“ครับ”
ชวีเสี่ยวปอตอบกลับไป
“ฮะ อะไรนะ? ” เวินลี่มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ท่าทางดูราวกับไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้านี้คือลูกชายของเธอจริงๆ หรือเปล่า
“ผมบอกว่าได้ครับ” ชวีเสี่ยวปอพูดขึ้น “แต่ว่าถ้าหาคุณครูมาได้แล้วต้องให้ผมเจอก่อนนะ ถ้าผมรู้สึกว่าไม่ดีก็ต้องเปลี่ยนคน”
“งั้นถ้าลูกรู้สึกว่าไม่ดีหมดเลยล่ะ? ” เวินลี่ถาม
“ไม่มีทางครับ” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดขาด “ยังไงแม่ก็หามาเถอะครับ พอถึงเวลานั้นค่อยว่ากัน”
“ได้เลยๆ ” เวินลี่รีบรับปากขึ้นมาทันที อันที่จริงเมื่อครู่นี้เธอคิดเอาไว้แล้วว่าชวีเสี่ยวปอต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน จากที่เขารู้จักลูกชายตัวเอง รู้สึกว่าไม่แน่ชวีเสี่ยวปออาจจะทำนิสัยเสียเอะอะโวยวายขึ้นมายกใหญ่ แต่เวินลี่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าชวีเสี่ยวปอจะยอมตกลงแล้ว ทั้งยังยอมตกลงอย่างมีความสุขเช่นนี้อีกด้วย “ถ้างั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้แม่ไปถามมาให้นะ”
“ตามสบายเลยครับ” ชวีเสี่ยวปอพูดขึ้นอย่างไม่เื่มาก พร้อมทั้งดันชามซุปกระดูกออกไปด้านข้าง “ไม่...”
“กินไปเลย” เวินลี่ทำหน้ามุ่ย ทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง : “เร็วเข้า”
“ก็แม่บอกว่ารับปากแม่ก็ไม่ได้ต้องกินแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกหมดคำพูด คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าความสามารถในการไม่ทำตามอย่างที่พูดของแม่เขาจะเชี่ยวชาญขึ้นมามากขนาดนี้
“แม่หมายถึงในชามใหญ่ที่เอาไว้เติมนั้นไม่ต้องกินต่างหาก” หลังจากที่เวินลี่พูดจบก็เดินฮัมเพลงออกไปอย่างพึงพอใจ
ชวีเสี่ยวปอมองชามน้ำซุปที่มีไขน้ำมันลอยอยู่้าอย่างเหม่อลอย
อย่าว่าแต่เวินลี่ที่คาดไม่ถึงเลย เขาเองก็คาดไม่ถึงมากเช่นกัน
ในตอนที่ตอบรับเวินลี่ไปดูเหมือนว่าหัวสมองของเขาจะไม่รู้สึกตัวไปชั่วขณะ แล้วจึงพูดโพล่งออกมาโดยไม่ทันได้คิด ราวกับเป็สัญชาตญาณอย่างหนึ่งของร่างกาย การพูดเช่นนี้อาจจะดูเหลวไหลไปหน่อย แต่ทว่าชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกว่ามันคือเื่จริง
เพราะว่าเขาเคยครุ่นคิดถึงปัญหาเื่นี้มาก่อนแล้ว
ถ้าหากไม่ทำอะไรเลย เขาจะมีสิทธิ์ที่จะยืนอยู่เคียงข้างเซี่ยเจิง หรือออกไปจากที่นี่ได้หรือเปล่า?
เขาไม่กล้าพูดถึงเื่อื่น แต่อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ชวีเสี่ยวปอมั่นใจก็คือ “สิทธิ์” ที่ได้มาจากชวีอี้เจี๋ย มันไม่ใช่สิ่งที่เขา้า
อีกทั้งคำพูดของโหยวเจีย
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เหลาหม่าจะพูดคำพูดเหล่านี้มาไม่น้อยเลยเหมือนกัน ในตอนนั้นชวีเสี่ยวปอก็ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยแม่แต่น้อย แต่คำพูดเหล่านี้ของโหยวเจียสำหรับเขาแล้วน่าจะเรียกได้ว่า “ฟังเข้าหู” ไปเป็ที่เรียบร้อย
หรือบางทีอาจจะเป็เพราะบรรยายกาศในตอนนั้นก็เป็ได้
..............................
