เหยาเชียนเชียนรู้สึกว่านางมีถ้อยคำหยาบคายมากมายที่ถูกกักเก็บไว้อยู่ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นศพงูที่ตายตัวอ่อนปวกเปียก ความอยากพูดทั้งหมดก็พลันหายไป
“หวังเฟยมาหาเปิ่นหวังหรือ?” ชิงผิงอ๋องถามอย่างมีความสุข “พอดีเลย เปิ่นหวังเพิ่งล่าสัตว์มาได้ไม่น้อย และกำลังหาที่กำบังลมเพื่อย่างมันให้หวังเฟยอยู่พอดี”
เหยาเชียนเชียนรู้สึกวิงเวียนตาลาย นางไม่อยากกิน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานความกระตือรือร้นของชิงผิงอ๋องได้ คาดไม่ถึงว่าเขายังขอให้บ่าวไพร่นำเกลือหยาบและเครื่องปรุงรสมาด้วย เขาตั้งใจจะทำเนื้อย่างบนูเาอยู่แล้ว
ในคราแรกเหยาเชียนเชียนไม่สามารถคิดเป็อื่นได้ ในหัวนางมีแต่ไฟบนูเา หัวหน้าหน่วยตกหลุมรักข้า ทุกคนล้วนเป็เ้าหน้าที่อนุรักษ์ป่าไม้ที่ดี ราวกับกำลังปกป้องบ้านสีเขียวหลังใหญ่อะไรทำนองนั้น หลอนประสาทเหลือเกิน
“ท่านอ๋อง อาเหยียนอยู่ที่จวนเพียงลำพัง หม่อมฉันไม่วางใจเลย” นางกล่าวอย่างอ่อนโยน “มิสู้ให้หม่อมฉันกลับไปก่อน หากไม่มีเหตุอะไรหม่อมฉันค่อยกลับมาล่องเรือผ่อนคลายกับท่านอ๋องอีกที ดีหรือไม่เพคะ?”
เป่ยเหลียนโม่ลังเลเล็กน้อย ในขณะที่เหยาเชียนเชียนคิดว่าเขากำลังครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่นั้น คนผู้นี้ก็พลันกล่าวประโยคหนึ่งขึ้นมา
“เกือบลืมเื่สำคัญไปเลย ที่มาที่นี่ครั้งนี้ก็เพื่อเชิญหวังเฟยไปล่องเรือในทะเลสาบ แต่ผลคือต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก มิสู้เราไปกันยามนี้เลยดีหรือไม่”
หา?
เหยาเชียนเชียนถูกเป่ยเหลียนโม่ดึงขึ้นมาเพื่อพาลงจากูเาไปอย่างกระตือรือร้น เขากล่าวว่าเนื้อย่างค่อยรอกินยามเย็น หลังจากจับปลาในทะเลสาบได้แล้วค่อยกลับจวนไปทำเป็สำรับเย็น
ส่วนอาเหยียน สิ่งที่ชิงผิงอ๋องอยากจะสื่อคือสุดท้ายเด็กก็ต้องเติบโตและไม่สามารถคอยเฝ้าดูได้ทุกที่ทุกเวลา เพราะจะทำให้เขาพึ่งพาผู้อื่นมากเกินไปได้ง่าย
เหยาเชียนเชียนตกตะลึง นี่มันเกิดอะไรขึ้น ครั้งหนึ่งชิงผิงอ๋องเคยดูแลอาเหยียนเป็อย่างดี แล้วเหตุใดยามนี้เขาถึงบอกว่าจะเป็การพึ่งพาผู้อื่นมากเกินไปเสียแล้ว?
เรือใหญ่อันสวยงามแล่นอย่างช้าๆ ไปยังใจกลางทะเลสาบ ชิงผิงอ๋องถือสุราจอกหนึ่ง ดูท่าเหมือนอยากจะขับกวีสักบท ส่วนเหยาเชียนเชียนเดิมทีก็รู้สึกเวียนหัวอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งรู้สึกวิงเวียนหนักกว่าเดิมเสียอีก
“หวังเฟยไม่สบายหรือ?”
