“แต่ข้าจะท้าประลองกับเ้า!”
สายตาของเสวียนเทียนเครียดขึงขึ้น ร้องท้าว่า “สามเดือนให้หลัง ในงานต่อสู้จัดอันดับครั้งใหญ่ของศิษย์นอกข้าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ทีละคนๆ แล้วสู้กับเ้า จางหลง...เ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่!?”
เสวียนเทียนชิงเอ่ยปากก่อนได้เปรียบยืดเวลาออกไปเป็สามเดือนให้หลังเวลานั้นประจวบเหมาะกับงานต่อสู้จัดอันดับครั้งใหญ่ของศิษย์นอกที่จัดขึ้นปีละครั้งเหมาะที่จะเป็ข้ออ้างให้ท้าสู้อย่างถูกต้องเป็ทางการภายในสามเดือนนี้จางหลงไม่มีหนทางมาสร้างความลำบากให้เขาได้
นาทีนี้ในลานกว้างศิษย์นอกมาชุมนุมกันได้ถึงเกือบพันคนเสวียนเทียนประกาศชัดว่าจะสู้กับจางหลงในงานต่อสู้จัดอันดับครั้งใหญ่ของศิษย์นอกจางหลงเป็ถึงศิษย์ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสิบ หนึ่งในสามอันดับแรกของศิษย์นอกฐานะไม่ธรรมดา หากในสามเดือนนี้ยังรังควานเสวียนเทียน นั่นย่อมใจคอคับแคบทำเหมือนนักเลงกระจอกอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นเมื่อตกอยู่ในสายตาของผู้คนจางหลงจึงจำยอมต้องตอบรับ
เมื่อโดนเสวียนเทียนชิงวางหมากต้อนจางหลงหางตากระตุกเล็กน้อย ตอบกลับเสียงเย็น “ดี ข้าจะรอเ้าเป็เวลาสามเดือน หวังว่าเ้าจะไม่แพ้ในงานต่อสู้จัดอันดับเร็วไปล่ะฮึ!”
พูดจบ จางหลงก็หันกายจากไป
ศิษย์นอกชั้นสูงทั้งหลายที่ตามจางหลงมาก็พากันจับจ้องอย่างมุ่งร้ายมาที่เสวียนเทียนคนละทีแล้วตามหลังจางหลงจากไป
จางหู่มือกำหมัด โบกใส่เสวียนเทียนอยู่พักหนึ่ง “หวงเทียน เ้ารอได้เลย ในงานต่อสู้จัดอันดับพี่ใหญ่ของข้าจะอัดเ้าให้ยับเป็หมาเลย!”
จางหลงมาเร็วไปก็เร็วไม่นานก็พาคนมากมายเ่าั้หายไปจากลานกว้าง
“เวลาแค่สามเดือน เ้าจะเป็คู่ประมือของศิษย์พี่จางหลงได้อย่างไร”
“ใช่แล้ว ศิษย์พี่จางหลงปีที่แล้วก็ได้เข้าเป็หนึ่งในสิบอันดับแรกแล้วตอนนี้ก็เป็หนึ่งในสามอันดับแรก นอกจากศิษย์พี่ไป๋กับเ้าโรคจิตนั่นในหมู่ศิษย์นอกก็ไม่มีใครเทียบเขาได้ ศิษย์พี่หวงเทียนแย่แน่แล้ว!”
“ถึงกับกล้านัดศิษย์พี่จางหลงในเวลาแค่สามเดือน ต่อให้ถึงเวลาจริงเขาจะแพ้ตกรอบการแข่งขันจัดอันดับไปแล้วศิษย์พี่จางหลงก็คงไม่ปล่อยเขาไป ต้องจัดการเขาบนเวทีประลองจนยับแน่”
...
