เมืองชาง ห้าวันต่อมา...
ยามทั้งแปดยังคงหน้าเชิดอกผายไหล่ผึ่งยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเช่นเดิม สายตาแหลมคมของพวกเขาสาดส่องสังเกตดูผู้คนที่เดินผ่านไปมา ทันใดนั้นสายตาพลันมองไปเห็นประตูที่อยู่ด้านข้างถูกเปิดออก รถม้าที่หรูหราโอ่อ่าคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมา ยามทั้งแปดเหยียดกายขึ้นตรงในทันที แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอาการยิ้มแย้มเหมือนเช่นแต่ก่อน ทำเพียงยืดกายให้ตรงเท่านั้น หลายวันมานี้มีรถม้ามากมายเข้าออกบ้านตระกูลเย่ อารมณ์ของพวกเขาจากแรกเริ่มที่ตื่นเต้นจนตอนนี้กลายเป็เฉยชาไปเสีย เพียงแต่หลังจากรถม้าที่หรูหราโอ่อ่าคันแรกผ่านไปกลับยังมีรถม้าอีกคันตามมา หลังจากคันนี้ยังมีอีกคัน อีกคันและอีกคันตามออกมาเรื่อยๆ...
“สี่ ห้า...เก้า สิบ”
รถม้ายิ่งออกมายิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของยามทั้งแปดเริ่มเคร่งขรึมและดูน่าเกรงขามขึ้น แต่ภายในใจกับหวั่นไหวไปด้วยความตื่นตระหนก รถม้าที่หรูหราโอ่อ่าเหล่านี้เป็รถม้าขนาดใหญ่ที่สุดของตระกูลเย่ที่สามารถนั่งได้อย่างน้อยถึงยี่สิบคน ทั้งหมดสิบคัน! นั่นรวมแล้วสองร้อยคนเลยนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถม้าชนิดนี้เป็ระดับสูงสุดที่ตระกูลเย่มี ไม่ใช่ว่าคนธรรมดาที่ไหนจะมีโอกาสได้นั่ง แล้วบุคคลระดับสูงจำนวนมากของตระกูลเย่เหล่านี้พวกเขาจะไปที่ไหนกัน?
ราวครึ่งชั่วโมงต่อมา ประตูด้านข้างตระกูลเย่ถูกเปิดออกอีกครั้ง และเป็รถม้าที่หรูหราโอ่อ่าที่เคลื่อนตัวออกมาแล้วก็เลือนหายไปบนถนนใหญ่ของเมือง
อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ก็เป็รถม้าที่หรูหราโอ่อ่าอีกยี่สิบคันที่เคลื่อนตัวออกมา
“พี่ใหญ่ มันเกิดอะไรขึ้น? ตระกูลส่งยอดฝีมือออกไปตั้งห้าหกร้อยคน นี่มันการเคลื่อนพลครั้งใหญ่เลยนะ?” มองดูคลื่นรถม้าระลอกที่สามเลือนหายไปที่สุดปลายทางถนน ยามคนหนึ่งอดไม่ได้จึงเอ่ยปากถามขึ้น ยามคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ต่างก็ส่งสายตามายังยามคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ที่สุดที่ยืนอยู่ตรงกลางเช่นกัน
“อะไรของพวกเ้า? ยืนกันให้ดีๆ หน่อย ความลับของตระกูลยังกล้าสอบถามมั่วซั่ว?” ได้ยินยามอีกคนเอ่ยสอบถามขึ้นใบหน้าของยามผู้เป็พี่ใหญ่ยิ่งเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิมพร้อมกับกล่าวตักเตือนออกไปเล็กน้อย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกพอใจต่อสายตาของยามทั้งหมดที่มองมายังตนเอง จากนั้นเขาใช้สายตามองไปรอบๆ ถนนใหญ่เพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีผู้คนอยู่ใกล้ๆ ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแ่เบาราวกับกระซิบกระซาบ “งานประลองาระหว่างเขตปกครองของผู้มีพลังฝีมือระดับหัวกะทิ”
“อ้อ!”
