หลิวฉีซื่อเชื่อว่านี่เป็เื่ของเกียรติศักดิ์ศรีและหน้าตา ครอบครัวนางเป็บ้านแรกในหมู่บ้านสามสิบลี้ที่แต่งอนุให้บุตรชาย
หลิวสี่กุ้ยได้ยินแล้วใบหน้าถึงกับกระตุกเล็กน้อย หลิวหลี่ซื่อมองอย่างเ็า ไม่ต่อคำพูดของหลิวฉีซื่อ
หลิวฉีซื่อกล่าวอีกว่า “หลิวซานกุ้ย เ้ามองดูลูกสาวสวมใส่เครื่องเงินเครื่องทองไม่ว่า เ้าช่างไร้หัวใจ เลี้ยงเ้ามาจนโตป่านนี้ ตนเองกลับกินนอนสบายใจในบ้านและแต่งกายด้วยผ้าไหมทั้งตัว กลับไม่คิดถึงว่าแต่ก่อนแม่เ้าต้องประหยัดกินประหยัดใช้อย่างไร จึงเลี้ยงเ้าโตมาเป็ผู้เป็คนได้ ช่างอกตัญญูจริงๆ!”
หลิวซานกุ้ยตอบอย่างใจเย็น “ท่านแม่้าเช่นไรจึงจะรู้สึกว่าลูกกตัญญู หรือว่าไม่ควรมอบปลาเค็ม หมูเค็มและไก่เป็ดปลาเป็ๆ ให้ หรือไม่ควรมอบเสื้อผ้าสี่ฤดูแปดชุดให้ท่านทั้งสอง? เหตุใดต้องจิกกัดลูกไม่ยอมปล่อย?”
ที่เขาพูดยังขาดไปอีกหนึ่งประโยคคือ ใจของท่านลำเอียงไปถึงขอบฟ้าแล้ว จึงไม่เห็นว่าบุตรชายสามอย่างเขากตัญญูเพียงใด!
หลิวต้าฟู่ทนดูไม่ได้ จึงเอ่ย “พอได้แล้ว เ้าเลิกพูดมากสักที น้าชายของเด็กๆ รักพวกนาง ก็ต้องซื้อของล้ำค่าให้ นั่นเป็ของเด็กๆ เหตุใดนับวันเ้าจึงยิ่งละโมบเช่นนี้? เ้าอยากได้แล้วไปซื้อเองไม่เป็หรือ?”
ขาดไปเพียงประโยคเดียวคือ เงินที่ซื้อจวงจื่อแปดร้อยตำลึงก็ไม่เห็นจะแบ่งให้หลิวซานกุ้ยแม้เพียงครึ่งไร่
“ข้าละโมบอย่างไร? เขามันเนรคุณ ตนเองมีเงินก็สุขสบาย คำพูดของแม่ไม่เข้าหูแม้แต่น้อย”
หลิวฉีซื่อพูดวกไปวนมาก็คือนางอยากได้เครื่องประดับทอง
หลิวซานกุ้ยมีจุดยืนในใจ กิจการของครอบครัวตนเองนั้นมีกำไรหลายร้อยตำลึง กระนั้นก็เป็ของที่บุตรสาวคนรองหามาได้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาแม้แต่แดงเดียว
“เงินที่หาได้ในบ้านก็เป็สินเ้าสาวของภรรยาข้า เอ่อ ท่านแม่ ใช่ว่าท่านจะไม่รู้”
หากว่าจำไม่ได้ เขาก็ไม่ถือสาถ้าจะต้องเอ่ยถึงเื่ที่พวกเขาสามีภรรยาอาหารเป็พิษ!
มารดาของตนปองร้ายหมายเอาชีวิต เพื่อหนทางของการกตัญญูที่สมควรตายนี้ เขาจำต้องหักหลังความปรารถนาของตนเอง แล้วส่งข้าวปลาอาหารมาให้อยู่บ่อยครั้ง เพียงเพื่อให้ญาติสหายละแวกนี้ชมเชยเขา เพียรพยายามเพื่อดูว่าในอนาคตจะสามารถมอบศักดินาให้แก่ภรรยาตนเองได้หรือไม่
นี่คือสิ่งที่เขาติดค้างนาง!
ใบหน้าของหลิวฉีซื่อตึงเครียด แล้วมองหลิวต้าฟู่อย่างขี้ขลาด ก่อนจะเอ่ย “นั่นก็ไม่ใช่ว่าห้ามดูแลทั้งหมด ในบรรดาพี่น้องพวกเ้า ตอนนี้เ้าได้ดีมีสุขที่สุด”
หลิวเต้าเซียงได้รู้แจ้งเห็นจริงกับความไร้ยางอายของหลิวฉีซื่ออีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าครอบครัวของนางเพิ่งมีชีวิตที่ดีขึ้น จะเปรียบเทียบกับลุงใหญ่และลุงรองได้อย่างไร?
