หยางเฉินเดินกลับมาที่นั่งบริเวณชั้นธุรกิจเพื่อพักผ่อนครึ่งชั่วโมงที่เขาได้บรรเลงจังหวะรักกับอันซิน ทำให้เขาพึงพอใจเป็อย่างมากแม้จะเป็พื้นที่เล็กๆ อย่างห้องน้ำแต่เขาก็ทำมันอย่างจริงจังและสนุกไปกับท่ายืนเกือบตลอดเวลาและนั้นทำให้เขาปวดเอวอยู่พอสมควร
แต่ในเวลานี้มีสายตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความเ็าจ้องเขม็งมาที่เขา
หยางเฉินรู้สึกเสียวสันหลังไปวาบขึ้นมาทันทีเขาเงยหน้าขึ้นและเริ่มมองหาต้นต่อและก็พบกับสายตาของโม่เชี่ยนนีที่จ้องมาทางเขาอย่างจะกินเืกินเนื้อ หยางเฉินยิ้มอย่างอายๆและขยับก้นนั่งอยู่กับที่เหมือนโดนเข็มหมุดปักไว้
ใน่เวลาที่เหลือของการเดินทางนี้เต็มไปด้วยความสงบสุขตลอด่เที่ยง เครื่องบินลงจอดที่สนามบินฮ่องกงผู้โดยสารชั้นธุรกิจลงจากเครื่องเป็กลุ่มแรก
เมื่อเดินออกมาจากห้องโดยสารอันซินที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเหมือนกับครั้งแรก ส่งยิ้มหวานให้กับหยางเฉินความไม่เต็มใจปรากฏชัดในดวงตาของเธอ เธอจึงแอบส่งจูบให้กับหยางเฉินอย่างลับๆ หยางเฉินเห็นดังนั้นก็กลืนน้ำลายลงคอดังอึกเขาบอกได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็ิญญาจิ้งจอกสาวกลับชาติมาเกิดอย่างแน่นอน
โม่เชี่ยนนีมองการกระทำเ่าั้ด้วยสีหน้าเยาะเย้ยเธอก้าวยาวๆ ออกมาจากห้องโดยสาร ราวกับเธอไม่สามารถร่วมเดินทางไปกับหยางเฉินได้อีกหยางเฉินขยิบตาให้อันซิน จากนั้นรีบเดินตามโม่เชี่ยนนีและอู๋เต๋าให้ทัน
“เฮ้ คุณโม่เกิดอะไรขึ้นกับคุณเนี่ย ผมไปล่วงเกินอะไรคุณอีกแล้วเหรอ?” ด้วยความงงงวยหยางเฉินถามเสียงเบาออกไป
โม่เชี่ยนนีหัวเราะเยาะ “ท่าทางรสชาติพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินคงจะดีไม่ใช่น้อยเลยใช่มั้ยล่ะ?”
หยางเฉินอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร “คุณรู้ได้ยังไง?”
เมื่อเห็นเขายอมรับมันอย่างเปิดเผยโม่เชี่ยนนีก็กลับมาโมโหอีกครั้งกับความไร้ยางอายเกินไปของผู้ชายคนนี้
“ฉันรู้ได้ยังไงงั้นเหรอเมื่อทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัยกันหมดแล้ว นายเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วยัยพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก็เดินไปเข้าห้องน้ำเช่นกัน พวกนาย 2 คนหายกันไปเป็ชั่วโมงก่อนจะกลับออกมา นายคิดว่าฉันโง่หรือไง?”
เมื่อมองไปที่สายตากรุ่นโกรธของโม่เชี่ยนนีความคิดของหยางเฉินเริ่มแล่นไปมาอย่างว่องไวสนุกสนาน
“นี่มันไม่ใช่ว่าหัวหน้าแผนกโม่กำลังหึงอยู่ใช่มั้ยครับ?”