ยามทั้งหมดดึงสายตาของตนเองกลับ จากนั้นมองไปข้างหน้าอย่างเคร่งขรึมดังเดิม สีหน้าปรากฏแววจริงจังยิ่งกว่าแต่ก่อน เพียงแต่คิ้วดกดำของพวกเขาขมวดขึ้นทำให้เห็นถึงอาการครุ่นคิดด้วยความสงสัย
งานประลองาระหว่างเขตปกครองของผู้มีพลังฝีมือระดับหัวกะทิ ทุกครั้งส่งคนเข้าร่วมเพียงแค่สองสามร้อยคนเองมิใช่รึ? แต่ครั้งนี้กลับส่งเข้าร่วมถึงห้าหกร้อยคน? ต้องเข้าใจว่า ที่ถูกส่งออกไปนั้นเกือบจะเป็ยอดฝีมือหนุ่มสาวระดับหัวกะทิของตระกูลทั้งหมดที่มี งานประลองาระหว่างเขตปกครองของผู้มีพลังฝีมือระดับหัวกะทิในครั้งนี้แท้จริงแล้วซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่?
.................................
ูเาด้านหลังตระกูลเย่ ทะเลสาบด้านหน้า เงาร่างสองสายยืนเรียงหน้ากระดานกันอยู่
“ท่านหัวหน้าตระกูล ทำไมงานประลองาระหว่างเขตปกครองของผู้มีพลังฝีมือระดับหัวกะทิในครั้งนี้ถึงได้ส่งยอดฝีมือหนุ่มสาวของตระกูลออกไปจนหมด? ยังมีเ้าเด็กน้อยคนนั้นที่ทั้งอายุและพลังฝีมือที่ต่ำขนาดนั้น ท่านวางใจได้รึ?” เย่ไป๋หู่ที่อยู่ในชุดสีขาวเอ่ยถามชายผู้ที่อยู่ในชุดสีเหลืองขึ้นด้วยความสงสัย
ชายชุดเหลืองหมุนตัวกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “ไป๋หู่ ข้านึกว่าเ้าจะไม่ถามแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเ้าก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา และคิดว่าอีกหลายคนภายในตระกูลก็คงอยากจะถามเื่นี้แต่ก็ไม่กล้าถาม”
“อืม” เย่ไป๋หู่พยักหน้าตอบรับเบาๆ
ห้าวันก่อน เย่เทียนหลงลงมาจากเขา กักบริเวณเย่เจี้ยน ไล่เย่ชิงขวง แสดงศักดาและความเหี้ยมเกรียมอีกครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่เย่เทียนหลงกลับมากุมอำนาจของตระกูลอีกครั้ง คำสั่งที่ถ่ายทอดลงมาล้วนทำให้ทั้งตระกูลเกิดคำถามขึ้น แต่ด้วยอำนาจบารมีสูงสุดของเย่เทียนหลงทำให้เหล่าผู้าุโล้วนกระทำตามอย่างไม่กล้าปริปากใดๆ แต่รถม้าหรูหราโอ่อ่าที่วิ่งออกไปจำนวนมากในวันนี้ทำให้เย่ไป๋หู่อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ความจริงแล้วเจตนาของข้านั้นไม่มีอะไรซับซ้อน ข้อแรก...ข้าส่งคนจำนวนมากออกไปกว้านซื้อยาสมุนไพรเพื่อมาหล่อเลี้ยงิญญาเย่ชิงอวี่ ข้อนี้ข้าคงไม่ต้องอธิบายมาก พวกเ้าก็รู้ดีที่ทำก็เพื่อเด็กผู้หญิงคนนั้น ร่างหยกิญญาแม้จะทำการเซ่นสังเวยไปแล้ว แต่มันสำคัญกับชีวิตและพลังฝีมือของเย่ชิงหาน และอีกอย่างข้าก็ชื่นชมในตัวนาง”
“ข้อที่สอง...ข้าส่งยอดฝีมือหนุ่มสาวของตระกูลเกือบทั้งหมดไปเข้าร่วมงานประลองาระหว่างเขตปกครอง เหตุผลมีอยู่สองข้อ ข้อแรก...มีเพียงการหลั่งเืสู้รบจริงเท่านั้นที่จะหล่อหลอมให้เกิดผู้ที่เป็ระดับหัวกะทิได้อย่างแท้จริง ส่วนเหตุผลข้อที่สอง...ข้าอยากให้โอกาสกับเ้าเด็กน้อยเย่ชิงหาน ให้โอกาสเขาได้ยึดกุมขุมกำลังคนหนุ่มสาวระดับหัวกะทิของตระกูล และแน่นอนว่าเท่ากับให้โอกาสแก่ตระกูลเรียกคืนจิตใจของเย่ชิงหานที่มีต่อตระกูล ร่วมกันสู้รบผ่านความเป็ความตายกับหนุ่มสาวมากมายของตระกูล อย่างน้อยก็ต้องมีความผูกพันธ์กันบ้างไม่มากก็น้อยมิใช่รึ?”
