ในตอนที่เ้าสำนักเสี่ยวอันมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหลินนั้นเป็่ที่ฝนกำลังตกลงมารุนแรงที่สุด
ต้นหนามเหล็กเติบโตขึ้นมาบนรั้วของบ้านตระกูลหลินเป็ที่เรียบร้อยแล้วทำให้ตอนที่เ้าสำนักเสี่ยวอันมองจากนอกรั้วเข้าไปด้านในนั้นพร่าเลือนและไม่ชัดเจน เขาได้ยินเพียงเสียง “เปาะแปะ” ของฝนที่กระทบลงบนกระจกให้ความรู้สึกราวกับในกวีโบราณได้กล่าวเอาไว้ “ไข่มุกเม็ดเล็กเม็ดใหญ่ตกกระทบลงบนถาดหยก”
นอกจากนั้นแล้ว ภายในบ้านหลินนั้นก็เต็มไปด้วยความเงียบสงบ
เมื่อนึกไปถึงความเข้มงวดและหนักแน่นในคำพูดของอาจารย์ฮุยจู๋สถานการณ์ของบ้านตระกูลหลินในตอนนี้ ทำให้เขารู้สึกกังวลใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลใบบัวที่เขาใช้ทดแทนร่มในการกันฝน สุดท้ายก็ไม่อาจจะต้านทานแรงฝนได้มันขาดออกจนกลายเป็รูใหญ่ เ้าสำนักเสี่ยวอันโยนมันทิ้งไปก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในม่านฝน
หยาดฝนนั้นหยุดอยู่บนปลายใบหญ้าเพียงชั่วครู่ไม่นานนักใต้ผืนหญ้าก็กลายเป็สายน้ำไหลผ่านช่องว่างระหว่างก้อนกรวดไปยังสระว่ายน้ำใหญ่มันนำพาเศษหญ้าและเศษกิ่งไม้แห้งเข้าไป จนทำให้น้ำสีครามขุ่นมัวไปหมด
เ้าสำนักเสี่ยวอันเปิดประตูกระจกที่ปิดเอาไว้ออกภาพที่เต็มไปด้วยศพและเืสาดกระจายนั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่เขาคิดแต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในเรือนกระจกนั้นคือบรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยกลิ่นหอมน่าสบายใจ เสียงฝนจากด้านนอกนั้นดังเกินไปทำให้มันปกปิดเสียงพูดคุยของคนในบ้านตระกูลหลินเอาไว้
เ้าสำนักเสี่ยวอันแสดงท่าทีแสดงความขอโทษออกมา เขามองไปรอบๆก่อนจะพบคนแปลกหน้าเข้า
คนคนนั้นคือหญิงสาวที่สวมชุดรัดแน่นสีดำเมื่อมองดูก็เหมือนคนอายุยี่สิบต้นๆ แต่เมื่อมองดูอีกครั้งก็มีเสน่ห์ใบแบบของคนอายุสี่สิบปีอยู่ดั้งของเธอโด่งสวย ใบหน้าชัดเจน เสื้อกล้ามสีดำรัดแน่นแนบไปกับรูปร่างเน้นหน้าอกของเธอให้เด่นชัดขึ้น ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยความเซ็กซี่แม้ว่าจะมองก็รู้ว่าเป็คนตะวันออกแต่กลับมีความงามในแบบของตะวันตกอย่างน่าประหลาด
ในห้องเรือนกระจกนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นไม่ได้เหมือนอย่างที่เ้าสำนักเสี่ยวอันคิดกังวลมาตลอดทางหญิงสาวสวมชุดดำถือแก้วชาเอาไว้ในมือ และกำลังพูดคุยกับหลินลั่วหรานอย่างสนุกสนาน