หลิวซานกุ้ยตอบว่า “ท่านแม่ ท่านจำผิดอีกแล้ว ไม่ใช่ลูกได้ดี หากแต่อาศัยบุญบารมีของน้องภรรยา สิ่งเ่าั้ล้วนเป็สินเ้าสาวของนาง ถึงแม้ครอบครัวข้าจะยากจนเพียงใดก็ไม่มีทางตาร้อนกับสินเ้าสาวของหญิงสาว”
หลิวหลี่ซื่อหวั่นไหว นี่แม่สามีกำลังจ้องสินเ้าสาวของลูกสะใภ้ คิ้วสวยของนางขมวดกันแน่น หากเื่นี้แพร่ออกไป พี่ใหญ่ในตระกูลหลิวคงเป็ผู้เป็คนไม่ได้ เป็เื่น่าขายหน้าเกินไปไม่ใช่หรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็มีสินเ้าสาวไม่น้อย วันนี้หลิวฉีซื่อคิดจับจ้องสินเ้าสาวของจางกุ้ยฮัว ไม่แน่ว่า วันต่อไปก็มาเ้ากี้เ้าการให้หลิวสี่กุ้ยมีความคิดจะแตะต้องสินเ้าสาวของนาง เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็เริ่มอดทนไม่ไหว
นางจึงเหยียดเท้าออกไปสะกิดหลิวสี่กุ้ยที่กำลังยืนดูฉากนี้อยู่ แล้วเอ่ยเสียงค่อย “เหตุใดท่านแม่จึงคิดแตะต้องสินเ้าสาวของลูกสะใภ้ เกิดเื่นี้แพร่ออกไป อนาคตลูกชายเราคงจบเห่กันพอดีไม่ใช่หรือ?”
สินเ้าสาวของนางนั้นตั้งใจเก็บเอาไว้ให้ลูกๆ
แม้ว่าหลิวสี่กุ้ยจะมีความสุขที่มารดามีวัตถุประสงค์กับสินเ้าสาวของสะใภ้เ้าสาม แต่คำพูดของภรรยาเขาก็ต้องฟัง
“ท่านแม่ น้องสามพูดถูก เราไม่สามารถแตะต้องสินเ้าสาวของภรรยาเขาได้ ท่านอย่าลืมว่าน้องสี่ปีนี้ยังต้องลงสอบชิวเหวย หากว่าสอบผ่านซิ่วไฉ ใครๆ ก็ต้องเรียกท่านว่าท่านแม่ของซิ่วไฉ เกิดเื่นี้แพร่ออกไป คนคงเอามาแทงข้างหลังได้!”
หลิวฉีซื่อคิดตามและเห็นด้วย เพียงแต่ไม่พอใจที่ตนเองต้องควักเงิน จึงเอ่ย “แล้วจะทำอย่างไร เ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้ เงินในมือข้าจะมีเงินร่วนสักกี่ตำลึงเชียว? ที่นาก็แบ่งให้พวกเ้าหมดแล้ว ปีที่แล้วก็ไม่ได้สอนเย็บปัก”
คำพูดแฝงความนัยของนาง มีเพียงสองสามีภรรยาหลิวสี่กุ้ยที่เข้าใจ
หลิวสี่กุ้ยคิดว่าจวงจื่อในจังหวัดหลังนั้นทุ่มเงินไปไม่น้อย แม้ว่าจะสร้างบ้านเอ้อร์จิ้นย่วนเรือนขนาดใหญ่ แต่ในจวงจื่อก็ยังมีสิ่งของมากมายที่ยังทำไม่เสร็จ อย่างเช่น สวนหย่อม แล้วก็คนงาน เงินแปดร้อยตำลึงเพียงแค่ซื้อที่ดิน แต่ไม่ได้ขายสิทธิ์ให้ผู้อื่นเช่าที่นา ข้อหนึ่งเพราะกลัวทำที่นาดีเสียหาย ข้อสองเพราะอยากสร้างรายได้เองบางส่วน
หลิวสี่กุ้ยจึงเกลี้ยกล่อม “ท่านแม่ อย่าร้อนใจ เราลองคิดหาวิธี ถึงอย่างไรก็ต้องช่วยกันคิดหาทางจัดการให้ได้”
ในขณะที่หลิวฉีซื่อภูมิใจที่ได้มีบ้านพร้อมที่นาเพิ่ม แต่ก็กลัดกลุ้มที่ต้องทุ่มเงินเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเงินในมือก็ร่อยหรอลงทุกวัน นับว่าโชคดีที่บุตรชายคนโตไม่ได้ถูกสะใภ้ใหญ่กุมอำนาจ
