เจินจูอาศัยความทรงจำจนหาห้องส้วมเจอ แต่ยังไม่ทันเข้าก็มีกลิ่นอันเป็เอกลักษณ์โชยมาเข้าจมูก เธอรีบย่นจมูก อดกลั้นหายใจและเอามือขึ้นมาปิดไม่ได้
ห้องส้วมบ้านของเธอกับครอบครัวชาวไร่ส่วนใหญ่ล้วนเหมือนกันหมด เป็เพิงที่ใช้กิ่งไม้ก่อสร้าง ด้านข้างมัดฟางข้าวเพื่อเอาไว้ใช้บดบังเล็กน้อย ด้านในมีหนึ่งหลุมและกระดานไม้สองชิ้นเพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็ห้องส้วมแล้ว
เจินจูกลั้นลมหายใจเอาไว้ แล้วถลาเข้าไปพยายามปลดทุกข์ในอึดใจเดียว
ทว่าน่าเสียดาย กว่าเจินจูจะจัดการปัญหาเสร็จ ก็ไม่รู้ว่าถูกบีบบังคับให้หายใจไปกี่เฮือกแล้ว ที่รัดเอวกางเกงของคนโบราณก็มิใช่ว่าจะรัดง่ายเลย
เธอเดินออกมาจากห้องส้วมด้วยใบหน้าเป็ทุกข์ ห้องส้วมชนบทนี้แย่เหลือเกิน ต่อไปหาเงินได้แล้วเื่แรกที่นางจะทำคือจะสร้างห้องส้วมที่สะอาดหมดจดสักห้องหนึ่ง
เมื่อเดินเข้ามาในลานบ้าน ตรงไปที่อ่างน้ำหน้าห้องครัว ใช้กระบวยตักน้ำล้างมือก่อนแล้วค่อยส่องเงาตนเองในอ่างน้ำตามปกติ ใช้กระบวยตักน้ำอีกสองกระบวยใส่ในอ่างไม้ พับแขนเสื้อโน้มตัวลงเริ่มทำการล้างหน้าและเลี่ยงาแด้วยความระวัง หลังจากล้างหน้าเสร็จค่อยบ้วนปาก เพียงเท่านี้ก็นับว่าจัดการสุขอนามัยส่วนบุคคลเรียบร้อยแล้ว
ยุคนี้ก็มีเกลือใช้ถูฟัน ล้างหน้า บ้วนปาก แล้วยังมีแปรงสีฟันใช้ถูฟันด้วย ทว่าคนชนบทใช้กันน้อยมาก สำหรับชาวไร่ชาวนาที่หันหน้าเข้าหาดินหันหลังให้ฟ้าแล้ว การจ่ายเงินซื้อแปรงสีฟันไม่สู้เก็บเงินไว้เยอะๆ เพื่อซื้อเสบียงอาหารให้คุ้มค่าเสียดีกว่า
เจินจูเกาศีรษะเบาๆ ที่จริงเธออยากสระผม
หูเจินจูในความทรงจำไม่อาบน้ำสระผมอย่างน้อยห้าหกวัน เธอทนรับสภาพนี้ไม่ได้อยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าเธอรักความสะอาด แต่ชีวิตเดิมเธอเป็คนทางใต้ เดิมทีเคยชินกับการอาบน้ำทุกวัน สระผมวันเว้นวัน ห้าหกวันไม่อาบไม่สระ สภาพเช่นนี้ปรับตัวให้ชินไม่ได้จริงๆ ยิ่งกว่านั้นตอนเธอกลิ้งตกจากเขาลงมา ฝุ่นละอองเปรอะเปื้อนไปทั่วร่างกาย รู้สึกว่าปัดผมแล้วมีเศษฝุ่นเล็กๆ ร่วงลงมาด้วย
“…”
ในใจเจินจูรู้สึกไม่มีทางเลือกอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้ร่างกายเธอยังาเ็อยู่ เธอเหลือบมองหลี่ซื่อที่กำลังยุ่งอยู่กับงานในครัว คาดว่าไม่มีทางให้เธออาบน้ำแน่
เธอคิดได้ดังนั้น จึงฉวยโอกาสเดินเข้าไปในครัว เอ่ยกับหลี่ซื่อว่า “ท่านแม่ มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”
หลี่ซื่อที่กำลังคนหม้ออาหาร หม้อนี้เป็อาหารที่ใช้รับประทานสำหรับหนึ่งวัน
หลี่ซื่อหันศีรษะมามองเธอ ในตาทอแสงความอ่อนโยน ระบายยิ้มบางๆ ชี้ไปทางโจ๊กผักกวางตุ้งสามถ้วยที่วางบนเตาดิน แล้วค่อยชี้ไปยังห้องโถงหลัก