เป่ยเหลียนโม่แตะหน้าผากของนางเบาๆ ยังดีที่ไม่ส่อเค้าอาการไข้
“หวังเฟยเมาเรือเหตุใดจึงไม่บอกเปิ่นหวังั้แ่แรก” เขาสั่งให้บ่าวไพร่รีบจับปลาอย่างรวดเร็วแล้วย้อนกลับไปขึ้นฝั่ง เหยาเชียนเชียนยิ้มไม่ออก ในเวลาแบบนี้เขาก็ยังไม่ลืมจะจับปลา
“ถ้ารู้สึกไม่สบายก็พิงมาที่ไหล่ของเปิ่นหวังเถิด” ชิงผิงอ๋องกล่าวแล้วก็โอบนางเข้ามาในอ้อมแขน ปลายนิ้วของเขาแต้มด้วยอะไรบางอย่างและช่วยนวดเพื่อให้นางได้ผ่อนคลาย
“ท่านอ๋อง...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” เป่ยเหลียนโม่คิดว่านาง้าจะกลับจวนอีกแล้วจึงตัดบทอย่างหนักแน่นว่า “เมื่อเรือเข้าฝั่งแล้วเ้าก็กลับไปพักผ่อนก่อน เปิ่นหวังจะรอหวังเฟยมารับสำรับเย็นพร้อมกัน”
เหยาเชียนเชียนยิ้ม “หม่อมฉันไม่ได้จะกล่าวเช่นนั้น ที่หม่อมฉันจะบอกคือในสำรับเย็นช่วยปรุงรสเผ็ดให้สักหน่อย หม่อมฉันอยากกินเพคะ”
ในเมื่อชิงผิงอ๋องแสดงออกชัดเจนว่าไม่้าให้นางกลับจวน หากนางกลับไปด้วยลำแข้งของตัวเองก็คาดว่าคงก้าวเข้าประตูจวนอ๋องไม่ได้อยู่ดี เมื่อเป็เช่นนี้ มิสู้นางอยู่ที่นี่อย่างสงบจะดีกว่า
ถึงอย่างไรชิงผิงอ๋องก็คงไม่ปล่อยให้อาเหยียนกังวลและรู้สึกไม่ดี แต่ไม่รู้ว่าในครั้งนี้เขาวางแผนอะไรไว้
เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงเรือนพักผ่อน เหยาเชียนเชียนก็หลับไปอีกครั้งตามคาด นางตื่นขึ้นมาใน่เวลาอาหารเย็นได้อย่างน่าอัศจรรย์ สภาพจิตใจของนางฟื้นฟูขึ้นมาไม่น้อย นางเดินออกมาที่กลางเรือน เห็นเหล่าบ่าวไพร่จัดตั้งเตาไฟไว้ ข้างกันคือเนื้อสัตว์ที่หมักไว้เรียบร้อยแล้ว
“เนื้อเหล่านี้คือเนื้อที่ท่านอ๋องขึ้นเขาไปล่ามาได้ทั้งหมดเลยหรือ?”
หมักจนเป็เช่นนี้แล้วก็ยากที่จะแยกแยะว่าเป็เนื้ออะไร เครื่องปรุงรสแต่ละชนิดต่างก็พยายามอย่างเต็มที่ในการปล่อยกลิ่นหอม เหยาเชียนเชียนกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะนั่งลงข้างๆ เป่ยเหลียนโม่รอเวลาเริ่มอาหารเย็นอย่างว่าง่าย
“กระต่ายูเาตัวนี้ต้องทำให้นุ่มสักหน่อย” เป่ยเหลียนโม่ยื่นให้ “หวังเฟยลองชิมดูสิ”
เหยาเชียนเชียนเม้มริมฝีปากแล้วรับมันมา สายตามองไปยังน้ำจิ้มที่อยู่ข้างๆ เ้ากระต่ายน่ารักขนาดนี้จะต้องเพิ่มรสชาและรสเผ็ด!