เซี่ยเจิงเปล่งแสงประกายท่ามกลางผู้คน
แล้วเขาต้องทำยังไง+ถึงจะคู่ควรกับเซี่ยเจิง
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ชวีเสี่ยวปอก็ไปนอนดูภาพยนตร์อยู่บนโซฟา ส่วนเวินลี่ก็กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับชวีอี้เจี๋ย ถึงแม้ว่าชวีเสี่ยวปอจะี้เีฟัง แต่ก็ยังพอได้ยินอยู่บ้าง
คุยกันเื่ที่ชวีจิ่งไปทะเลาะวิวาทชกต่อยมา
แต่พอเกี่ยวข้องกับชวีจิ่งแล้ว เวินลี่จึงไม่อยากพูดมากสักเท่าไหร่ ั้แ่ต้นจนจบล้วนพูดแต่ว่า “อืม” “คิดไม่ถึงเลย” “ช่างมันเถอะค่ะ” “ไม่เป็ไรๆ ” แต่ถึงอย่างนั้นชวีเสี่ยวปอก็ฟังออกคร่าวๆ แล้วว่าที่ชวีจิ่งไปมีเื่ทะเลาะวิวาทดูเหมือนจะเป็เพราะแฟนสาวของเขาคนนั้น
แล้วก็เป็อย่างที่คิดจริงๆ หลังจากที่เวินลี่วางสายไปก็เริ่มมาเล่าให้ชวีเสี่ยวปอฟังต่อ
“ลูกว่าชวีจิ่ง อายุเพิ่งจะเท่าไรเองก็มีแฟนแล้ว”
“พอๆ กับผมละมั้งครับ” ชวีเสี่ยวปอกำลังดูพระเอกและนางเอกกำลังทะเลาะกันด้วยเื่ไร้สาระเพียงเล็กน้อยในภาพยนตร์ พร้อมทั้งตอบเวินลี่ไปหนึ่งประโยคอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ไร้สาระพอๆ กัน” เวินลี่ทำเสียงหึขึ้นมาหนึ่งที “ยังเด็กขนาดนี้จะเข้าใจอะไร ก็แค่เธอชอบฉัน ฉันชอบเธอ”
“เข้าใจหมดแหละครับ” ไม่รู้ว่าทำไมพระเอกและนางเอกทะเลาะกันอยู่ดีๆ ก็เข้าไปจูบกันเกลียวแล้ว ฉากเลิฟซีนเช่นนี้ทำเอาชวีเสี่ยวปอดูจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว
“เข้าใจลูกสิ” เวินลี่ลุกขึ้นมาตีเข้าที่หลังของชวีเสี่ยวปออย่างไม่เบาและไม่แรงหนึ่งที “เด็กน้อยอย่างพวกลูกก็แค่...”
“แม่ครับ !” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเจ็บขึ้นมา ในตอนนั้นเขาถึงได้ละสายตาจากโทรทัศน์ พร้อมทั้งะโออกไปอย่างไม่พอใจว่า “ผมไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะครับ ผม...” อีกนิดเดียวชวีเสี่ยวปอก็เกือบจะหลุดพูดคำข้างหลังออกมาแล้ว ไม่ใช่แค่ชวีจิ่งที่มีแฟน ผมก็มีแฟนแล้วเหมือนกัน
อันตรายสุดๆ !
“ะโขึ้นมาทำไมฮะ” เวินลี่หยิบรีโมตที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาขึ้นมากดปิดโทรทัศน์ให้ดับลงไปในทันที “ยังไงลูกก็ยังเป็เด็กน้อย และจะเป็เด็กน้อยสำหรับแม่ตลอดไป! แล้วนี่ดูอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ไปเถอะ เดี๋ยวแม่ประคองกลับห้อง นอนพักเพิ่มอีกหน่อยยังจะดีซะกว่า หรือไม่ก็กลับห้องไปตั้งใจอ่านหนังสือ! ”
หลังจากเวินลี่ส่งเขาขึ้นมาบนห้องเรียบร้อยแล้ว ชวีเสี่ยวปอก็นอนพลิกหนังสืออยู่บนเตียงจริงๆ สามหน้าได้ แต่ก็หยุดอยู่เพียงแค่หน้าที่สาม ชวีเสี่ยวปอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความหาเซี่ยเจิง
“ทำไรอยู่ ทำไรอยู่ ทำไรอยู่”
“ฉันเบื่อสุดๆ ฉันเบื่อสุดๆ ฉันเบื่อสุดๆ”
การมีความรักนี่ทำให้คนที่พูดมากขึ้นใช่ไหมนะ ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตัวเขาเองจัดอยู่ในประเภทที่ว่า “หนุ่มหล่อเก๊กขรึม” แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะกลายเป็คนจู้จี้ขี้บ่นขึ้นมาอย่างเต็มรูปแบบแล้ว
เซี่ยเจิงตอบกลับมา
ส่งรูปภาพมาให้หนึ่งรูป
ทันทีที่ชวีเสี่ยวปอกดเข้าไปดูก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