เจินจูเห็นแล้วก็เข้าใจ ยิ้มแล้วตอบรับ “เช่นนั้นข้าเอาโจ๊กยกไปเลยนะเ้าคะ”
เธอหยิบถาดไม้ด้านข้างขึ้นมา นำถ้วยโจ๊กวางลงไป หลี่ซื่อก็ส่งจานผักดองมาอีก นี่คือปริมาณอาหารเช้าสำหรับสามคน
เจินจูประคองโจ๊กเดินเข้ามายังห้องโถงหลัก จัดการเอาอาหารวางบนโต๊ะให้เรียบร้อย แล้วหยัดกายขึ้นพิจารณาห้องอย่างละเอียด ห้องเก่าเรียบง่าย ตัวผนังสีขาวเทามีจุดดำลายพร้อยเล็กน้อย กระเบื้องมุงหลังคาส่วนใหญ่มีรอยแตกร้าว เนื่องจากขาดการซ่อมแซมมาหลายปี ยามฝนตกหนักในห้องมักจะมีน้ำฝนรั่วซึม ท่านพ่อหูฉางกุ้ยคิดมาตลอดว่าจะรื้อหลังคาทำใหม่ แต่ก็รวบรวมเงินไม่พอเสียที ด้วยเหตุนี้ความเสียหายจึงยังลากยาวมาจนถึงตอนนี้
“เฮ้อ…” เธอถอนลมหายใจเบาๆ บ้านนี้ยากจนเกินไปแล้ว พวกชาวไร่ชาวนาสมัยโบราณใช้ชีวิตไม่ง่ายเลยจริงๆ
ห้องโถงหลักของครอบครัวหูฉางกุ้ยมีเพียงสองห้อง ฝั่งตะวันออกเป็ห้องนอนของสองสามีภรรยา ฝั่งตะวันตกก็เป็ห้องเก็บของที่มีเนื้อที่เล็กมาก ส่วนผิงอันน้องชายคนเล็กยังนอนอยู่บนเตียงกับบิดามารดา
ครอบครัวหูมีเตียงขนาดใหญ่เพียงหนึ่งหลัง เมื่อเข้าฤดูหนาวทั้งครอบครัวรวมทั้งเจินจูล้วนอยู่บนเตียงสร้างไออุ่นข้ามผ่านฤดูหนาวด้วยกัน
สิ่งที่รู้อย่างแน่ชัดจากความทรงจำที่จำกัดของหูเจินจู หมู่บ้านนี้ชื่อว่าหมู่บ้านวั้งหลิน ตั้งชื่อตามต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุไม่กี่ร้อยปีซึ่งอยู่บนยอดเขาปากทางเข้าหมู่บ้าน
หมู่บ้านวั้งหลินตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งในภาคกลางค่อนไปทางเหนือ ล้อมรอบด้วยูเาสามด้าน ด้านหลังติดกับเทือกเขาไท่หางที่กว้างใหญ่ลึกลับและสลับซับซ้อน ป่าเขาที่อยู่ลึกเข้าไปมีต้นไม้โบราณสูงระฟ้า หมอกหนาล้อมรอบ สัตว์ปีกและสิงสาราสัตว์มากมายออกอาละวาด ชาวบ้านธรรมดาที่เข้าไปในป่าลึกแล้วจะมีชีวิตรอดออกมาได้มีเพียงไม่กี่คน ดีที่สัตว์ป่าดุร้ายเ่าั้อาศัยอยู่ในป่าเขาที่ลึกเข้าไป ป่าละแวกหมู่บ้านไม่มีอันตรายมากนัก นานๆ ทีจะมีกวางดุร้ายบุกเข้ามา ส่วนใหญ่จะถูกชาวบ้านไล่ไปหรือจับไว้
ในหมู่บ้านมีแม่น้ำสายเล็กไหลไปทางแม่น้ำต้าวันใหญ่นอกหมู่บ้าน หมู่บ้านวั้งหลินอุดมสมบูรณ์ไปด้วยูเาและแม่น้ำ แต่ส่วนใหญ่เจ็ดสิบถึงแปดสิบครอบครัวยังยากจนอยู่ สาเหตุหลักมาจากที่นาในหมู่บ้าน...นาลุ่มมาก นาดอนน้อย
ครอบครัวหูเจินจูมีเพียงนาลุ่มหนึ่งหมู่ [1] และนาดอนห้าหมู่ เนื่องจากผลผลิตธัญพืชสมัยโบราณมีไม่มาก และยังต้องเก็บธัญพืชส่วนหนึ่งไปจ่ายภาษี ดังนั้นธัญพืชที่ได้ทุกปีเลยมีน้อย ครอบครัวเธอจึงลำบากยากแค้นนัก หากบังเอิญ่เวลาเก็บเกี่ยวประจำปีไม่ดี ชีวิตความเป็อยู่จะยิ่งลำบากขึ้น