เมื่อเห็นว่านางกลืนเนื้อย่างสีแดงคำใหญ่เข้าไปโดยไม่ลังเล การกระทำของเป่ยเหลียนโม่ก็หยุดชะงัก เขาไม่รู้เลยว่าที่แท้แล้วนางจะชอบกินรสจัดขนาดนี้
“ท่านอ๋องย่างเนื้อได้รสชาติดีมากเลยเพคะ” เหยาเชียนเชียนเลียมุมปากอย่างพึงพอใจ สายตาจ้องมองไปยังเนื้อชิ้นต่อไป ทว่าชิงผิงอ๋องกลับยื่นเนื้อที่ไม่ทราบว่าเป็เนื้อสัตว์ชนิดใดมาให้และมองนางด้วยสายตาคาดหวัง
“หวังเฟยลองชิมเนื้อชิ้นนี้สิ”
เหยาเชียนเชียนรับมาอย่างคล่องแคล่ว เนื้อชิ้นนี้มีกลิ่นหอมมากแต่ก็ไม่รู้ว่ามันคือเนื้ออะไร เมื่อกัดเข้าไปแล้วกลิ่นหอมก็โดดเด่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าถูกปรุงด้วยเครื่องเทศชนิดใดจึงทำให้ไม่มีกลิ่นคาวเนื้อแม้แต่น้อย ดังนั้นนางจึงกินหมดภายในสองสามคำ
“นี่คือเนื้อปลาที่จับมาได้เมื่อบ่ายหรือเพคะ?” นางถือโอกาสเอ่ยถาม
ชิงผิงอ๋องส่ายหัว “นี่คือตัวการที่ทำให้หวังเฟยใเมื่อยามบ่าย เปิ่นหวังนำมันมาย่างให้หวังเฟยเพื่อเป็การไถ่โทษ”
ทำให้ใ...
เหยาเชียนเชียนกวาดสายตามองไปยังชิงผิงอ๋องอย่างช้าที่สุดด้วยแววตาสื่อคำถาม มันคงไม่ใช่สิ่งที่นางคิดหรอกกระมัง?
“หากหวังเฟยชอบกินปลา เปิ่นหวังย่างให้อีกตัวดีหรือไม่?”
เหยาเชียนเชียนรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างอยู่ในท้องของนาง ิญญาพยาบาทของงูตัวนั้นคงไม่ได้ถูกนางกินเข้าไปแล้วกระมัง นางอยากจะอาเจียนแต่ก็สำรอกไม่ออก และนางยังค้นพบอย่างน่าเศร้าว่าถึงแม้จะรู้ความจริงแล้ว ทว่าชิงผิงอ๋องก็ย่างเนื้อได้หอมเย้ายวนจริงๆ
เนื้อย่างยามเย็นจบลงด้วยความสับสนของเหยาเชียนเชียนและความสุขของชิงผิงอ๋อง คราวนี้พอได้นอนลงบนเตียงอีกครั้งเหยาเชียนเชียนก็หลับไปแทบจะในทันที ไม่ว่าพรุ่งนี้เขาจะทำอะไรอีกก็แล้วแต่ท่านผู้นั้นจะพอใจเถิด
ทว่าเมื่อนางตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นก็เห็นเหล่าบ่าวไพร่กำลังขนของขึ้นรถม้ากันแล้ว
“อันนี้แล้วก็อันนี้ขนไปวางไว้ตรงนั้น”
พ่อบ้านที่กำลังยุ่งอยู่เห็นเหยาเชียนเชียนกำลังเดินเข้ามาแต่ไกลก็รีบปรี่เข้าไปคำนับทันที
“เรากำลังจะกลับกันแล้วหรือ?” เหยาเชียนเชียนเอ่ยถาม
“ทูลหวังเฟย ท่านอ๋องตรัสว่าได้ล่องเรือไปแล้ว ดังนั้นจึงถึงเวลาอันสมควรที่จะต้องเสด็จกลับ ท่านอ๋องรับสั่งให้เหล่าบ่าวไพร่ขนของขึ้นบนรถม้า พระองค์ลองทอดพระเนตรดูว่ายังมีสิ่งใดที่ทรงโปรดปรานและอยากนำกลับไปด้วยหรือไม่ และสามารถแจ้งให้เหล่าบ่าวไพร่ทราบได้ทุกเวลาพ่ะย่ะค่ะ”