“หะ… หึง” โม่เชี่ยนนีหน้าแดงขึ้นมาและปฏิเสธในทันที“ฉันหึงนาย? อย่าประเมินตัวเองสูงไปนักฉันแค่รู้สึกเสียใจแทนรั่วซี ที่เธอมีสามีที่ไร้ยางอายและหมกมุ่นอย่างนายมันเป็เื่เศร้าที่เธอต้องใช้เวลาที่เหลือกับผู้ชายแบบนาย”
ทั้งคู่เดินพูดคุยตลอดทางเดินไปยังทางออกของสนามบินมีผู้โดยสารหลายคนที่พูดคุยด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถฟังบทสนทนาของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
หยางเฉินหัวเราะกล่าวว่า “คุณไม่ใช่ผมหรือรั่วซีสักหน่อยแล้วคุณจะรู้ได้ไงว่าพวกเราสองคน้าใช้เวลาที่เหลืออยู่ด้วยกัน?”
“อะไร? นี่หมายความว่านาย้าหย่ากับรั่วซีและไปหานังจิ้งจอกนั่นใช่มั้ย?” โม่เชี่ยนนีถามขึ้นอย่างโกรธเคือง
“เฮ้ ทำไมคุณดูร้อนตัวนักล่ะ?ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ ถึงผมกับรั่วซีจะหย่ากันจริงแต่นั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลยนี่นา ผมแค่พูดเล่นเฉยๆ” หยางเฉินไม่คิดว่าโม่เชี่ยนนีจะมีปฏิกิริยาตอบกลับมากขนาดนี้
โม่เชี่ยนนีมองตรงมาที่หยางเฉิน “หยางเฉินฉันจะบอกอะไรนายไว้อย่างหนึ่ง ถ้านายทำร้ายรั่วซีให้เ็ปล่ะก็ฉันไม่ยอมให้นายตายดีแน่”
เมื่อมองไปดวงตาคู่สวยที่อัดแน่นไปด้วยความ้าสังหารแล้วหยางเฉินก็โบกมือพร้อมยิ้มกล่าวว่า
“จะเป็งั้นได้ไง? ผมรักเธออย่างหมดหัวใจ และผมจะทำร้ายเธอได้อย่างไร?”
“เป็อย่างงั้นก็ดี” โม่เชี่ยนนีพูด
“รั่วซีเป็คนประเภทที่ถ้าได้ตัดสินใจไปแล้วจะไม่มีทางหันหลังกลับมา ถ้าเธอเลือกที่จะแต่งงานกับนายแล้วเธอจะไม่มีทางเปลี่ยนความคิดแน่นอน หากนายยังกล้าทิ้งเธอไปหาผู้หญิงคนอื่น...แม้ว่านี่จะเพื่อซีอีโอคนก่อน แต่ฉันก็จะทำให้ชีวิตนายที่เหลือ ''อยู่ไม่สู้ตาย'' แน่นอน”
คำพูดของโม่เชี่ยนนีแฝงด้วยอำมหิตอย่างไม่น่าเชื่อสายตาแหลมคมของเธอที่เติมแต่งไปด้วยความจริงจังนั่นทำให้หยางเฉินรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที
อย่างไรก็ตาม ั้แ่ต้นจนจบโม่เชี่ยนนีไม่ได้บอกห้ามไม่ให้หยางเฉินมีคนอื่นเธอแค่บอกว่าเขาไม่สามารถทำร้ายรั่วซีได้ความหมายที่อยู่ในคำพูดของเธอค่อนข้างลึกซึ้ง
พวกเขาเดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปที่ทางออกและบริเวณประตูทางออก ทั้งสี่เห็นคนหลายคนชูป้ายที่มีคำว่า ''อวี้เหล่ย'' และ''ฉางหลิน'' เขียนไว้ มีชายใส่สูทผูกไท หน้าตาหล่อเหลาหลายคนยืนรอพวกเขาอยู่
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปใกล้พวกเขาสังเกตเห็นชายอายุน้อยคนหนึ่ง สวมชุดสูทสีน้ำเงินกรมท่า ผูกเนกไทสีแดงเขามีใบหน้าหล่อเหลาหมดจด สูงราวๆ 180 เิเ กำลังต้อนรับคนทั้งสี่ด้วยรอยยิ้มสดใสเห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้เป็หัวหน้าของกลุ่มนี้ที่บริษัทมู่หยุนมอบหมายให้มารับพวกเขา