“การมีชีวิตที่ต้องขึ้นอยู่กับสภาพลมฟ้าอากาศก็เกินจะทนแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่ครอบครัวหนึ่งดูมีสีหน้าอดอยาก ต้องคิดหาวิธีปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น” เจินจูพึมพำไตร่ตรอง เธอลูบคางความคิดก็แวบเข้ามา
เจินจูมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง ลองเติมน้ำแร่ไม่กี่หยดลงในโจ๊ก พลางคิดเื่ที่จะทำไปด้วย ทันใดนั้นมีสายน้ำค่อยๆ ไหลรินออกมาตามปลายนิ้ว เจินจูยิ้มแย้มเบิกบานใจ หลังจากที่เติมครบทุกถ้วย เธอหยิบตะเกียบคนให้เข้ากันเบาๆ ครั้งหนึ่ง ดูร่องรอยไม่ออกจึงค่อยวางมือด้วยความพอใจ
หายใจออกเบาๆ เฮือกหนึ่ง และเริ่มมองหาน้องชายคนเล็กด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลาย เมื่อไม่พบเงาของผิงอัน จึงเดินไปเรียกหาที่หน้าประตูอยู่ครู่หนึ่ง
“ผิงอัน ผิงอัน ทานอาหารเช้าได้แล้ว”
“ท่านพี่ ข้าอยู่ในสวนผัก เดี๋ยวรีบไป” เสียงผิงอันสะท้อนมาจากด้านหลังลานบ้าน ข้างหลังห้องโถงหลักคือสวนผักของครอบครัวหู ปลูกผักอยู่ไม่กี่แถว
ทันทีที่คำพูดจบลง ผิงอันประคองถ้วยลายครามเนื้อหยาบมุมบิ่นวิ่งเข้ามา วิ่งไปพลางหัวเราะไปพลางกล่าว “ท่านพี่ ดูสิ”
ชูถ้วยดั่งของล้ำค่า เจินจูถือโอกาสมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทว่ากลับใจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มุมปากกระตุกขึ้นฉับพลัน เ้าเด็กดื้อนี่ หนอนใยผักสิบกว่าตัวในชามขยับขยุกขยิกไม่หยุด เธอเห็นแล้วหนังศีรษะชาดิก
“ฮ่าๆ…ท่านพี่ ท่านกลัวหนอนใยผักด้วยหรือ” ผิงอันเห็นเธอใถอยไปไม่กี่ก้าว อดหัวเราะทันทีมิได้
“… ไปล้างมือ แล้วมาทานข้าว” เจินจูทำหน้าขรึมแสร้งทำเป็กล่าวจริงจัง
“ฮิๆ…ข้าเอาหนอนไปเลี้ยงไก่ก่อน ไก่บ้านเราชอบกินหนอนเป็ที่สุด” ผิงอันมิได้หวาดกลัวนาง เขาวิ่งหนีไปด้วยเสียงหัวเราะฮิๆ
“เร็วๆ ล่ะ โจ๊กจะเย็นแล้ว เรียกท่านแม่มาด้วย” เธอหันไปทางผิงอันพลางกล่าวเร่งรัด
“เฮ้อ มาถึงแล้ว” ผิงอันนำหนอนใยผักโปรยไปทางฝูงไก่ ไก่สิบกว่าตัวต่างแข่งขันกันเข้ามารุมแย่งชิง ผิงอันมองแล้วตบมือดีใจ
“กินเถิด กินเถิด กินมากๆ แล้วออกไข่เยอะๆ”
“…”
เจินจูมองแล้วก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมา นึกถึงหลานชายในบ้านพี่สาว แม้นิสัยนับได้ว่าเฉลียวฉลาด เชื่อฟัง แต่ยุคปัจจุบันความผิดปกติของฮ่องเต้ตัวน้อย [2] ก็มีไม่น้อย ทั้งหยิ่งยโส เอาแต่ใจและเลือกกิน เด็กชายวัยเจ็ดแปดขวบยังต้องให้ผู้ใหญ่ไล่ตามป้อนข้าวทุกวัน ทางนี้ขาดสารอาหารมานานจนสีหน้าไม่ดี ส่วนทางนั้นกลับหยิ่งยโสเอาแต่ใจเลือกเฉพาะของดีกิน
เมื่อผิงอันล้างมือแล้ว ก็ะโไปทางครัว “ท่านแม่ ทานข้าวเช้าเถิด มิเช่นนั้นอาหารจะเย็นเอา”
หลังเห็นว่าหลี่ซื่อยื่นกายออกมาพยักหน้ากับเขาแล้ว จึงวิ่งะโโลดเต้นเข้ามาในห้อง
เจินจูเห็นดังนั้น รีบยิ้มและกล่าวถาม “ได้ล้างมือแล้วหรือยัง?”