พอจางหลงจากไปศิษย์นอกในลานกว้างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาสักพักสายตาก็เหลือบมาที่ตัวเสวียนเทียน
“พวกเราไปเถิด” เสวียนเทียนไม่สนใจฟังคำวิจารณ์ของบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายตบไหล่ของหลินตงพลางกล่าวขึ้น
หลินตงเดินตามหลังเสวียนเทียนออกมาจากลานกว้างพูดขึ้นว่า “ศิษย์พี่จางหลงร้ายกาจจริงๆเมื่อครู่ที่มองเขา ข้ารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ราวกับโดยูเาลูกหนึ่งกดทับไว้เลย”
เมื่อครู่หลินตงยืนอยู่ข้างเสวียนเทียนบรรยากาศกดดันของจางหลงแผ่พุ่งมาทางเสวียนเทียน หลินตงได้รับผลกระทบมากที่สุด
เสวียนเทียนกล่าวว่า “จิตดั่งกระจกใส รักษาจิตดั้งเดิม จิตถูกสิ่งภายนอกกระทบไม่เป็ผลดีต่อวิถีการฝึกฝนของเ้า”
หลินตงเหมือนจะเข้าใจขึ้นมา เขาตอบรับ “อืม ข้าจดจำไว้แล้ว ศิษย์พี่หวงเงินหนึ่งหมื่นตำลึงที่ข้าชนะมาจากศิษย์พี่หม่าหวง พวกเราแบ่งกันคนละครึ่งเถิดคนละห้าพันตำลึง”
หลินตงพูดพลางหยิบตั๋วเงินในอกเสื้อออกมา
“ไม่ต้องหรอก”
เสวียนเทียนโบกมือพลางกล่าว “่นี้พลังวัตรของข้าก้าวหน้าขึ้นต่อเนื่องสองชั้นสำนักให้รางวัลข้าเป็ยาพลังปราณจำนวนมาก ตอนนี้ข้าไม่ขาดแคลนยาพลังปราณเลย”
ทุกครั้งที่พลังวัตรเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้นสำนักจะมองรางวัลให้เป็ยาพลังปราณสิบเม็ด พลังวัตรของเสวียนเทียนจากชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่เลื่อนขึ้นมาสู่ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก ได้รับรางวัลเป็ “ยาเม็ดชุบร่างชั้นสูง” ยี่สิบเม็ด อย่างน้อยในสองเดือนนี้ก็ไม่ขาดแคลนยาพลังปราณสำหรับฝึกฝน
เมื่อก่อนพลังวัตรของเสวียนเทียนเพิ่มขึ้นช้าสาเหตุหลักอย่างหนึ่งก็เพราะขาดยาพลังปราณ ตระกูลหวงเพิ่งสร้างตัวขึ้นในเมืองเป่ยโม่กิจการของตระกูลกำลังอยู่ใน่ตั้งต้นเติบโตดังนั้นจึงไม่มีเงินเหลือพอให้ทายาทรุ่นหลังฝึกฝน
เสวียนเทียนนั้นพิเศษกว่าทายาทคนอื่นตระกูลจึงมอบค่าใช้จ่ายในการฝึกฝนให้เขามากกว่าหวงสือหนึ่งเท่าแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะพอให้มียาพลังปราณมาใช้ฝึกฝนทุกวันจนถึงปีนี้กิจการของตระกูลหวงค่อยๆ ใหญ่ขึ้น ได้เงินมามากขึ้นบ้างสถานการณ์จึงดีขึ้นตอนนี้เสวียนเทียนมีเงินให้ใช้จ่ายในการฝึกฝนเดือนละห้าพันตำลึงเงินซึ่งนับตามพลังวัตรของเสวียนเทียนในชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่บวกกับยาพลังปราณที่ได้รับแจกจากสำนักก็เพียงพอกับการฝึกฝนหนึ่งเดือนของเขา
เื่ที่เขาก้าวเข้าสู่ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกเมื่อไม่กี่วันมานี้ตระกูลหวงที่อยู่ในอำเภอเป่ยโม่ซึ่งห่างออกไปหลายพันลี้ยังไม่ทราบ ไม่เช่นนั้นเงินค่าใช้จ่ายที่มอบให้เขาฝึกฝนในแต่ละเดือนก็คงเพิ่มขึ้นอีก
เมื่อเสวียนเทียนไม่้าส่วนแบ่งหลินตงก็ลูบคลำศีรษะ พูดอย่างไม่สบายใจว่า “ศิษย์พี่หวง เงินหมื่นตำลึงนี้เพราะท่านเอาชนะศิษย์พี่หนิวถึงได้มาหากท่านไม่เอา ข้า...ข้าจะรับไว้ได้อย่างไร”
เสวียนเทียนบอก “พนันเป็เ้าลง ชนะได้เงินมา ย่อมต้องเป็ของเ้า ถ้าเ้ารู้สึกไม่ดีวันหลังถ้าข้าไม่อยู่ แล้วหวงสือเกิดขาดยาพลังปราณฝึกฝนขึ้นมาเ้าก็ให้เขายืมไปก่อนแล้วข้าค่อยเอามาคืนเ้า”
“อืม...ตกลง”
หลินตงผงกศีรษะรับ เก็บตั๋วเงินเข้าไปในอกเสื้อทันใดนั้นก็เอะใจขึ้นมา ถามขึ้น “ศิษย์พี่หวง ท่านจะไปที่ใดหรือ?”