เหยาเชียนเชียนเห็นบ่าวไพร่กำลังขนผลเจียงกั่วเต็มสองตะกร้าขึ้นไปวางบนรถม้าก็พลันยิ้มออกมา ของเหล่านี้ก็นึกขึ้นมาได้ เพียงแต่เกรงว่าเรือนพักผ่อนแห่งนี้จะถูกขนของออกไปครึ่งหนึ่ง แล้วจะหลงเหลือสิ่งใดไว้อีก
นางเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงไปหาชิงผิงอ๋อง ภายในเรือนท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ไร้ผู้ใดเปรียบกำลังเสวยสำรับเช้าอยู่ ดูเหมือนเขาจะแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นนางเข้ามาแต่ก็เผยให้เห็นรอยยิ้มบางเบาราวกับแสงอาทิตย์ในยามเช้า แม้จะแสงจ้าเข้าตาแต่ก็สวยงามยิ่งนัก
“เหตุใดท่านอ๋องจึงเสด็จกลับวันนี้เล่าเพคะ?”
เมื่อคำนี้ถูกกล่าวออกมา ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ สองวันก่อนนางเป็ฝ่ายรีบร้อนอยากกลับไปเอง พอได้ฟังคำพูดจากปากของนางเองในวันนี้ก็ทำให้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“จัดการธุระเรียบร้อยแล้วก็ย่อมต้องกลับไป”
เป่ยเหลียนโม่คีบถังเปาส่งให้นางและกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “ลองชิมนี่สิ ข้างในเป็ไส้เห็ดที่เ้าชอบด้วยนะ"
เหยาเชียนเชียนรู้สึกปลื้มใจ ก่อนจะละเลียดกินถังเปาทีละคำอย่างตั้งใจจนหมดชิ้น
ต่อให้นางจะโง่เขลาเพียงใดก็คงไม่คิดว่าสิ่งที่ชิงผิงอ๋องกล่าวจะมีจุดประสงค์เพียงเพื่อล่องเรืออย่างเดียวจริงๆ แต่เื่ใดเล่าที่เขาต้องออกจากจวนจึงจะทำสำเร็จ?
ขามาใช้รถม้าเพียงแค่สองคัน แต่ขากลับจัดขบวนรถอย่างยิ่งใหญ่ เหยาเชียนเชียนรอมาตลอดทางแต่เป่ยเหลียนโม่ก็ยังไม่ยอมพูดเสียที นางจึงทำได้เพียงตามเขากลับจวนไปด้วยความรู้สึกร้อนในใจ
“ท่านอ๋องเสด็จกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินที่บ่าวไพร่แจ้งข่าว อาเหยียนน้อยก็รีบวิ่งออกไป เขาวิ่งเข้าไปกอดผู้เป็พ่ออย่างลวกๆ จากนั้นก็พุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของผู้เป็แม่และติดหนึบไม่ยอมลงมา
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันขอพาอาเหยียนกลับห้องก่อนนะเพคะ”
ถึงอย่างไรก็นำของดีกลับมาไม่น้อย เหยาเชียนเชียนจึงอยากให้ลูกได้ดูและเล่นในทันที เป่ยเหลียนโม่ไม่คัดค้านและปล่อยให้นางอุ้มอาเหยียนไปอย่างมีความสุข
“ท่านแม่” อาเหยียนเคี้ยวผลเจียงกั่วแล้วกลืนลงไปอย่างรวดเร็ว “ท่านพ่อพาท่านแม่ไปขอน้องสาวหรือยังขอรับ?”