“เ้าสำนักเสี่ยวอัน” หลินลั่วหรานลุกขึ้นต้อนรับท่าทางของเธอดูใจดีไปกว่าปกติ ราวกับไม่ได้รับรู้ถึงความอันตรายของหญิงสาวสวมชุดดำเลยแม้แต่น้อยใบหน้าของเธอนั้นจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ในเรือนกระจกนั้นมีเพียงหญิงสาวสวมชุดดำ หลินลั่วหรานและซูอี้เหรินกับหลีซีเอ๋อร์ พ่อและแม่ของเธอรวมถึงเสี่ยวลั่วตงนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยเ้าสำนักเสี่ยวอันจึงสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่จะโค้งคำนับลง “ท่านนักบวชหญิง อาจารย์ของข้าฮุยจู๋ รู้ว่าท่านได้มาที่นี่ตัวข้าเสี่ยวอันขอเชิญให้ท่านไปที่วัดชิงเฉิงร่วมกัน”
สาวสวมชุดดำยกมือขึ้นปิดปากขำ “นักบวช? เป็ผู้หญิงแท้ๆ นะ ทำไมเรียกแบบนี้ล่ะ แต่ว่าเ้าอาวาสอุตส่าห์ชวนก็คงไม่กล้าที่จะไม่ไปหรอก”
เธอวางแก้วชาในมือลง ท่าทางของเธอนั้นก็เป็ปกติแต่กลับดูมีเสน่ห์เย้ายวนมากเป็พิเศษ
เ้าสำนักเสี่ยวอันดูเหมือนว่าจะรีบเร่งมากแต่กลับบอกกับหญิงสาวสวมชุดดำว่าไม่ต้องรีบร้อนแต่ความจริงแล้วเมื่อมองจากสีหน้าของเขา ก็ไม่มีใครจะทำตัวช้าได้หรอก
หลินลั่วหรานพยายามบอกให้ทั้งสองอยู่ต่อก่อนที่จะเดินออกไปส่งจนถึงนอกประตูรั้ว
หญิงสาวสวมชุดดำและเ้าสำนักเสี่ยวอันถือร่มของบ้านตระกูลหลินเดินจากออกไปเมื่อผ่านประตูบ้านไปแล้ว อยู่ๆหญิงสาวสวมชุดดำก็หันไปจ้องมองเสี่ยวจินที่พักอยู่บนต้นไม้หลังบ้านพร้อมกับยิ้มออกมา เสี่ยวจินที่กระวนกระวายอยู่ั้แ่แรกก็เกือบจะสติแตกขึ้นมาอีกครั้ง
“เป็อินทรีทองที่หาได้ยากจริงๆ...” หญิงสาวสวมชุดดำพูดกับตัวเองขึ้นมาเบาๆก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาพูด “น้องหลินรอฉันไปที่วัดกลับมาก่อน แล้วเราค่อยมาคุยเื่ศาสตร์ยากันดีไหม?”
หลินลั่วหรานพยักหน้าลงตอบรับ มุมปากของเธอยกขึ้นอย่างมีความสุขจนเมื่อทั้งสองเดินห่างออกไปไกลลับตา เธอก็กัดริมฝีปากของตัวเองแน่นตัวของเธอเกือบจะทรุดลงไปที่พื้น
ซูอี้เหรินและหลีซีเอ๋อร์ต่างก็คิดว่าหญิงสาวคนนี้เป็เพียงคนธรรมดาทั่วไปในตอนแรกหลินลั่วหรานเองก็คิดแบบนี้เช่นกันเพราะว่าตัวของเธอนั้นไม่ได้มีพลังขับเคลื่อนไปมาอย่างที่นักฝึกศาสตร์ควรจะมี
แต่ว่าเื่นี้ ก็ทำให้คนสงสัยขึ้น
