เ่ิูลองทุกวิถีทาง...นอกจากแสดงกระบวนยุทธ์เทพราชันเกราะทองแล้ว ก็ไม่มีหนทางที่จะหนีจังหวะประเดประดังของชายกลางคนได้เลย เมื่อบุรุษคนนั้นเลิกลงมือ หัวเราะพึงพอใจแล้วเดินกลับไป ร่างกายของเ่ิูก็บวมปูดั้แ่หัวจรดเท้า อเนจอนาถกว่าเมื่อวานจนเทียบไม่ติด
ปึง!
ประตูใหญ่สีดำปิดสนิท
ในหอเล็กๆ ก็มีแต่เ่ิูที่กำลังขบฟันร้าวรานอยู่เพียงผู้เดียว
“ฟู่...ผู้าุโ...ลงมือหนักจริงนะ...” เ่ิูมองสภาพร่างกายตัวเอง รู้สึกว่าการหาเื่ทรมานตัวเองเช่นนี้ไม่ต่างกับเป็โรคประสาทเท่าไหร่ ทว่าก็ยัง้ายืนยันให้แน่ใจ ว่าการตัดสินของเขาเมื่อวานเป็ความคิดที่ผิดหรือไม่
เขานั่งสมาธิ กระตุ้นพลังภายในเพื่อเริ่มรักษา
โลกตันเถียนนั้น น้ำในน้ำพุเจริญงอกงาม แปรเป็พลังภายในทะลักนองไปทั่วร่างเด็กหนุ่ม ให้ความชุ่มชื้นแก่เืเนื้อและกระดูก ทุกที่ที่มันแล่นผ่าน รอยบวมแดงจะค่อยๆ จางหาย
เ่ิูต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มถึงจะรักษารอยให้หมดจดลงได้
เขายืนขึ้นเชื่องช้า รับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและพลังภายในตัวเอง
ยินดีปรีดา คืออารมณ์เดียวที่เผยอยู่บนใบหน้าเ่ิู
“ถูกต้องแล้ว เมื่อวานข้าไม่ได้คิดผิด พลังภายในและความประสานสอดคล้องของร่างกายข้า สมบูรณ์แบบขึ้นมาทุกที รอยบวมที่ผู้ชายคนนั้นละเลงลงมาบนตัวข้า ไม่ใช่เื่เล่นๆ เลย!”
เ่ิูค่อยๆ ตัดสินในใจได้
บุรุษวัยกลางคนสูงผอมคนนั้นถึงจะดูโหดร้ายทารุณ แต่นับั้แ่พบเจอกันมา เด็กหนุ่มไม่เคยรู้สึกถึงจิตสังหารจากเขาเลยสักครั้ง พลังระดับนั้นถึงภายนอกจะดูแข็งแกร่งเหลือหลาย กระทั่งเกราะที่เขาว่าแข็งเหมือนเหล็กหินก็ยังยากจะขวางหน้าได้ ทว่าเมื่อตกลงบนกายเขา กลับเป็แค่รอยบวมแดงเป่งขึ้นมาเท่านั้นเอง...
จากเมื่อวานเป็ต้นมา เ่ิูก็ชักระแคะระคายว่าชายคนนั้นจะเป็มิตรมิใช่ศัตรู
บัดนี้มั่นใจกว่าเดิมแล้ว
เ่ิูตัดสินเรียบร้อยว่าเขาคนนั้น้าช่วยเหลือ ใช้วิธีการแปลกประหลาดเข้าเคาะ กดและจู่โจมส่วนที่อุดตันหรือคล้ำหมองในร่างของเขา
และที่เ่าั้ เ่ิูก็คิดมาแล้วว่า น่าจะเป็จุดที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนตอนเขาอยู่ขั้นอาณาพิภพ ยังไงเด็กหนุ่มก็เพิ่งใช้เวลาไปไม่ถึงสามเดือนดีด้วยซ้ำ ก็สามารถสำเร็จอาณาพิภพที่นักเรียนคนอื่นต้องใช้เวลาหนึ่งปีในการได้มันมา แม้จะแน่นอนว่าพร์และวิชายุทธ์เป็เลิศ ทว่าก็ยากจะหลีกเลี่ยงความเลินเล่อ
สภาพการณ์แบบนี้ใช่ว่าจะเกิดแค่กับเ่ิูเพียงผู้เดียว