“อืม ในเมื่อเ้าพูดแบบนี้ก็ดี แต่ข้ายังคงคำพูดเดิม เื่นี้ซานกุ้ยต้องช่วยรับผิดชอบมากหน่อย”
หลิวเต้าเซียงไม่มั่นใจและพึมพํา “ไม่ใช่พ่อข้าที่แต่งอนุสักหน่อย เื่อะไรต้องให้ท่านพ่อข้าออก หากลุงรองควักออกมาไม่ได้ ข้าว่าพี่จื้อไฉกับพี่จูเอ๋อร์ก็มีเครื่องประดับบนตัวไม่เลว เลือกสักสองอย่างออกมา ก็คงแลกเป็เงินได้ไม่น้อย”
เครื่องประดับของหลิวจูเอ๋อร์มีไม่น้อย เพียงแต่ว่าไม่ได้มีเครื่องทองอย่างของสองพี่น้องหลิวเต้าเซียง
ปฏิกิริยาแรกของหลิวเหรินกุ้ยคือ ไม่เห็นด้วย ส่วนชุ่ยหลิวที่อยู่ข้างๆ ก็แอบหยิกเขาหนึ่งที
“นายท่านรอง หลานเต้าเซียงพูดได้มีเหตุผล เรา เรา...” นางหยิบผ้าเช็ดหน้าซับที่ตา แล้วแอบมองไปทางหลิวฉีซื่อ แล้วเอ่ย “ฮูหยิน ท่านต้องให้ความเป็ธรรมกับบ่าวด้วยนะเ้าคะ”
ชุ่ยหลิวร้องไห้และหมอบไปที่ข้างเท้าของหลิวฉีซื่อ ทำเอานางสะดุ้งยกใหญ่
หลิวฉีซื่อรีบช่วยพยุงนางขึ้นมาและเกลี้ยกล่อมว่า “เ้าวางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน ไม่ปล่อยให้เ้าเสียเปรียบหรอก”
แต่นางได้ตัดสินใจแล้วว่าคราวนี้ตนเองจะไม่ยอมควักออกมาแม้แต่แดงเดียว
“สี่กุ้ยพูดถูก ซานกุ้ย เื่นี้เ้าก็มีส่วน ต่างก็เป็พี่น้องกัน หากจะแบ่งแยกชัดเจนถึงปานนั้น ก็คงกลายเป็คนนอกกันพอดี”
หลิวเต้าเซียงพึมพำเสียงดังจนทุกคนในห้องได้ยิน “ท่านพ่อ ข้าจำได้ว่าเคยอ่านในตำรา เื่พี่น้องควรแบ่งแยกบัญชีให้ชัดเจนอะไรนั่น ข้าถูกทำให้สั่นคลอนสับสนไปหมดแล้ว สรุปควรฟังใครดี?”
ดวงตาของหลิวซานกุ้ยเผยรอยยิ้ม บุตรสาวของเขาช่างเป็เสี่ยวเหมียนอ๋าวที่ละเอียดใส่ใจเขาที่สุด จึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะของนาง ยิ้มแล้วเอ่ย “ท่านย่าคือผู้าุโ เราต้องเชื่อฟัง ในตำรากล่าวไว้ไม่ผิด เราต้องแยกครอบครัวกันอยู่ พี่น้องก็ต้องแยกบัญชีกันชัดเจน”
ก่อนที่หลิวฉีซื่อจะโกรธอีกครั้ง เขาก็พูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “อย่างไรก็ตาม ก็ต้องดูว่าเื่ใหญ่หรือเื่เล็ก อย่างเช่นเื่การแต่งอนุของครอบครัวฝั่งลุงรองเ้า เราต้องทำตามสถานะ”
ตามสถานะ?
หลิวเต้าเซียงอมยิ้ม บิดาของนางช่างหลักแหลม
หลิวหลี่ซื่อที่อยู่ข้างๆ ถึงกับเลิกคิ้ว หลายปีมานี้นางพลาดอะไรไปหรือไม่ ใครก็ได้บอกนางที หลิวซานกุ้ยที่ปล่อยให้คนอื่นบดขยี้ได้ตามใจ วันนี้กลับแข็งข้อต่างไปจากเดิม หากว่ารูปลักษณ์ของเขาไม่ได้เปลี่ยนไป และคนในครอบครัวก็ยังปฏิบัติตัวเหมือนเคย นางคงอดคิดไม่ได้ว่ามีใครมาสวมร่างแทนหลิวซานกุ้ยหรือไม่!