หืม?
เหยาเชียนเชียนยิ้มเล็กน้อยอย่างกระอักกระอ่วน อะไรที่ทำให้อาเหยียนเกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้ อย่าบอกนะว่าที่นางออกจากจวนไปสองสามวันนี้ทุกคนในจวนล้วนคิดเช่นนี้กันทั้งหมด
“สองวันที่ข้าไม่อยู่ ที่จวนเกิดเหตุอะไรขึ้นหรือว่ามีข่าวลืออะไรบ้างหรือไม่?”
คำถามของเหยาเชียนเชียนนั้นอ้อมค้อมและนุ่มนวล ทว่าสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติเปลี่ยนสีหน้าโดยพลัน นางอ้ำอึ้งเหมือนบอกกล่าวไม่ได้
คงเป็เพียงเื่อื้อฉาวเล็กน้อยและเกี่ยวข้องกับตัวนางกระมัง แต่เหตุใดสาวใช้จึงลำบากใจถึงเพียงนี้?
เหยาเชียนเชียนเห็นสีหน้าของสาวใช้ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ คงไม่ถึงขั้นที่พวกเขาจะคาดเดากันไปเป็อย่างอื่น นางได้รับความอยุติธรรมมามากพอแล้ว และจะไม่ทำให้เกียรติยศชื่อเสียงของชิงผิงอ๋องต้องเสื่อมเสียอย่างแน่นอน นางเพียงแค่ไปกินเนื้อย่างและท่องทะเลสาบอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้นเอง
“หวังเฟย ระหว่างที่หวังเฟยและท่านอ๋องไม่อยู่จวนใน่สองสามวันที่ผ่านมามีเื่ใหญ่เกิดขึ้นจริงๆ เพคะ” สาวใช้กระซิบ “คุณหนูซ่งแห่งตระกูลอัครมหาเสนาบดีผู้นั้น เดิมทีกำลังจะอภิเษกสมรสกับท่านอ๋องในฐานะเช่อเฟย เพียงแต่ว่า มีเหตุเกิดขึ้นเล็กน้อยเพคะ”
เหยาเชียนเชียนเกือบลืมไปแล้วในยามที่สาวใช้พูดขึ้นมา การแต่งงานระหว่างชิงผิงอ๋องและซ่งอีอีกำลังใกล้เข้ามาแล้ว และดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้
ทว่าใน่เวลาสำคัญนี้ เกิดอะไรขึ้นกับนางกัน?
“อย่าบอกนะว่าถูกลอบสังหารอีกแล้ว” เหยาเชียนเชียนหยิบผลเจียงกั่วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านอ๋องเฝ้าดูข้าด้วยพระองค์เองมาตลอดสองวัน เกิดเื่อะไรขึ้นจะตำหนิข้าไม่ได้นะ”
สาวใช้เอาแต่กล่าวคำว่าไม่ใช่ โดยบอกว่าเดิมทีไม่มีผู้ใดรู้เื่นี้ เพราะทางจวนเฉิงเซี่ยงและวังหลวงล้วนช่วยกันปกปิดไว้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ปกปิดไว้ไม่มิดอยู่ดี
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เหยาเชียนเชียนขมวดคิ้ว
“หวังเฟยอาจไม่ทราบ เมื่อวันก่อนที่เรือนอีกหลังของเฉิงเซี่ยง คุณหนูซ่งและองค์ชายสาม พวกเขา...”
เหยาเชียนเชียนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง นางคิดว่าตัวเองอาจจะหูฝาดไป สาวใช้พูดอย่างอ้อมค้อมแล้ว แต่ยิ่งเื่ประเภทนี้คลุมเครือมากเท่าไรก็ยิ่งกระตุ้นความสงสัยใคร่รู้ให้มากขึ้นเท่านั้น
ซ่งอีอีไปอยู่กับองค์ชายสามได้อย่างไร แล้วยังถูกจับได้ว่าลักลอบเป็ชู้กันด้วย...
