“ฉันอยากจะเชิญนายไปกินข้าวสักมื้อ” กู้หลานอันไม่รู้สึกสักนิดว่าตัวเองทำแบบนี้จะมีอะไรที่ไม่เหมาะสม มีเหตุผลเต็มที่ที่จะพูดได้เต็มปากเต็มคำหรือแม้แต่มีความภาคภูมิใจในตัวเองที่จะบอกเจาเยี่ย
“ก็เพื่อกินข้าวหนึ่งมื้อ?” เจาเยี่ยโกรธจนไม่อยากจะโกรธคำรามเสียงต่ำ “เพื่อกินข้าวมื้อเดียวนายก็เลยวิ่งมาชนรถแล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำขึ้นมาจะทำยังไง? กู้หลานอันนี่นายโง่หรือเปล่า?”
“นี่นายกำลังเป็ห่วงฉันเหรอ?” กู้หลานอันไม่โกรธแต่กลับหัวเราะมีความสุขเหมือนใกล้บ้าเล็กน้อย “”
“ใครเป็ห่วงนายเหรอ?” ฉันกำลังกล่าวโทษพฤติกรรมของนายถ้าทำแบบนี้แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นมานายก็สมควรได้รับ แต่คนอื่นล่ะ? คนขับรถจะหวาดกลัวขนาดไหน? ต้องรับผิดชอบยังไงนายรู้รึเปล่า? นายเคยคิดแทนคนอื่นบ้างรึเปล่า?” เจาเยี่ยมีอายุจน 23 ปี นี่เป็ครั้งแรกที่เห็นคนที่วุ่นวายยุ่งเหยิงขนาดนี้ และก็เป็ครั้งแรกที่รับงานนอกเวลาเพื่อเป็อาจารย์สั่งสอนกู้หลานอัน
“ฉันรู้แล้ว ฉันผิดไปแล้ว ครั้งหน้าฉันไม่ทำแบบนี้แล้ว นายอย่าโกรธเลย” กู้หลานอันเสียใจอย่างยิ่งและยอมอ่อนลง แล้วแก้ต่างเสียงต่ำว่า “แต่ฉันคำนวณไว้แล้วว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองถึงได้วิ่งไปชนรถฉันอยู่ห่างจากรถตั้งไกลก็นอนลงไปแล้ว”
เจาเยี่ยไม่ได้สนใจเขา แต่เป็ผู้ช่วยผู้จัดการถามอย่างแปลกใจว่า “ใช่ไหม? ผมก็ว่าแล้ว ผมเห็นอยู่ชัด ๆว่าห่างกันไกลมากทำไมถึงชนคุณได้ แต่ว่าทำไมเมื่อกี้ตอนจอดรถคุณถึงอยู่ข้างรถล่ะ?”
“ผมขยับเข้ามา” กู้หลานอันจ้องเจาเยี่ยเขม็งแล้วตอบ
“ขยับ!!!” โลกทัศน์ของหลี่เสียวเหม่ยพังทลายลงทันทีโปรดให้อภัยเขาที่เป็เด็กบ้านนอกที่เพิ่งเรียนจบที่คิดมาตลอดว่าดาราชื่อดังนั้นล้วนมีรัศมีรอบตัวมีความยิ่งใหญ่สูงส่งเป็พิเศษ ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีคนที่ตาของมวลชนจับจ้องมองอยู่ตลอดจะวิ่งชนรถแบบนี้แต่ก็ช่างมันเถอะเื่วิ่งชนรถ นี่ยังไม่มีศักดิ์ศรีนอนลงกับพื้นแล้วขยับตัวเองเขาร้องไห้สักรอบได้ไหม?