หลิวสี่กุ้ยเองก็มองไปที่น้องสามอย่างสงสัย ชายที่ซื่อตรงไร้เดียงสา เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็คนหัวแข็งขึ้นมาได้ แต่เขาอยู่ในจวนตระกูลหวงมาหลายปี จึงขัดเกลาความวู่วามโผงผางแบบคนวัยหนุ่มไปทั้งหมด เขาได้แต่แอบสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ
หลิวฉีซื่อไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ก่อนจะรีบถามย้ำ “เช่นนั้นตามสถานะเ้าคือเท่าไร หากน้อยไป ข้าไม่ยอมนะ ข้าจะไปอาละวาดถึงหน้าบ้านเ้า”
นี่คืออันธพาลอย่างชัดเจน...
หลิวเต้าเซียงดูแคลนหลิวฉีซื่ออย่างมาก ทั้งละโมบและเป็อสรพิษ
นางเอื้อมมือออกไปดึงเสื้อคลุมขนกระต่ายบนร่างกาย แล้วเอ่ยเสียงหวาน “ท่านย่า คราวที่แล้วท่านพ่อกับข้าไปในอำเภอ ซื้อลูกพลับแห้งมามากมาย ได้ยินว่าท่านย่าชอบกิน ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ที่ท่านย่าได้รับมากินหมดหรือยัง หากไม่พอ ท่านย่าบอกมาได้ ในบ้านข้ายังมีอีก!”
ปากน้อยๆ ของนางพูดรัวจนไฟแลบ ดวงตากลมโตคู่นั้นจดจ้องไปที่หญิงชราอย่างไม่ละสายตา หลิวฉีซื่อรู้สึกเพียงสันหลังเย็นวาบ สายตาของหลิวเต้าเซียงนั้นยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนดวงตาของลูกหมาป่า ทั้งเยือกเย็นและไร้หัวใจ!
ครู่หนึ่งในห้องก็เงียบพอที่จะได้ยินเสียงเข็มตกลงมาที่พื้น
ผ่านไปสักพัก หลิวต้าฟู่ก็เอื้อมมือขึ้นมานวดขมับที่ปวดตุบๆ ตามคาด เขาไม่ให้ท้ายและตามใจภรรยาเกินไป
“เอ่อ ในเมื่อเป็เื่ของเ้ารองเอง และแยกครอบครัวไปแล้ว ก็ปล่อยให้เขาไปจัดการเอาเอง”
เขาหันหลังกลับไปสั่งหลิวเหรินกุ้ย “ชุ่ยหลิวมีสัญญาผูกขาด ส่วนซุนซื่อเป็ภรรยาเอก อีกเดี๋ยวก็ให้นางจัดการเื่นี้ให้ดี”
“ไม่ได้!” ทันทีที่หลิวฉีซื่อนึกถึงบุตรชายคนรองว่าต้องออกเงินไม่น้อย ก็เหมือนเืในหัวใจหลั่งออกมา
“ตอนนี้เ้ารองไม่ได้ทำอะไร วันๆ ใช้แต่เงินก้อนเก่าในบ้าน จะให้เขาออกคนเดียวได้อย่างไร?”
หลิวเต้าเซียงหมดคำบรรยาย ในเมื่อรู้ว่าลุงรองใช้เงินเก่า แล้วยังจะให้เขาแต่งอนุอะไรกัน ทาสที่มีสัญญาผูกขาด ก็แค่ส่งไปอยู่ในครอบครัวหลิวเหรินกุ้ยก็จบแล้วไม่ใช่หรือ?!