เสวียนเทียนไม่ปิดบังรอยยิ้ม อมยิ้มพลางตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่ไป รอข้าลุถึงชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดข้าจะออกไปเก็บประสบการณ์ข้างนอก”
หลังขึ้นชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ด ร่างกายได้ฝึกฝนิักล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก และอวัยวะภายในแล้ว การฝึกฝนขั้นต่อไปต้องฝึกไขกระดูกฝึกเืและปราณ ต้องใช้ยาพลังปราณสองชนิด คือ ยาชะล้างกระดูกและยาควบปราณ
ยาชะล้างกระดูกและยาควบปราณแพงกว่ายาเม็ดชุบร่างอยู่มากโขยาชะล้างกระดูกและยาควบปราณชั้นล่างที่สุดยังต้องใช้เงินสามพันตำลึงต่อหนึ่งเม็ดเหมาะสำหรับการฝึกฝนของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดและแปดส่วนยาชั้นกลางต้องใช้เงินถึงหกพันตำลึงต่อหนึ่งเม็ดเหมาะกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเก้าและยาชั้นสูงต้องใช้เงินถึงเก้าพันตำลึงต่อหนึ่งเม็ดเหมาะกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสิบ
เมื่อฝึกถึงชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดเงินที่ต้องใช้ในการฝึกฝนนั้นมากกว่าเดิมอยู่มากนักหนึ่งเดือนต้องมีหกหมื่นตำลึงเงินเป็อย่างต่ำ
หากไม่ใช้ยาพลังปราณในการฝึกความเร็วในการฝึกฝนก็ช้าลงอย่างน้อยถึงห้าหกเท่าคนที่พร์ธรรมดาอาจช้าลงถึงสิบเท่า
ที่เขาว่ากันว่าั้แ่บัณฑิตจนถึงจอมยุทธ์มั่งคั่งคำว่า ‘มั่งคั่ง’ นี้คงไม่ใช่ ‘มั่งคั่ง’ ธรรมดา ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งจะฝึกฝนให้ถึงชั้นเบิกนภาเงินที่ต้องเสียไปอย่างน้อยก็ต้องมีหลายร้อยหมื่นตำลึง
ถ้าคนที่คุณสมบัติธรรมดาต่อให้ใช้ยาพลังปราณฝึกฝนก็ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะลุชั้นเบิกนภาอาจต้องใช้ถึงพันหมื่นตำลึง
เมื่อเสวียนเทียนกับหลินตงกลับมาถึงที่พักก็มีคนมารอเขาอยู่ในห้องนานแล้ว
ในห้อง นอกจากหวงสือที่ได้รับาเ็ยังมีเด็กหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่ง
“ศิษย์น้องหวงเทียน ข้ารอเ้าอยู่นานแล้ว” เสวียนเทียนก้าวเข้าห้องมาสายตาของเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ตวัดมองลงมาที่ตัวเขา น้ำเสียงมีความถือตัวแฝงอยู่
“ศิษย์พี่คือ...?” สายตาของเสวียนเทียนฉายแววถาม
เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มีพลังวัตรถึงชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเก้า ความสามารถมากกว่าเสวียนเทียนอยู่โขเสวียนเทียนแต่ไหนแต่ไรก็เก็บเนื้อเก็บตัว ตั้งใจฝึกฝนอย่างเดียวน้อยนักจะติดต่อกับคนอื่น นอกจากลูกศิษย์ที่เป็คนของตระกูลหนิวตระกูลจางและตระกูลเฉิงแล้ว ต่อให้เป็บุคคลในตำนานของหมู่ศิษย์นอกเขาก็ไม่รู้จัก
แน่นนอนว่ามีเพียงคนเดียวที่เป็ข้อยกเว้นมีคนผู้หนึ่งในหมู่ศิษย์นอกกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก ไม่มีใครไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งลูกศิษย์เข้าใหม่ ในเวลาไม่นานก็ต้องได้ยินข่าวคราวของบุคคลผู้นี้
แน่นอนว่าทุกคนแทบไม่รู้จักชื่อของคนผู้นั้นในคำเล่าลือดูเหมือนจะแซ่หยาง แต่เมื่อศิษย์นอกทุกคนพูดถึงเขา ล้วนเรียกเขาว่า ‘เ้าโรคจิต’
“พี่เทียน ผู้นี้คือศิษย์พี่อู๋เหลียว เขามาหาพี่” หวงสือพูดขึ้น
ศิษย์พี่อู๋เหลียวผู้นี้ดูเหมือนจะคุยกับหวงสือมาสักพักแล้ว
อู๋เหลียวกล่าวว่า “ศิษย์น้องหวงเทียน ได้ยินว่าเ้าไปผูกความแค้นล้ำลึกไว้กับจางหลงหรือ”
เสวียนเทียนในใจเหมือนจะลังเลหากคนผู้นี้ไม่ใช่ลูกน้องที่จางหลงส่งมาหาเื่เขาก็ต้องเป็ศัตรูของจางหลงที่คิดจะใช้ประโยชน์จากเขาต่อกรกับจางหลงเป็แน่
เสวียนเทียนยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “ศิษย์พี่อู๋เหลียวกล่าวเกินไปแล้วระหว่างข้ากับศิษย์พี่จางหลงมีความขัดแย้งเล็กน้อยก็จริง แต่ทุกคนก็เป็ศิษย์พี่ศิษย์น้องกันไหนเลยจะผูกแค้นกันลึกล้ำกัน”
อู๋เหลียวหัวเราะฮึๆ แล้วกล่าวต่อ “ข้าไม่ใช่คนของจางหลง ศิษย์น้องไม่ต้องกลัวไปสัญญาสามเดือนของเ้ากับจางหลง ตอนนี้ในหมู่ศิษย์นอกมีใครไม่รู้บ้างข้ารับคำสั่งศิษย์พี่หยางมาชี้ทางสว่างให้เ้า...”