“ข้อที่สาม...เกี่ยวกับที่ข้าส่งเย่ชิงหานให้เข้าร่วมงานประลองาระหว่างเขตปกครองของผู้มีพลังฝีมือระดับหัวกะทิในครั้งนี้ ความจริงข้าก็อับจนด้วยปัญญาเหมือกัน เื่ราวที่ไอ้โง่เย่เจี้ยนทำไว้ทำให้เย่ชิงหานรู้สึกต่อต้านทั้งกับตระกูลและกับข้าฝังลึกจนเกินไป หากพวกเราอยากเรียกใจเขากลับคืนมาต้องใช้เวลายาวนาน ต้องใช้เื่ราวมากมายค่อยๆ กล่อมเกลาเขา ถ้าไม่อย่างนั้นต่อให้เขาบรรลุระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์หรือกลายเป็เทพ แต่ไม่ได้มีเยื่อใยใดๆ กับตระกูลเย่หรืออาจจะคิดว่าตนเองไม่ใช่คนตระกูลเย่ แล้วตระกูลเย่จะทำอย่างไรได้เล่า? ที่ข้าส่งเขาไปเข้าร่วมส่วนหนึ่งก็อยากจะดูว่า ตัวเขาที่อยู่ในสภาวะที่มีความกดดันสูงเช่นนี้เพื่อช่วยน้องสาว เขาจะสามารถเลื่อนระดับพลังฝีมือขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพียงใด อีกอย่างจิตใจของเขาเพิ่งได้รับความบอบช้ำจากตระกูล ให้เขาออกไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อยคงจะดี...”
เย่เทียนหลงพูดจ้ออยู่คนเดียวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แต่น้ำเสียงที่พูดออกมาแฝงไปด้วยความเชื่อมั่นในแผนการที่ตนได้วางเอาไว้ ทำให้เดิมทีร่างกายที่เตี้ยเล็กของเขาดูยิ่งใหญ่ขึ้นมาทันที
ไป๋หู่พยักหน้าแสดงอาการเห็นด้วย หยุดครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “แต่ว่า ท่านหัวหน้าตระกูลไม่กลัวเ้าเด็กน้อยคนนั้นจะเกิดเื่รึ? ว่ากันจริงๆ แล้วพลังฝีมือของเขานั้นต่ำมาก และหากถูกจับได้ว่ามีสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์อีกคงได้ตกเป็เป้าหมายที่ต้องกำจัดเป็อันดับแรกจากเผ่าปีศาจและเผ่าคนเถื่อนอย่างแน่นอน”
“แน่นอนว่าเป็กังวล แต่ข้าเชื่อว่าเ้าเด็กคนนี้จะไม่เกิดเื่อะไรขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังฝีมือของเ้าเด็กคนนี้ จากการคำนวณของข้า คิดว่ายังไม่ทันที่จะถึงเมืองัคงจะบรรลุขึ้นไปอีกขั้นอย่างแน่นอน” เย่เทียนหลงหัวเราะหยัน คล้ายกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้อีก “ไป๋หู่ยังมีเื่บางเื่ที่เ้ายังไม่รู้ เ้าเด็กเย่ชิงหานคนนั้นก่อนที่จะเรียกสัตว์อสูรออกมา เ้ารู้หรือไม่ว่าพลังฝีมือของเขาอยู่ในระดับขั้นอะไร? ระดับแรกของขอบเขตขั้นสูง!”
“ว่าอย่างไรนะ?” เย่ไป๋หู่พักอาศัยอยูู่เาด้านหลังมาโดยตลอด นี่เป็ครั้งแรกที่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเย่ชิงหานอย่างละเอียด หลังจากตกตะลึงไปชั่วครู่ พลันคิ้วขมวดดวงตาเบิกกว้างแล้วพูดขึ้น “ท่านหัวหน้าตระกูล นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย สองวันก่อนข้ายังจำได้ว่าเ้าเด็กนั่นพลังฝีมือเพิ่งจะเลื่อนขึ้นถึงระดับขั้นที่สองขอบเขตยอดยุทธ์ ระยะเวลาเพียงแค่สามเดือนกว่า จากผู้มีพลังฝีมือระดับแรกขอบเขตขั้นสูงบรรลุขึ้นมาถึงสี่ขั้นระดับ หรือว่าเมื่อก่อนเขาเก็บซ่อนพลังฝีมือที่แท้จริงไว้? หรือว่าเมื่อก่อนเกียจคร้านไม่ได้ตั้งใจฝึกฝน?”