โดยทั่วไปก็กล่าวกันได้ว่า นักยุทธ์เมื่ออยู่ในอาณาพิภพ เกือบทั้งหมดไม่อาจฝึกฝนทุกส่วนของร่างกายให้ถึงที่สุดได้ มักเหลือจุดตายไว้ ที่ๆ มัจจุราชจะฉกพาไปได้ ไม่อาจลับให้แหลมคม มัวรอจนบรรลุเข้าอาณาน้ำพุิญญา ได้พลังภายในเนื้อฟ้า ก็ต้องมาเสียเวลาหลายสิบปีเพื่อจะฝึกฝนเปลี่ยนสภาพจุดตายเหล่านี้
วิชาดัชนีของชายผอมสูงคนนั้นลึกลับนัก และการสังเกตของเขาก็แหลมคมยิ่ง แค่มองแวบเดียวก็รู้ได้เลยว่ามีจุดที่เ่ิูยังขับเคี่ยวไม่ถึงที่สุด และใช้พลังของเขากดมันลงไป
นี่อาจเรียกได้ว่าเป็การช่วยเหลือแนะนำเ่ิู
จะมีปัญหาก็แค่กรรมวิธีที่หยาบโลนไปเสียหน่อย วิชาดัชนีทำให้เขาเ็ปนัก มากจนร่ำไห้เหมือนเสียงหมาป่าหอน
“ผู้าุโเหมือนจะไม่ค่อยชอบข้าเท่าไรนัก แล้วไฉนถึงช่วยข้าล่ะ?” เ่ิูฉงนนัก ไม่อาจหาคำตอบได้ในข้อนี้
...
หลายวันต่อมา เื่เดิมๆ ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
ทุกวี่ทุกวัน บุรุษร่างผอมสูงจะมาพร้อมกับอาหาร และทุกครั้งอีกเช่นกันที่เขาจะจู่โจมเ่ิูจนอ่วม ร่างกายเปี่ยมเต็มด้วยรอยบวมเหมือนจะตีเด็กหนุ่มให้ตายคามือ
และเ่ิูก็ไม่อาจตอบโต้ เพียงยอมรับกระบวนการนี้อย่างโศกเศร้า
หลายครั้งเหลือเกิน ที่ปากเสียๆ ของเด็กหนุ่มเริ่มทำงาน เขาทนไม่ไหวและยั่วยุชายกลางคนในไม่กี่ประโยค ผลก็คือเกือบถูกอีกฝ่ายเลาะฟันออกอยู่รอมร่อ เ่ิูจึงตัดสินใจจะตรงไปตรงมามากขึ้นนับแต่นั้น
ทุกคราวที่เ่ิูถูกจู่โจม เขาจะกระตุ้นพลังภายในให้รักษาาแ ใช้เวลาอันมีค่าจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้น เขาก็พบว่าร่างกายของตนสมบูรณ์แบบขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีรอยขีดข่วนหลงเหลือ สิ่งอุดตันที่บดบังมิให้พลังภายในกล้ำกรายน้อยลง...น้อยลงทุกที
เคยมีปรมาจารย์แห่งอักขระเปรียบเปรยว่าพลังภายในเป็ดั่งสายน้ำกระเพื่อมไหว และร่างกายมนุษย์คือเส้นทางที่แม่น้ำไหลผ่าน ยิ่งหินขรุขระและทรายกีดขวางน้อยลงเท่าไร น้ำก็จะไหลแรงและกว้างมากขึ้นเท่านั้น
เ่ิูพบว่าหลังจากเขาถูกซ้อมจนหนำใจแล้ว ความสกปรกและสิ่งอุดตันในร่างมีแต่จะน้อยลงเรื่อยๆ พลังภายในเคลื่อนผ่านเส้นเืและกล้ามเนื้อ ไม่มีสิ่งกีดขวางอีกต่อไป สามารถสร้างพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกได้
วันแบบนี้ดำเนินต่อมาเรื่อยๆ
วันนี้
เป็วันกักตัววันสุดท้ายของเ่ิู
เมื่อแสงอรุโณทัยสาดถึงมุมตะวันตกเฉียงเหนือของผนัง คือยามแรกที่การกักตัวของเ่ิูสิ้นสุดลงอย่างแท้จริง
เขาถูกกักขังเป็เวลาสามเดือนในสถานที่โดดเดี่ยวและแปลกประหลาด มองเห็นได้เพียงฝาผนังดำมืดและท้องฟ้าสีคราม นอกจากสองอย่างนี้แล้ว สีสันอื่นน้อยเหลือเกินที่จะผ่านหูผ่านตา ถึงแม้เ่ิูจะคุ้นชินกับการอยู่ตัวคนเดียวมาเนิ่นนานแล้ว ก็ยังรู้สึกเบื่อหน่ายและไร้เรี่ยวแรงพอถูกกักอยู่ที่นี่มานาน