เมื่อถูกกู้หลานอันจ้องอย่างไม่เป็ธรรมชาติเจาเยี่ยขยับมือที่วางอยู่บนหน้าขา เรียกหลี่เสียวเหม่ย “จอดรถ” พอรถหยุด ก็พูดกับกู้หลานอันว่า “ในเมื่อไม่ได้ทำอะไรแล้วก็เชิญลงจากรถ”
“ใครบอกว่าไม่ได้ทำอะไรแล้ว? ฉันไม่ได้พูดไปเหรอว่าอยากเชิญนายไปกินข้าวกันสักมื้อ? เจาเยี่ยพวกเราไปกินข้าวกันเถอะฉันรู้จักสถานที่ที่ทำอาหารได้อร่อยสุดยอดไร้ที่ติอยู่ที่หนึ่ง” กู้หลานอันพูดเอาใจ
“ฉันไม่อยากจะกินข้าวกับนาย นายไปเถอะ” เจาเยี่ยพูดปฏิเสธโดยไม่ได้มองดูเขาเลย
“ไม่ไป และนายก็อย่าคิดที่จะไล่ฉันไปเลย” กู้หลานอันอันธพาลขึ้นมานั่งตัวตรงท่าทางเหมือนคนมีอำนาจ “เจาเยี่ย ฉันจะบอกอะไรให้นายถ้านายไล่ฉันลงไปตอนนี้งั้นฉันคงต้องหานักข่าวรายงานเื่ที่นายชนแล้วหนีในวันนี้แล้วล่ะ”
“ทำไมคุณทำแบบนี้? เมื่อกี้คุณตั้งใจวิ่งชนรถเองชัดๆ คุณจะกลับผิดเป็ถูกแบบนี้ได้ยังไง?” หลี่เสียวเหม่ยรู้สึกไม่พอใจเจาเยี่ยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร มองกู้หลานอันเป็ครั้งคราวชำเลืองตามองสีหน้าท่าทางของเขาก็จะรู้ว่าเขากำลังล้อเล่น ไม่ได้จะรายงานจริง ๆ
“ทำไมจะไม่ได้? มองในมุมอื่นฉันก็เป็คนต่ำทรามมากคนหนึ่ง” กู้หลานอันสุดแสนจะอวดดีมองเจาเยี่ยด้วยแววตาเหมือนหมาเห็นกระดูก แล้วถามว่า “ว่ายังไงเจาเยี่ยกินข้าวกับฉันมื้อหนึ่งกับได้ข่าวฉาวแง่ลบเพิ่ม นายเลือกข้อไหน?”
“นายไปรายงานเถอะ ลงจากรถให้เร็วที่สุดก็พอ” เจาเยี่ยใบหน้าสงบชื่อเสียงสถานะต่าง ๆ ของเขาก็รู้กันอยู่แล้ว อันที่จริงจะว่าไปแล้ว กู้หลานอันจะไม่พูดออกไปแน่นอนแต่ต่อให้พูดจริง เขาก็ไม่กลัวเท่าไหร่เพราะยังไงตอนนี้เขาก็แปดเปื้อนไปทั้งตัวอยู่แล้ว
“ฉัน...” กู้หลานอันโดนต้อนจนพูดไม่ออกรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่ชาตินี้เจาเยี่ยแสดงออกชัดว่าไม่ได้เห็นเขาเป็คนน่ารักที่น่าทะนุถนอมในอุ้งมือของใจแล้วโน้มตัวไปจับเบาะหน้าไว้แน่นแล้วพูดว่า “ฉันจะไม่ลงไปถึงตายก็จะไม่ลงไป วันนี้ถ้านายไม่ไปกินข้าวกับฉัน ฉันก็จะอาศัยอยู่ในรถนายทั้งวันแบบนี้แหละ”
“เอ่อ...” คนคนนี้ มียางอายไหมเนี่ยเจาเยี่ยระอา หันสายตาไปยังกู้หลานอัน มองดูคนที่กิริยาท่าทางเหมือนเด็กแต่ไม่รู้เพราะอะไร ในใจกลับมีความรู้สึกแปลก ๆ กับกู้หลานอันเหมือนได้ทำความเข้าใจในตัวเขาใหม่ ตอนแรกที่รู้จักกับเขานั้นนึกว่าเขาจะเป็คนประเภทเงียบเหงาอ้างว้าง แต่ว่าในตอนนี้เขากลับหาความเงาแห่งความเงียบเหงานั้้นไม่เจอเลยสักนิดในตัวเขาอุปนิสัยก็ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เจอกัน
“พี่เจา แล้วจะทำยังไงดี ให้ผมลากเขาลงจากรถไหม?” เห็นกู้หลานอันไม่มีท่าทีจะคลายมือมาสักพักหลี่เสียวเหม่ยเลยสอบถามเจาเยี่ย
เจาเยี่ยไม่ได้ตอบ แค่ตวัดตาไปมองมือกู้หลานอันที่จับไว้แน่นยิ่งขึ้นไปอีกสักพักก็พูดอย่างระอาว่า “ออกรถ” พูดจบหลับตาเอนตัวลงไปยังที่นั่ง แล้วก็พูดว่า “จะไปไหน?”
“หืม? นายถามฉันเหรอ? เจาเยี่ยนายยอมไปกินข้าวกับฉันแล้วเหรอ” กู้หลานอันเพิ่งจะได้ยินยังไม่ทันได้ตอบรับแต่พอตอบรับแล้วก็รีบโน้มตัวไปถามเจาเยี่ย
“แล้วคำปฏิเสธฉันได้ผลเหรอ?” เดิมทีไม่จำเป็ต้องตอบก็ได้แต่เจาเยี่ยก็ตอบออกไป พูดจบเขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองพูดมากไปแล้วจึง เม้มปากอย่างไม่พอใจ
“แหะ ๆ ไม่ได้ผล” กู้หลานอันเกาหลังศีรษะแล้วพูดกับหลี่เสียวเหม่ยว่า “ไปถนนหงซิง หมายเลข 53” พอได้ยินที่อยู่อันนี้ เจาเยี่ยก็ขยับตา ที่นี่เป็ร้านธรรมดาทั่วไปที่ตัวเองชอบไปที่สุดที่หนึ่งแต่ทำไมกู้หลานอันก็รู้ล่ะ?
ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็ถึงที่หมาย (จริง ๆ แล้วการเดินทางใช้เวลา 1 ชั่วโมงเต็ม ๆ แต่กู้หลานอันใช้เวลาทั้งหมดจ้องเจาเยี่ยอยู่เลยรู้สึกว่าเร็วมาก) กู้หลานอันรู้สึกเสียใจพลางบ่นตัวเองว่าทำไมไม่บอกชื่อร้านให้ไกลกว่านี้พูดกับเจาเยี่ยว่า “เจาเยี่ย ถึงแล้ว” แล้วลงจากรถ รอเจาเยี่ยลงรถก็พาพวกเขาเข้าไปยังโต๊ะริมหน้าต่างอย่างคุ้นชินกับสถานที่บริการเทน้ำผลไม้แก้วหนึ่งให้เจาเยี่ยหลังจากบอกกล่าวเจาเยี่ยเรียบร้อยก็ตรงไปสั่งอาหาร
“พี่เจา พี่จะทานข้าวที่นี่จริง ๆ เหรอ?” มองกู้หลานอันที่กำลังยืนคุยอยู่กับเ้าของร้านอยู่อีกฝั่งหลี่เสียวเหม่ยเบาเสียงถามเจาเยี่ย
“อืม ทำไมเหรอ?” เจาเยี่ยมองน้ำส้มที่อยู่ตรงหน้าแล้วถาม
“ทางที่ดีพวกเราก็อย่ากินที่นี่ดีกว่ากู้หลานอันคนนี้ดูจะคิดนอกลู่นอกทางกับพี่ ผมกังวลว่าเขาวางแผนให้พี่มากินอาหารถึงที่นี่เขาอาจจะอยากทำอะไรมิดีมิร้ายพี่” หลี่เสียวเหม่ยจำต้องพูดความจริงออกไป
“งั้นหรือ นายคิดมากไปแล้วล่ะ” เจาเยี่ยยกปากขึ้นเบาๆ ดูอารมณ์ดีมาก “แม้ว่าเขาคิดวางแผนจะทำอะไรฉันจริง ๆเขาจะกล้าทำอะไร ถ้าไม่นับว่าตรงนี้เป็ที่สาธารณะ ฉันก็เป็ผู้ชายคนหนึ่งนะถึงอย่างไรเขาก็เป็คนธรรมดาคนหนึ่ง ยังไงก็ต้องมีความละอายอยู่บ้าง”
“นั่นก็ไม่แน่” หลี่เสียวเหม่ยเป็กังวลน้ำเสียงแสดงออกมาอย่างชัดเจน “พี่เจากู้หลานอันคนนี้ไม่ควรเอามาตรฐานของคนทั่วไปมาเทียบ เื่วิ่งชนรถเมื่อสักครู่คนธรรมดาทั่วไปที่ไหนเขากล้าทำกัน อีกอย่างเมื่อกี้เขาพูดเองเลยว่า เขาเป็คนที่เลวทรามต่ำช้ามาก”
“เขาไม่ใช่คนเลวอะไรหรอก” เจาเยี่ยดื่มน้ำส้มไปหนึ่งอึกมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
กู้หลานอันสั่งอาหารเรียบร้อยเห็นเจาเยี่ยคุยอยู่กับหลี่เสียวเหม่ยอย่างอารมณ์ดีก็รู้สึกหึงขึ้นมาทันที คว้าเก้าอี้แล้วเข้าไปนั่งเบียดตรงกลางระหว่างเจาเยี่ยกับหลี่เสียวเหม่ยแล้วถามเจาเยี่ยว่า “กำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอทำไมอารมณ์ดีขนาดนี้?”
อารมณ์ดีแล้วเหรอ? หลี่เสียวเหม่ยรู้สึกแปลกใจพลางมองหน้าเจาเยี่ยที่ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ สงสัยขึ้นมาทันทีว่าสายตาของกู้หลานอันมีปัญหาหรือเปล่า
เจาเยี่ยไม่ได้ตอบ กู้หลานอันรู้สึกหงุดหงิด หันศีรษะมาทำหน้าจริงจังถามหลี่เสียวเหม่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “เมื่อกี้พวกนายกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ?”