ้าว่ามาเลย”
“จริงหรือ?” เสียงลวี่จู๋ไร้อารมณ์ เห็นได้ชัดว่ามีร่องรอยของความสงสัย นางยกกระบี่คมในมือขึ้นเล็กน้อยราวกับข่มขู่ “ไม่เคยพบจริงหรือ?”
มู่จื่อหลิงลอบกลืนน้ำลาย พยักหน้าราวไก่น้อยจิกข้าว [6] พูดอย่างจริงจัง “อือ อือ ตลอดทางมานี้ นอกจากเ้ากับข้าแล้ว ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดอีก”
แต่ใครจะคิดว่าลวี่จู๋เต็มไปด้วยความรังเกียจต่อคำพูดของมู่จื่อหลิง ราวกับว่าการมีส่วนร่วมกับคนผิวดำหน้าตาน่าเกลียดผู้นี้เป็ความอัปยศอย่างยิ่งสำหรับนาง
ลวี่จู๋มองมู่จื่อหลิงผู้มืดมนจนต้องเป็คนสายตาดีเช่นนางเท่านั้นถึงจะมองเห็นได้ พูดอย่างดูถูกว่า “เ้าไม่ใช่มนุษย์”
เ้าบ้าเช่นเ้าต่างหากที่ไม่ใช่มนุษย์! มู่จื่อหลิงแทบกลอกตาใส่
คนผู้นี้ ไม่รู้วิธีพูดดีๆ เลยจริงๆ
ลวี่จู๋หรี่ตาลงเล็กน้อย มองมู่จื่อหลิงที่สวมชุดสีดำอย่างระมัดระวัง น้ำเสียงเ็า มีร่องรอยของเจตนาสังหาร “เมื่อครู่ยามที่ข้าบอกให้เ้าหยุด เหตุใดเ้าจึงวิ่งต่อ?”
พูดไม่ทันจบ ลวี่จู๋ก็ยื่นมือออกมา วางกระบี่แวววาวพาดคอเรียวดำคล้ำของมู่จื่อหลิงโดยไม่ลังเล......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย (守株待兔) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า คนที่ไม่คิดที่จะลงแรงหรือพยายามทำงาน แต่กลับหวังที่จะได้ผล
[2] วางยุทธวิธีบนกระดาษ (纸上谈兵) เป็สำนวน มีความหมายว่า คนที่ดูเหมือนจะมีความสามารถ ฝีปากดี พูดจาเก่ง แต่ที่จริงแล้ว เป็พวกดีแต่พูดเท่านั้น
[3] ลูกแกะ (羔羊) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า คนไร้เดียงสา หรืออ่อนแอ
[4] กระต่าย (兔子) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า คนที่มีความสามารถด้านการะโและวิ่งเร็ว
[5] รูจมูกเชิดชี้ฟ้า (鼻孔朝天) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า หยิ่งยโส
[6] ไก่น้อยจิกข้าว (小鸡啄米) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า พยักหน้ารัวเร็ว หรือให้เปรียบคนที่แสร้งทำเป็ไม่เข้าใจ และเล่นตุกติก