เธอเดินเปียกฝนออกมา พ่อของหลินลั่วหรานเป็คนทักเธอก่อนพร้อมทั้งบอกว่าฝนตกหนัก เลยเชิญให้เธอเข้ามาหลบฝนในบ้านหลังจากนั้นนักปราชญ์ที่ไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับคนธรรมดาอย่างซูอี้เหรินและหลีซีเอ๋อร์ต่างก็ยังรู้สึกดีกับเธออย่างไม่ทราบสาเหตุ
หรือแม้แต่ตัวของเธอเอง แววตาของหลินลั่วหรานดูเย็นะเืขึ้นมาแม้แต่ตัวเธอ ยังเชิญผู้หญิงคนนั้นให้เข้ามาที่เรือนกระจกอย่างไร้เหตุผลพ่อกับแม่ของเธอเข้าครัวไปเตรียมทำสุกี้จนเมื่อหลินลั่วหรานยกชาขึ้นมาส่งให้กับผู้หญิงคนนั้นด้วยมือของเธอเองเธอก็เพิ่งจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
บนโลกใบนี้มีคนที่มองดูเป็กันเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องหลงเธอเพราะว่าความงดงามในสายตาของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไปดังนั้นแต่ละคนจึงควรที่จะมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกัน
แต่กับผู้หญิงคนนี้แล้ว ทุกคนในบ้านหลินไม่ว่าจะเป็ชายหญิงเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็ทำเหมือนกับเธอเป็คนที่รู้จักมาเนิ่นนานซูอี้เหรินและหลีซีเอ๋อร์ก็ถูกใจในทุกๆ คำพูดของเธอ เื่เล็กๆ น้อยๆ ที่เธอพูดแต่ทำไมถึงทำให้ทุกคนลุ่มหลงกับมันไปได้ขนาดนั้น?
เื่ที่ไม่มีเหตุผลมากมายเหล่านี้ มีสิ่งเดียวที่จะอธิบายมันได้ซึ่งก็คือ ผู้หญิงที่สวมชุดดำคนนี้ ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป!
หลินลั่วหรานรู้สึกได้ถึงความอันตรายขึ้นมาในใจแต่ก็ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวอะไรและก็ไม่กล้าที่จะใช้จิตความคิดในการตรวจสอบเธอด้วย
ถ้าหากว่าผู้หญิงคนนี้มีที่มาที่ไปที่ยิ่งใหญ่จริงและเป็คนในการฝึกศาสตร์ เธอมาที่บ้านตระกูลหลินทำไม? เพียงแค่ผ่านมาหรือว่ามีจุดมุ่งหมายอื่น...ในตอนที่ทุกคนต่างก็ดื่มชาพูดคุยกันไปเรื่อยนั้นความคิดเหล่านี้หมุนเวียนอยู่ในหัวของหลินลั่วหรานไม่มีหยุดทำเอาเธอต้องคิดไตร่ตรองเสียจนไม่สงบโชคดีที่เธอมีประสบการณ์ที่ขั้วโลกเหนือมาก่อน ทำให้กายใจของเธอในตอนนี้นุ่มนวลราวกับน้ำหยดน้ำรวมกันเข้าเป็ทะเล น้ำนั้นสามารถนำพาสิ่งต่างๆ ได้แต่เมื่อต้องระงับเอาไว้มากๆหากหลินลั่วหรานทนจนถึงตอนที่เ้าสำนักเสี่ยวอันมาถึงไม่ไหว ก็คงจะหลุดออกไป
ทำไมเ้าอาวาสวัดชิงเฉิงถึงส่งเ้าสำนักเสี่ยวอันมาในตอนนี้? หรือว่า...