เย่เทียนหลงส่ายหัวไปมา ดวงตาปรากฏแววตื่นเต้นดีใจและความอยากรู้อยากเห็น “ไม่ใช่ทั้งนั้น ตามที่ข้าตรวสอบดู เ้าเด็กคนนี้ก่อนที่จะเรียกสัตว์อสูรออกมาพลังฝีมือหยุดค้างอยู่แค่ระดับแรกขอบเขตขั้นสูง จากนั้นการฝึกฝนรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เดินทางไปเมืองหมันครั้งหนึ่งกลับมาก็บรรลุถึงระดับแรกขอบเขตยอดยุทธ์ ความลับในตัวของเ้าเด็กคนนี้มากมายจนเกินไป...ครั้งนี้ไปเข้าร่วมงานประลองาระหว่างเขตปกครองข้าส่งเย่สือซานกับเย่สือชีติดตามเขาไปด้วย ความปลอดภัยของเขาไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองกำลังเทพแห่งความตายสองร้อยคนที่อยู่กับเขาล้วนผ่านการอบรมจากเย่ชิงหนิวมาเป็อย่างดี ส่วนทางตระกูลข้าก็สั่งการให้ปิดข่าวทุกอย่างเกี่ยวกับเขาไว้แล้ว ข้อมูลของเขาไม่น่าจะเล็ดลอดออกไปสู่ภายนอกได้”
เย่ไป๋หู่นิ่งเงียบไปเนิ่นนานถึงสามารถทำให้อารมณ์ตื่นตระหนกสงบลงได้ เด็กหนุ่มที่ร่างกายซูบผอมแต่ดูแข็งกร้าวคนนั้นทำให้เขาตื่นตระหนกระคนดีใจมากมายหลายเื่ ได้ฟังสิ่งที่เย่เทียนหลงเตรียมการทุกอย่างให้เย่ชิงหานเขาจึงได้พยักหน้าด้วยความวางใจ เขาเชื่อมั่นเป็อย่างมากในตัวเย่สือซานกับเย่สือชีรวมไปถึงกองกำลังเทพแห่งความตาย จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“อืม เย่สือซานกับเย่สือชีด้านพลังฝีมือแน่นอนว่าไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าทั้งสองคนนี้ เย่ชิงหานจะควบคุมสั่งการได้รึ? อีกอย่าง เข้าร่วมงานประลองาระหว่างเขตปกครองในครั้งนี้ท่านหัวหน้าตระกูลแน่ใจได้อย่างไรว่าจะได้รับยาิญญาเทวะ? ครั้งนี้นครแห่งเทพส่งยาิญญาเทวะมาเป็ของล้ำค่าอันดับหนึ่งให้แลกเปลี่ยน ตระกูลอื่นๆ คงจ้องกันตาเป็มันแน่ๆ เพราะยาิญญาเทวะร้อยปีถึงจะมีออกมาครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้อยปีก่อนในงานประลองาระหว่างเขตปกครองในครั้งนั้น ตระกูลเฟิงเพื่อที่จะได้ยาิญญาเทวะถึงกับต้องยอมจ่ายค่าตอบแทนที่สาหัสอยู่ไม่น้อย ส่วนตอนนี้พวกเราจำเป็จะต้องได้ถึงสองเม็ดอีก!”
ได้ฟังประโยคที่เย่ไป๋หู่เอ่ยถามขึ้น เย่เทียนหลงสีหน้ามีอาการเคร่งเครียดขึ้น “จะควบคุมสั่งการได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและวิธีการของตัวเขาเอง ส่วนเื่ยาิญญาเทวะ เย่ชิงหนิวเดินทางไปเมืองเซียวหุนด้วยน่าจะแลกเปลี่ยนมาได้เม็ดแรกถ้าคะแนนสะสมถึง เื่คะแนนจะได้มากได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพของพวกเขาทั้งหกร้อยคนที่จะแสดงออกมาในงานประลอง ส่วนอีกเม็ดหนึ่งครึ่งเดือนหลังจากนี้เ้าอยู่รักษาการณ์ที่เมืองชาง ข้าจะไปทะเลสักรอบแบกหน้าแก่ๆ ของข้าไปขอมาสักเม็ด”
“ทะเล...” ได้ยินคำว่าทะเลคำนี้ เย่ไป๋หู่สีหน้าเปลี่ยนเป็นอบน้อมและระมัดระวังขึ้นมา หรืออาจจะกล่าวได้ว่ารู้สึกมีความเกรงกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เขาพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ในเมื่อท่านหัวหน้าตระกูลเตรียมการไว้ทั้งหมดแล้ว คิดว่าคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพียงแต่ขอให้ทุกอย่างราบรื่นไปด้วยดีก็พอ...”