วันนี้ เ่ิูไม่ฝึกฝนต่อแต่อย่างใด
เขานั่งขัดสมาธิ คิดถึงเื่ที่จะทำต่อไปเมื่อออกจากที่แห่งนี้แล้ว ณ บัดนี้เขาได้เหยียบเข้าอาณาน้ำพุิญญาอย่างเต็มคราบ และอาจเรียกได้ว่าเป็ขั้นผู้เชี่ยวชาญเล็กๆ เสียด้วย ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวหัวหดไปทุกอย่างอีกแล้ว
โดยเฉพาะเื่ที่เขาคั่งค้างไว้ ต้องสะสางให้สำเร็จโดยเร็ว
สิ่งที่ตระกูลเย่สูญเสียไปในสี่ปีนี้ เขาจะทวงคืนมันมาทีละเล็กละน้อยให้หมด
กระบี่ประจำตระกูล ทรัพย์สินเงินทอง คฤหาสน์ตระกูลเย่...สามสิ่งนี้ไม่ได้มีค่าอะไรมากมายต่อเ่ิูในตอนนี้ แต่เด็กหนุ่มรู้ว่าอย่างไรก็ต้องทวงคืนมันมา
นี่มิได้เกี่ยวกับผลประโยชน์
มันเกี่ยวกับเกียรติยศ...และความรู้สึก
ทว่ามีแต่ศิษย์ปีสองเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ออกนอกสำนักกวางขาวได้ตามใจ้า นักเรียนปีหนึ่งยังอยู่ใน่ที่ถูกควบคุมเบ็ดเสร็จ และห้ามออกจากสำนัก...อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดที่เ่ิูต้องทำเพื่อจะออกไปให้ได้คือต้องเลื่อนชั้นปี!
เลื่อนชั้นเท่านั้น!
รีบร่ำเรียนวิชาของปีหนึ่งให้เสร็จสิ้นเสียแล้วเข้าปีสอง
เื่นี้สำหรับเ่ิูแล้วมิใช่ปัญหายากเย็นเลย พลังของเขามากพออย่างแน่นอน เพียง้าเข้าทดสอบไม่กี่อย่างให้ผ่านเท่านั้น ก็สำเร็จวิชาแล้ว
นอกจากนี้แล้ว ยังมีเื่สำคัญอีกเื่หนึ่ง เช่นหาศาสตราวุธิญญาที่เหมาะสมกับตัวเอง ดูดซับเข้าไปในน้ำพุโลกตันเถียน บ่มเพาะให้ความชุ่มชื้น กลายเป็ทหาริญญาประจำตัว หอกไน่เหอแม้จะเรี่ยวแรงเข่นฆ่ามหาศาล แต่ไม่ใช่ศาสตราวุธิญญา...
แสงอาทิตย์ไม่ร้อนแรงเท่าเดือนที่ผ่านมา
ผมดำหนางามของเ่ิู ทอดยาวตามแนวแผ่นหลังราวสายน้ำตกจรดพื้น กล้ามเนื้อแข็งแรงสมส่วนเปี่ยมเต็มด้วยความงามสมชายชาตรี พลังอันแปลกประหลาดล้อมรอบกายเขาไว้ทั่ว
ที่น่าแปลกคือ วันนี้จวบจนดวงตะวันลาลับไปในขุนเขา ชายกลางคนผอมสูงคนนั้นก็ไม่โผล่หน้ามา
อาจารย์คุมกฎคนใหม่ที่มาส่งข้าวเสมือนเป็ใบ้ ไม่ว่าเ่ิูจะถามอะไร เขาก็ทำแค่ส่ายหน้าไม่พูด
ที่จริงวันนี้เ่ิูก็อยากฝืนปากเสียๆ ของตัวเองให้นิ่งแล้วขอบคุณชายแปลกคนนั้นนะ ดูท่าจะไม่มีโอกาสเสียชั่วคราวแล้วกระมัง
รัตติกาลเงียบงัน
เ่ิูนอนอยู่บนพื้นดำที่ความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ยังคงอยู่ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า
ดาวมากมายประดับห้วงนภา เหมือนอัญมณีฝังอยู่บนอากาศสีดำสนิท ทิวทัศน์อันคุ้นตา เ่ิูราวกับมองเห็นภาพใบหน้าแสนคุ้นเคย อ่อนโยนและเมตตาของบิดามารดา...