เสวียนเทียนเลิกคิ้ว “ศิษย์พี่หยางหรือ”
หวงสือกับหลินตงก็หันไปสบตากันคราหนึ่งศิษย์พี่หยางที่สามารถงัดข้อกับจางหลงได้ นอกจากศิษย์พี่หยางหรือ ‘เ้าโรคจิต’ ผู้นั้นแล้ว คงเป็คนอื่นไปไม่ได้
“ไม่ผิด เป็ศิษย์พี่หยาง”
ได้ยินน้ำเสียงของเสวียนเทียนแฝงความประหลาดใจเห็นได้ชัดว่าเคยได้ยินชื่อเสียงของ ‘ศิษย์พี่หยาง’ มาก่อน อู๋เหลียวอดไม่ได้ที่จะยืดอกเชิดหน้าขึ้นไปอีกนิดเมื่อััได้ถึงความสำเร็จ เขาจึงกล่าวว่า “นอกจากศิษย์พี่หยางใครยังจะกดหัวจางหลงคนนั้นให้แน่นิ่งได้อีก ศิษย์น้องศิษย์พี่หยางเห็นว่าความสามารถของเ้าไม่เลว ไม่อยากเห็นเ้าถูกจางหลงข่มเหงดังนั้นจะรับเ้าเป็ลูกน้อง จากนี้ต่อไป...เ้าก็จะเป็คนของศิษย์พี่หยางต่อให้เป็จางหลงก็ทำอะไรเ้าไม่ได้...”
“ข้าไม่สน” เสวียนเทียนตอบกลับเสียงเย็นขัดอู๋เหลียวที่กำลังพูดอย่างออกรสออกชาติ
“เ้าพูดอะไรนะ”
อู๋เหลียวถูกขัดกลางคัน คิ้วขมวดฉับพลางพูดขึ้น “ศิษย์มากมายไหว้ขอพระขอเ้าให้ได้พบหน้าศิษย์พี่หยางสักครั้งขอร้องวิงวอนเข้าเป็ลูกน้องของศิษย์พี่หยาง ศิษย์พี่หยางอุตส่าห์ยอมรับเ้านี่นับเป็เกียรติของเ้า...แค่ทุกเดือนเ้าต้องส่งเงินสามพันตำลึงให้แก่ศิษย์พี่หยางศิษย์พี่หยางก็จะคุ้มหัวเ้าตลอดไป...”
“ข้าไม่สน!” เสวียนเทียนพูดเสียงเย็นย้ำอีกครั้ง
เสียงของอู๋เหลียวพลันเปลี่ยนเป็คุกคาม พูดขึ้น “เ้ากล้าปฏิเสธความหวังดีของศิษย์พี่หยาง!”
“ข้าไม่สน!” เสวียนเทียนพูดขึ้น “ข้าไม่้าให้ใครหน้าไหนมาคุ้มหัว”
“ฮึๆๆๆ...ฮึๆๆๆ”
อู๋เหลียวหัวเราะหยันขึ้นมา กล่าวว่า “ปากกล้านัก ข้าจะเอาคำพูดของเ้ากลับไปแจ้งศิษย์พี่หยาง ฮึ! ต้องมีสักวันเ้าจะต้องเสียใจกับสิ่งที่เ้าพูดในวันนี้! ข้าขอตัว!”
พูดจบ อู๋เหลียวก็สะบัดแขนเสื้อ เดินออกนอกห้องไป
“ข้าไม่ส่ง!”
ในใจของเสวียนเทียนหัวเราะเ็าในชาติก่อนตอนเรียนอยู่ ก็มีคนอยากรับเขาเป็ลูกน้อง ผลลัพธ์กลับซ้อมเขาเสียยับชาตินี้ในโลกที่นับพลังยุทธ์เป็ศักดิ์ศรี ก็มีคนคิดอยากรับเขาเป็ลูกน้องเฮอะๆ...ต่อให้เป็ ‘เ้าโรคจิต’ คนนั้นแล้วอย่างไร หากทำตัวต่ำช้ามา เขาจะอัดให้หมอบเหมือนกันหมด