ผิงอันพยักหน้าโดยไม่รอช้า “ล้างแล้ว อีกเดี๋ยวท่านแม่ก็มาแล้ว”
ขณะกล่าวก็แบมือเล็กๆ ให้เธอตรวจดู เจินจูกลั้นหัวเราะพยักหน้า
หลังจากหลี่ซื่อถือยาเข้ามา เจินจูก็ชำเลืองมองทันที เห็นยาสีดำสนิทหนึ่งถ้วยที่หลี่ซื่อวางไว้บนโต๊ะก็ย่นหัวคิ้วขึ้นมา ในเมื่อมีจิติญญาน้ำแร่แล้วเธอจึงตัดสินใจไม่ดื่มยาต้มสมุนไพรที่ขมจนลิ้นชาอีกต่อไป เธอพยายามไม่ทำสีหน้าให้มีพิรุธ ถือโจ๊กผักขึ้นมากินเงียบๆ
หลี่ซื่อคีบผักดองเค็มให้พี่น้องชายหญิงคนละสองครั้ง ตนเองจึงค่อยถือถ้วยขึ้นมา ทั้งสามคนไม่ได้พูดอะไรมาก กินโจ๊กกับผักดองจนหมดอย่างเงียบๆ
“ท่านแม่ เหมือนว่าโจ๊กของวันนี้จะอร่อยกว่าทุกวันเลย ท่านพี่ ท่านว่าใช่หรือไม่?” ผิงอันจุ๊ปากกับรสชาติที่ติดอยู่ปลายลิ้น
“ไม่แตกต่างจากปกตินะ เ้าคงหิวกระมัง” เธอเม้มปากยิ้มบางๆ
“ไม่ใช่เสียหน่อย อร่อยกว่าต่างหาก” เขาทำปากงอหน้าง้ำเป็เด็กๆ
เจินจูมองผิงอันแล้วหัวเราะ พยักหน้าตามคำพูดของเขา “อื้ม อร่อยกว่าปกตินิดหนึ่ง”
ผิงอันจึงยิ้มขึ้นได้
หลี่ซื่อมองสองพี่น้องหญิงชายที่รักใคร่ปรองดองกัน ในใจบังเกิดความสบายใจขึ้น
“ท่านแม่ ข้าไปขุดผักป่ากับเอ้อร์หนิวได้หรือไม่” ผิงอันหมุนศีรษะไปมองหลี่ซื่อด้วยความหวัง
หลี่ซื่อค่อนข้างลังเลใจ แม้ผิงอันมักจะขึ้นเขาไปขุดผักป่ากับเพื่อนบ่อยครั้ง แต่เมื่อวานเจินจูเพิ่งกลิ้งตกลงเขามา นางกังวลเล็กน้อย
หลี่ซื่อดึงมือผิงอันมา ชี้ไปทางาแบนหน้าผากเจินจู แล้วลูบคลำที่ศีรษะเขา
“ท่านแม่ ข้าไม่มีทางโง่เหมือนท่านพี่หรอก ข้าจะเดินอ้อมที่สูงและชัน” ผิงอันหันหน้าไปทางเจินจูแล้วทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตา หัวเราะแล้วกล่าวต่อ “ท่านแม่ ให้ข้าไปเถิด ข้าจะระมัดระวัง มิเช่นนั้นพรุ่งนี้จะไม่มีผักป่ากินแล้ว”
หลี่ซื่อมองผิงอันที่รู้จักคิดและขยัน รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจอย่างมาก นางตบมือของเขาแล้วจึงปล่อยไป
“ท่านแม่ เช่นนั้นข้าไปแล้ว จะกลับก่อนมื้อเที่ยง” ผิงอันรีบวิ่งออกไปด้วยความดีใจ
ประเภทผักป่าบริเวณรอบหมู่บ้านวั้งหลินมีมากมายหลากหลาย แต่ผักป่าส่วนใหญ่ล้วนมีรสขมฝาด คนอื่นทั่วไปไม่มีทางขุดมากิน ส่วนใหญ่จะขุดมาเลี้ยงหมูหรือเลี้ยงไก่ อีกอย่างทุกบ้านในหมู่บ้านล้วนมีสวนผัก นอกเสียจากบ้านไหนไม่มีเสบียงอาหารแล้วจริงๆ จึงจะขุดผักป่ามากิน