ไม่รู้ยามใด ที่น้ำตาพรั่งพรูออกมาจากดวงหน้านั้น
ความทรงจำที่ไม่น่าจดจำ หวนกลับมาให้เ็ปอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านอยู่ในอ้อมกอดของดวงดาว...สบายดีไหมขอรับ? ลูกชายพวกท่านโตแล้วนะ ลูกเป็ยอดฝีมือระดับอาณาน้ำพุิญญาแล้วนะขอรับ...ท่านพ่อ ท่านวางใจเถอะ ลูกจักจำคำท่านไว้ จักไปยังราชสำนักเสวี่ย ค้นหาความลับที่ท่านทิ้งไว้ให้จงได้...”
“ไม่ว่ามันเป็ใคร ไม่ว่าใครที่ใช้อำนาจก่อโศกนาฏกรรมคราวนั้น ขอเพียงข้าสืบหามัน มันที่ทำให้พวกท่านถูกฆ่าได้ ข้าสาบาน ข้าจะให้พวกมันชดใช้ด้วยชีวิต!”
เ่ิูพูดอยู่คนเดียว
ไม่รู้เพราะเหตุใด ราตรีนี้เขาถึงไม่มีกะจิตกะใจจะฝึกเลย อยากนอนนิ่งๆ แบบนี้ มองท้องนภาและดารา พูดคุยคนเดียว ราวกับว่าเวลาหมุนเวียนกลับไปถึงคืนวันอันแสนสุขนั้นอีกครั้ง วันที่เขานอนพิงเก้าอี้ดูดาวบนท้องฟ้ากับพวกท่านทั้งสอง...
ไม่รู้ว่าเมื่อไร ที่เขาหลับใหล
เ่ิูไม่เคยอยากให้ชีวิตของเขาจมปลักอยู่กับการแก้แค้น ไม่เคยอยากให้ความแค้นถมทับชีวิตและความระยิบระยับอื่น สี่ปีผันผ่านไป เขาเคยคิดว่าตนได้บรรเทาความแค้นลงมากแล้ว...
ทว่าวินาทีนี้ ขณะนี้ เขาเข้าใจแล้วว่า ความเคียดแค้น มิใช่สิ่งที่ปล่อยวางได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
...
เช้าตรู่ของวันที่เก้าสิบเอ็ด เส้นแสงสีทองสาดส่องบนหอพิจารณ์สีดำ
อาจารย์คุมกฎสองท่านเปิดกระบวนอักขระบนประตู
“ถึงเวลาแล้ว มาเถอะ”
เ่ิูพยักหน้า
เขาเก็บข้าวของตัวเองเสร็จนานแล้ว รีบก้าวฉับไวไปยังบานประตู
เดินไปสองสามก้าวก็นึกอะไรออก เด็กหนุ่มมองผนังข้างห้อง ก่อนะโเสียงดัง “เฮ้ย ข้าไปแล้วนะ ไม่รู้เ้ายังอยู่ที่ห้องข้างๆ หรือเปล่า ถ้าเกิดได้ยินข้าล่ะก็ จำไว้นะ ถ้าออกมาเมื่อไร ข้าเลี้ยงเหล้าเ้าเอง!”
ประโยคนี้เขาพูดให้เพื่อนบ้านลึกลับนั่นฟัง
เอ่ยจบแล้ว เ่ิูก็ก้าวยาวๆ ออกไปจากหอพิจารณ์
...
“เลี้ยงเหล้าข้าหรือ? ฮะๆ หนุ่มน้อยนี่ช่างน่าสนใจเกินไปแล้ว...”
ัเีนั่งอยู่ในห้องอย่างนิ่งสนิท
การกักตัวเขายังไม่ถึงเวลาปล่อยตัว และยังเหลือเวลาอีกไม่ใช่น้อยๆ ด้วย
ทว่าเขาหาได้ร้อนใจแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มมองพระอาทิตย์แดงฉานที่ค่อยๆ เคลื่อนคล้อยอย่างแช่มช้า หรี่ตาลงเล็กน้อย เหมือนจะคิดขึ้นมาได้ เขาถอนหายใจเปลาะหนึ่ง “ร่ำสุรามันดีแน่อยู่แล้ว แต่ว่า คืนวันงดงามที่จะได้นั่งซดเหล้าสบายอารมณ์ คงใกล้หมดลงแล้วล่ะนะ...”