ผมของเซี่ยเจิงถูกติดกิ๊บจนเป็จุกเล็กๆ อยู่หลายอัน และตรงกลางศีรษะก็กระดกชี้ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งภาพนี้ก็เป็ภาพเซลฟี่ด้วย
ดูแล้วมันช่าง...ปัญญาอ่อนมากเลยทีเดียว
ชวีเสี่ยวปอจึงอัดข้อความเสียงที่เป็เสียงหัวเราะก๊ากของตัวเองส่งไป
เซี่ยเจิงตอบกลับมาเพียงไม่กี่คำว่า : “ขำอะไรเสียงดังขนาดนั้น? ”
ชวีเสี่ยวปอคิดว่าตรงที่เขาอยู่ทางนั้นอาจจะพูดได้ไม่สะดวกสักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาเองจึงเปลี่ยนเป็พิมพ์ตัวอักษรไปเช่นกัน : “นี่อารมณ์ไหนของคุณเนี่ย? ระลึกถึงวัยเด็กหรือว่าเป็อะไร? ”
“ฉันช่วยป้าหลี่โอ๋เด็กอยู่น่ะ” เซี่ยเจิงตอบกลับมา
หลังจากข้อความประโยคนี้ก็ตามมาด้วยคลิปวิดีโอหนึ่ง
เป็เด็กน้อยผูกแกะสองข้างคนหนึ่งกำลังกำกิ๊บติดผมหลากหลายสีสันเอาไว้อยู่ในมือ ใบหน้าขยับเข้ามาใกล้ๆ กล้องด้วยความกระตือรือร้นที่อยากจะลองทำดู พูดให้ถูกก็คือขยับเข้ามาใกล้กับเซี่ยเจิง ส่วนเซี่ยเจิงที่อยู่หลังกล้องก็แกล้งพูดด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัวอยู่ตลอดว่า : “อย่าเข้ามานะ !” แต่เด็กหญิงตัวน้อยกลับทำหน้ามุ่ยขึ้นมาทันที แล้วพูดว่า : “พี่ชายสวยมาก! พี่ชายสวยมาก!”
ชวีเสี่ยวปอหัวเราะอย่างบ้าคลั่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“ที่บ้านป้าหลี่ยังมีเด็กตัวน้อยขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอ? ”
“บ้านญาติเขาพามาเที่ยวน่ะ แทบแย่แหนะ พอฉันมาบ้านป้าหลี่ก็ถูกเ้าตัวน้อยมากวนทันทีเลย”
ชวีเสี่ยวปอสามารถััได้ถึงความจนปัญญาของเซี่ยเจิงผ่านโทรศัพท์มือถือ และเขาเองก็ไม่ได้ผมยาวถึงขนาดของเซี่ยเจิง เมื่อจินตนาการถึงภาพที่ตัวเองถูดติดกิ๊บดอกไม้ไว้เต็มศีรษะ ชวีเสี่ยวปอก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที ทั้งยังหัวเราะขึ้นมาอย่างไร้ความปรานี
“พรุ่งนี้ฉันก็ไปโรงเรียนได้แล้ว” หลังจากหัวเราะเสร็จชวีเสี่ยวปอถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้พูดเข้าประเด็นสำคัญ เดิมทีเมื่อตอนสายที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันก็สามารถคุยเื่นี้ได้ แต่พวกเขาสนใจแต่เื่จูบ จึงทำให้ลืมเื่อื่นไปจนหมด
“คนขับรถไปส่งเหรอ? ” เซี่ยเจิงถามขึ้นมา
“เรียกรถแหละมั้ง” ชวีเสี่ยวปอตอบกลับไป
ผ่านไปประมาณห้านาที เซี่ยเจิงก็โทรแบบวิดีโอคอลมาหาเขา
“นายไม่ให้คนขับรถไปส่งเหรอ? ” เซี่ยเจิงที่อยู่ในหน้าจอยังคงติดกิ๊บดอกไม้เอาไว้อยู่เต็มศีรษะ บริเวณโดยรอบค่อนข้างมืด น่าจะกำลังอยู่ตรงลานบ้าน
“อืม” ชวีเสี่ยวปอยกยิ้มมุมปาก รู้สึกสนใจทรงผมของเซี่ยเจิงอย่างเห็นได้ชัด “คนขับรถของพ่อฉันยุ่งมากๆ เลย” อันที่จริงชวีเสี่ยวปอก็แค่ไม่อยากให้คนขับรถไปส่ง
“ให้ฉันไปรับนายเอาไหม? ” เซี่ยเจิงจับๆ ที่ผมจุกบนศีรษะของเขา “ฉันมีรถนะ”
“รถจักรยานคันนั้นของนายอะนะ” ชวีสี่ยวปอรีบแคปภาพหน้าจออย่างรวดเร็ว “แต่จากบ้านนายมาบ้านฉันมันไกลมากเลยนะ”
“ก็แค่ตื่นเร็วกว่าทุกทีสักครึ่งชั่วโมง” เซี่ยเจิงเหมือนว่าจะได้ยินเสียงแคปหน้าจอลางๆ “นายแคปหน้าจอเหรอ? ”
“อืม เตรียมเอารูปนี้ไว้ขู่นาย” ชวีเสี่ยวปอหัวเราขึ้นมาอย่างร้ายกาจ “งั้นพรุ่งนี้ฉันจะรอนายที่หน้าประตูหมู่บ้านนะ”