.................................
อารมณ์ของเย่ชิงหานไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก แม้จะนั่งอยู่ในรถม้าที่หรูหราโอ่อ่า แม้จะถูกปฏิบัติด้วยดี แต่ภายในใจก็ยังคงมีความเศร้าสลดอยู่
รถม้าภายในกว้างใหญ่สามารถนั่งได้ยี่สิบคน แต่กลับมีเขานั่งอยู่เพียงคนเดียว ม้าที่ใช้ลากรถเป็ม้าปีกดำที่แข็งแรงสวยงามสี่ตัวจากเทือกเขารกร้าง ลือกันว่ามันสามารถเดินทางได้ถึงร้อยกิโลเมตรภายในหนึ่งวันโดยไม่เหนื่อยหอบ ด้านหน้ารถม้าเป็ชายชุดดำสองคน เป็ทั้งผู้คุ้มกันและคนขับรถม้า คนชุดดำทั้งสองมีชื่อว่าเย่สือซานกับเย่สือชี เย่เทียนหลงบอกว่าทั้งสองคือนักรบที่ไม่กลัวตายที่เป็กองกำลังลับของตระกูลเย่ พลังฝีมือแข็งแกร่งจนน่าใ ระดับขั้นที่สองและขั้นที่สามขอบเขตจ้าวนักรบ
สามารถกล่าวได้ว่าตอนนี้เขากำลังเสพสุขชีวิตที่ราวกับเป็มกุฏราชกุมารเลยก็ว่าได้ ขนาดเย่ชิงขวงยังไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างดีเช่นนี้มาก่อน แต่ว่าเย่ชิงหานกลับไม่ได้รู้สึกเป็เกียรติหรือภูมิอกภูมิใจแต่อย่างใด สำหรับความโหดร้ายของโลกใบนี้เขารับรู้ได้อย่างลึกซึ้งมาเนิ่นนานแล้ว ลองคิดดูว่าหากเขายังเป็ไอ้ขยะไร้ค่าคนเดิมตระกูลจะปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้หรือไม่? ปู่เย่เทียนหลงจะดีต่อเขาเช่นนี้หรือ? หรืออาจจะพูดได้ว่าตามใจเขาเลยก็ว่าได้?
ดังนั้น เมื่อถูกปฏิบัติอย่างดีเช่นนี้เขาไม่ได้มีความยินดีหรือซาบซึ้งแต่อย่างใด แต่กลับรู้สึกเศร้าอาดูรที่ต้องจากน้องสาวที่นอนหลับอยู่ภายในตึกหลังเขา การไปในครั้งนี้ยาวไกลถึงหมื่นกิโลเมตรกินเวลาปีกว่าๆ ต้องลาจากน้องสาวที่อ่อนแอและบอบบางเป็เวลาปีกว่าๆ ถึงแม้เย่เทียนหลงจะรับประกันว่าภายในหนึ่งปีจะดูแลนางอย่างดี จะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตของนางเอาไว้ แต่ภายในใจของเขาก็ยังเศร้าสลดและไม่มีความสุขเป็อยู่ดี
อารมณ์ไม่ดี แน่นอนว่าต้องหาอะไรทำ เขาจับเหล้าที่อยู่บนโต๊ะเล็กๆ ภายในรถม้าขึ้นมาดื่ม เหล้าเป็เหล้าลิงหมักอย่างดีหนึ่งกระปุกราคาสิบก้อนผลึกพลังม่วง แต่กลายเป็ว่ายิ่งดื่มอารมณ์ยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่ มองดูเมืองชางที่อยู่ด้านหลังรถม้าที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป เหล้าลิงหมักอันหอมหวานที่อยู่ในปากยิ่งดื่มยิ่งรู้สึกขมขึ้นไปทุกที...