ทันทีที่ผิงอันจากไป หลี่ซื่อก็ดันยามาไว้ตรงหน้าเจินจู
เจินจูชะงักสีหน้า กล่าวอย่างสงบเยือกเย็นว่า “ท่านแม่ นี่เพิ่งจะกินอิ่มเอง ยายังร้อนมากอยู่เลย ข้านำยายกกลับไปในห้อง พักสักเดี๋ยวค่อยดื่มเถิด”
หลี่ซื่อพยักหน้าไม่ได้ระแวงอะไร สองมือทำท่าทางให้นางกลับห้องพักผ่อน
เจินจูมีสีหน้าโล่งใจ ยกถ้วยยาขึ้นกลับมายังห้องของเธอ หลังจากเอาถ้วยยาวางบนโต๊ะแล้ว ก็หันกายกลับไปชำเลืองมองหลี่ซื่อที่กำลังยุ่งอยู่กับงานในครัว เธอรีบนำผ้าห่มเปล่าๆ กองทับให้สูงขึ้น ให้ดูแล้วรู้สึกเหมือนมีคนเอนกายนอนหลับอยู่ หลังจากนั้นก็ยกถ้วยยาขึ้นหลบเข้ามุมกำแพงและปรากฏเข้าไปในมิติช่องว่าง
กลิ่นที่คุ้นเคยสูดเข้าไปในโพรงจมูก เจินจูยืนอยู่บนพื้นหญ้าสีม่วง เธอมิได้หยุดอยู่กับที่นานนัก เมื่อกวาดตามองคร่าวๆ แล้วสายตาก็หยุดอยู่ริมขอบที่นา “ในเมื่อเป็ไร่นาสมุนไพร เทเศษยาเล็กน้อยน่าจะไม่มีปัญหากระมัง?”
คำนึงถึงเวลาที่หลี่ซื่อจะเข้ามา เจินจูก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เมื่อเดินถึงริมขอบนาแล้วจึงเทยาลงไป มองดูยาสมุนไพรต้มสีดำไหลซึมเข้าไปในดินอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงรอยสีดำ ในใจปรากฏความรู้สึกผิดเล็กน้อย
แม้มิติช่องว่างนี้จะเล็ก แต่อบอวลไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติ บริสุทธิ์และสะอาดสดชื่น ทว่าเธอกลับเทถ้วยยาสมุนไพรต้มขมฝาดลงไปยังสถานที่ที่สวยงามเช่นนี้ เจินจูคิดอย่างหดหู่เล็กน้อย รสขมของยาจีนล่องลอยไปในอากาศจางๆ ไม่นานก็ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นหอมหวนอันเป็เอกลักษณ์ของหญ้าสงบจิต เธอยื่นจมูกออกมาดม ในอากาศไม่เหลือกลิ่นผิดปกติอยู่ จึงวางใจลงได้
เจินจูออกจากมิติช่องว่าง มองไปยังนอกประตูด้วยความระมัดระวัง เห็นหลี่ซื่อไม่ได้สนใจ จึงเอาถ้วยวางไว้อย่างดี แล้วแอบย่องกลับมานอน
เชิงอรรถ
[1] 亩: หมู่ หน่วยวัดขนาดพื้นที่ของจีน โดย 1 หมู่เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร และ 5 หมู่ 3333.35 ตารางเมตร
[2] ฮ่องเต้ตัวน้อย หมายถึง ลูกชายคนเดียวของครอบครัวที่มักถูกตามใจ