ไม่สิ ถูกคนบังเอิญไปเห็นว่านอนด้วยกันต่างหาก
นี่มันประมาทเกินไปแล้ว!
“ท่านอ๋องทรงทราบเื่นี้แล้ว ทว่ายังไม่อนุญาตให้ผู้ใดแพร่งพรายออกไปในขณะนี้เพคะ” สาวใช้ระมัดระวังมากอยู่ตลอดเวลา นางพินิจมองสีหน้าของเหยาเชียนเชียนและกล่าวเบาๆ ว่า
“หากเื่นี้แพร่ออกไป ท่านอ๋องก็จะเดือดร้อนไปด้วย ดังนั้นทั้งสองฝั่งจึงต้องปกปิดไว้ ทว่าการแต่งงานครั้งนี้ ดูท่าว่าคงจะต้องยกเลิกไปเพคะ”
เหยาเชียนเชียนรู้สึกว่านางพลาดอะไรไปหลายอย่างใน่สองวันที่ผ่านมา เื่ใหญ่ขนาดนี้ คาดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดขึ้นใน่ที่นางและชิงผิงอ๋องไม่อยู่ที่จวนและไม่อยู่ในเขตนครหลวง
แม้ว่าจะดูบังเอิญไปบ้าง แต่ฟังจากที่สาวใช้เล่าเื่ได้อย่างละเอียดราวกับประสบมาด้วยตัวเอง คาดว่าเื่ที่ซ่งอีอีผู้นั้นคลุกคลีอยู่กับองค์ชายสามคงจะเป็เื่จริง
หากชิงผิงอ๋องปฏิเสธไปในคราแรกก็จะไม่เกิดผลใด แต่ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าสุดท้ายแล้วต้นหลิวเป็ร่มเย็นระรื่น ดอกไม้บานสะพรั่งละลานตา [1]
เหยาเชียนเชียนก้มศีรษะลงมองอาเหยียนน้อยที่มีสีหน้าไม่แยแสราวกับว่าไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลยั้แ่แรก
เื่แบบนี้ถึงอย่างไรก็ยากที่จะพูดต่อหน้าเด็ก หลังจากเกลี้ยกล่อมอาเหยียนให้กินข้าวจนอิ่มแล้ว นางก็พาเขาไปพักผ่อน และหลังจากกล่อมให้อาเหยียนนอนหลับไปได้ในเวลาไม่นานนางจึงค่อยไปหาชิงผิงอ๋อง
หลังจากออกไปข้างนอกเป็เวลาสองวัน ไม่เพียงได้รับอาหารเครื่องดื่มและความสนุกสนานมากมายเท่านั้น แต่ยังได้รับหมวกที่เจริญรุ่งเรืองอีกด้วย นางสงสัยว่าชิงผิงอ๋องจะรู้สึกอย่างไรในเวลานี้
เมื่อรวมกับความแปลกประหลาดของสองวันที่ผ่านมา เหยาเชียนเชียนก็มีความคิดอันกล้าหาญ แต่ก็ไม่กล้าที่จะหาข้อพิสูจน์ ทว่าเกิดเื่ใหญ่เช่นนี้ ฮ่องเต้จะต้องประกาศเรียกตัวเขาเข้าวังหลวงอย่างแน่นอน นางจะต้องไปปรึกษากับชิงผิงอ๋องเพื่อหาวิธีรับมือ
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่นางไปถึงก็ได้ยินชิงผิงอ๋องนั่งอยู่ที่เรือนและกล่าวอย่างเ็าว่า “ไม่สนว่าเป็หรือตาย สิ่งที่เปิ่นหวัง้าก็คือผลลัพธ์”
เชิงอรรถ
[1] ต้นหลิวเป็ร่มเย็นระรื่น ดอกไม้บานสะพรั่งละลานตา เป็การอุปมาว่า ในขณะที่กำลังประสบกับความยากลำบาก ก็ได้มองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