หลินลั่วหรานพิงตัวไปยังขอบประตูบ้านเธอรู้สึกว่าแผ่นหลังของตัวเองเย็นะเืขึ้นมา ในระหว่างที่ไม่ทันได้รู้ตัวแผ่นหลังของเธอก็เปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อเสียแล้ว
หลินลั่วหรานพยายามที่จะทำให้ตัวเองสงบลง ถ้าหากว่าเธอจะตั้งใจมาสร้างปัญหาให้กับบ้านหลินจริงอีกทั้งยังเป็คนที่แม้แต่เ้าอาวาสยังต้องกลัวถ้าหากว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็คงจะหลบไม่พ้นอยู่ดี ถึงตอนนั้น...หลินลั่วหรานกำหมัดแน่นขึ้นก็แค่พาพ่อกับแม่หนีเอาชีวิตรอดไปก็พอแล้วนี่อย่างไรหากเธอจะหาพวกหลีซีเอ๋อร์ไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นอย่าไปทำให้เธอโมโหเสียน่าจะดีกว่า
หลินลั่วหรานตัดสินใจ ก่อนที่จะหมุนตัวกลับเข้าไปในคฤหาสน์
ผู้เป็แม่ยืนมึนงงอยู่ที่ระเบียง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านี้ตัวเองถึงมีน้ำใจกับผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นมากแบบนั้นเมื่อเห็นว่าลูกสาวยืนอยู่กลางสายฝน ก็ส่งเสียงเรียกขึ้นก่อนที่จะจัดการนำเื่แปลกๆ นี้ทิ้งไป แล้วเรียกให้ทุกๆ คนเข้ามาทานสุกี้
หลินลั่วหรานเผยใบหน้ายิ้มแย้มออกมา เธอทำตัวให้ดูสบายๆและก็ไม่ได้พูดถึงเื่ความผิดปกติของหญิงสาวชุดดำขึ้นมาหลังจากทานสุกี้ฝีมือแม่เสร็จ เธอก็ใช้เื่การศึกษาสูตรยาขึ้นมาอ้างแล้วกลับขึ้นห้องของตัวเองไป
เสี่ยวจินกวาดสายตาไปทั่วอยู่ที่หน้าต่าง หยาดฝนไม่ได้ทำให้เรือนขนของมันเปียกปอนแต่กลับทำให้มันสะอาดขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ
หลินลั่วหรานลูบลงที่หัวของมัน ก่อนที่จะเอา “หญ้าเจ็ดดารา” ขึ้นมาให้เป็อาหารมันกินเข้าไปอย่างเซื่องซึม อีกทั้งคอยหันไปมองรอบๆ อยู่ไม่ขาดไม่ได้พุ่งเข้ากินอาหารเหมือนอย่างเคย และก็ไม่ได้นอนหลับฝันหวานอย่างที่เป็ดูเหมือนว่าจิตใจของมันไม่สงบเท่าไร
เสี่ยวจินเอง ก็รู้สึกกระวนกระวายเหมือนกันใช่ไหม?
ฝนในครั้งนี้ จะหยุดลงเมื่อไรกันนะ...หลินลั่วหรานลูบลงไปยังไข่มุกที่ข้อมือเธอไม่อาจจะอ่านตำรายาที่วางอยู่ที่โต๊ะให้รู้เื่ได้เลย
ถ้าหากว่าหนีไปในตอนนี้ ด้วยกำลังของลมฝนกลิ่นอายที่ทิ้งเอาไว้ก็คงจะถูกชำระจนสะอาดไม่หลงเหลือความเร็วของเสี่ยวจินก็ไม่ได้ช้า มันสามารถพาพ่อกับแม่และเสี่ยวลั่วตงไปได้โดยไม่ลำบากอะไร เธอเองก็มีเจาเสวี่ยอยู่ในมือบังคับดาบบินตามไปก็ไม่ได้ช้า...แต่ว่า ทางเ้าอาวาสวัดชิงเฉิงนั้นทำไมถึงต้องช่วยขัดขวางให้เธอขนาดนี้?
และแม้ว่าเขาจะช่วยขัดขวางเอาไว้ให้แล้ว แต่จะยื้อเวลาเอาไว้ได้ขนาดไหน?
หลินลั่วหรานลูบลงที่ไข่มุก พร้อมทั้งถอนหายใจออกมาเธอมองออกไปยังนอกหน้าต่าง กวาดสายตาไปยังเขาชิงเฉิง ต้นไม้เขียวชอุ่มสายฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่หยุดหย่อน กลบเสียงนกแมลงและเหล่ากบทั้งหลายให้หายไป
หนีหรือว่าไม่หนี?