หลิวฉีซื่อเหลือบมองผู้คนในห้องแล้วกล่าวว่า “ครอบครัวซานกุ้ยเลี้ยงไก่กับเป็ดไว้มากมายไม่ใช่หรือ? อาหารเลี้ยงแขกก็ให้ครอบครัวเขารับผิดชอบก็แล้วกัน แล้วก็ จำไว้ว่าต้องเชือดหมูตัวอ้วนพี ในเดือนปีใหม่คนจะมากันมาก”
หลิวเต้าเซียงอดไม่ได้ที่จะกลอกตาเมื่อได้ยิน หลิวซานกุ้ยลูบศีรษะนางเบาๆ เพื่อปลอบโยน
จากนั้นเขาก็หันไปบอกกับหลิวฉีซื่อ “อีกเดี๋ยวข้าจะกลับไปจับไก่กับเป็ดมาอย่างละสิบตัว ท่านแม่ เดือนหนึ่งไม่สามารถจับมีดเชือดหมูได้”
หมู่บ้านสามสิบลี้ในยุคสมัยนี้ กล่าวกันว่าการใช้มีดหลั่งเืเป็สิ่งที่อัปมงคล แต่โดยทั่วไปแล้วเมื่อพ้นวันที่แปดไปจึงจะสามารถฆ่าสัตว์ได้
หลิวซานกุ้ยก็เข้าใจเื่นี้เช่นกัน แต่เขาทำหน้าที่แค่ส่งมาให้ ไม่สนใจว่าหลิวฉีซื่อจะฆ่าหรือไม่ฆ่า เขาเดาว่ามารดาคงจะเก็บไว้เลี้ยงเอง
หลิวฉีซื่อรู้ว่าที่บ้านหลิวซานกุ้ยยังมีอีกหลายร้อยตัว จึงเอ่ยอย่างหงุดหงิด “สิบตัวจะไปพอได้อย่างไร?”
หลิวต้าฟู่กระแทกโต๊ะด้วยปล้องยาสูบอย่างแรง “เ้าควรพอใจได้แล้ว สิบตัวยังไม่พอ หน้าเ้าบานขนาดไหนกัน? ซานกุ้ยเองก็เห็นแก่ความเป็พี่น้อง จึงเอาออกมาช่วย ไก่สิบตัวต้องใช้เงินถึงหนึ่งตำลึงกว่า ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเป็ดอีกตั้งสิบตัว!”
แล้วยังไม่นับหมูครึ่งซีก เป็ดเค็ม ปลาเค็ม แล้วก็ไก่เป็ๆ อีก
หลิวฉีซื่อแอบรําคาญที่หลิวต้าฟู่ไม่เข้าใจวิธีการบริหารครอบครัว ในบ้านมีสิบกว่าปากท้อง ของแค่นี้ไม่พอกิน หากไม่ขอมากหน่อยจะได้อย่างไรกัน?
หากไม่ใช่เพราะหลิวซานกุ้ยมีที่ดินเพียงสองไร่ นางคงจะขอข้าวเปลือกครึ่งหนึ่งของบ้านเขากลับมาด้วยซ้ำ
หลิวต้าฟู่จําสิ่งที่หลี่เจิ้งหวงจินพูดได้ จึงยืดอกผายไหล่ผึ่งแล้วด่า “ฉีหรุ่ยเอ๋อร์ เ้าอย่าลืมเื่ที่เ้าก่อเื่ไว้? ลูกๆ ไม่เอาความเพราะเห็นแก่หนังหน้าแก่ๆ ของเ้า เลิกสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าสักที!”
หลิวฉีซื่อแอบมองไปที่หลิวต้าฟู่อย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีความเสแสร้งใดๆ จึงไม่กล้าเอ่ยเื่ขอเป็ดไก่เพิ่มอีก เพียงแต่ในใจยังสะกดกลั้นความโมโหไว้ แล้วฉับพลันก็นึกขึ้นได้อีกเื่
“ได้ยินว่า น้าชายเ้าส่งอาหารทะเลมาให้พวกเ้ามากมายนี่?”
สิ้นเสียงนั้น หลิวต้าฟู่ที่อยู่ข้างๆ ก็ตบโต๊ะเสียงดัง “ฉีหรุ่ยเอ๋อร์ พอได้แล้ว!”
หลิวเต้าเซียงเบะปากน้อยๆ เป็คนไม่ธรรมดาจริงๆ
นางเอื้อมมือออกไปลูบคางเล็กๆ ของตนเอง ของทะเลก็ไม่ใช่ของล้ำค่าหายากอะไร ในราชวงศ์โจวอาจจะพบเจอได้น้อย แต่ในโลกปัจจุบันนางกินอยู่บ่อยครั้ง
“ท่านปู่ ท่านอย่าโมโหไป อันที่จริง น้าชายข้าส่งสาหร่ายทะเลกับปลามาไม่น้อย แต่ว่าปลาเค็มเ่าั้เหม็นนัก ราวกับกลิ่นเท้าเหม็นเน่าของเหล่าเซี่ยในหมู่บ้านเรา ได้กลิ่นมาแต่ไกลก็อยากอาเจียนแล้ว”
มันเป็ความจริง ทุกคนต่างก็รู้ว่าปลาเค็มมีกลิ่นเหม็นแค่ไหน
แต่ว่า มีบางคนไม่ยอมเชื่อคำพูดของนาง
-----