“พวกเรากำลังมองหาคุณอยู่พอดีผมเป็รองประธานของบริษัท มู่หยุนคอร์ปอเรชั่น ชื่อหลี่มู่หัว พ่อของผมคุณหลี่เต๋อเซินไม่สามารถเดินทางมาที่นี่ได้เนื่องจากอาการล้มป่วยดังนั้นผมจึงมาต้อนรับพวกคุณในนามของท่านและกล่าวคำขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย”
หลี่มู่หัวจับมือทักทายกับอู๋เต๋าด้วยรอยยิ้มจากนั้นจับมือทักทายกับหยางเฉินและโม่เชี่ยนนี เลขาของอู๋เต๋าถูกมองข้ามไปแสดงให้เห็นถึงวิจารณญาณในการระบุความสำคัญค่อนข้างชัดเจน
อู๋เต๋ายิ้มอย่างสุภาพพร้อมกล่าวว่า “ไม่คิดว่าทายาทตระกูลหลี่อย่างคุณจะเป็ผู้มาต้อนรับเราด้วยตนเองผมรู้สึกเป็เกียรติอย่างมาก”
“ดิฉันก็ไม่คิดว่าจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นเช่นนี้ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้พวกคุณรอ” โม่เชี่ยนนีกล่าวขอโทษ
หลี่มู่หัวรีบแสดงท่าทีว่าไม่เป็ไรพร้อมกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็วว่า
“จากข้อมูลที่ทางเราได้รับมาคุณต้องเป็คุณโม่ใช่มั้ยครับ คุณโม่อย่าได้กังวลไปเลยบริษัทของคุณเป็บริษัทแฟชั่น เราเข้าใจเป็อย่างดี”
หลี่มู่หัวดูอัธยาศัยดีเป็อย่างมากหลังจากทำความรู้จักกันคร่าวๆ แล้ว เขาก็พาคนทั้งสี่ออกจากสนามบินแล้วนำพวกเขาทั้งหมดขึ้นรถ BMWซีรีส์ 7 ที่หรูหราอลังการ
รถขับออกไปอย่างราบรื่นหลี่มู่หัวเสิร์ฟไวน์แดงที่ถูกแช่เอาไว้ในตู้เย็นบนรถให้ทั้งสี่คนได้ลิ้มลอง
หลี่มู่หัวไม่มีความเย่อหยิ่งที่ควรจะมีในเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีอิทธิพลไม่มีเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้คนทั้งสี่รู้สึกสบายใจเป็พิเศษ แม้แต่ตัวหยางเฉินเองก็รู้สึกมีชีวิตชีวาไม่ต่างกัน
“พวกคุณทั้ง 4 เคยมาฮ่องกงมาก่อนมั้ยครับ?” หลี่มู่หัวถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
นี้เป็ครั้งแรกที่อู๋เต๋าและเลขาของเขามาที่ฮ่องกงในขณะที่โม่เชี่ยนนีเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง จริงๆ แล้วหยางเฉินเคยมาหลายครั้งแล้วเนื่องจากฮ่องกงเป็ศูนย์กลางทางการเงินมีคนรวยและข้าราชการระดับสูงจำนวนมากปรากฏตัวที่นี่ในอดีตเขามักต้องมาที่นี่เพื่อแก้ไขปัญหาบางอย่าง แต่มันก็ยากที่จะอธิบายดังนั้นเขาจึงพูดได้แค่เพียงว่า
“ผมไม่เคยมาที่นี่มาก่อน”
หลี่มู่หัวยิ้มอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวว่า
“งั้นดีเลยตอนนี้คุณอยู่ในฮ่องกงแล้วดังนั้นให้ตระกูลหลี่ของพวกเราต้อนรับพวกคุณในฐานะเ้าบ้านพวกเราสามารถพูดคุยเื่ธุรกิจได้ในเวลางานแต่เวลาส่วนตัวแน่นอนว่าพวกเราจะต้องหาความสำราญกันอย่างเต็มที่และนี่จะเป็ประโยชน์สำหรับเราในอนาคต”
“รองประธานหลี่สุภาพมากไปแล้วก่อนที่พวกเราจะมา ซีอีโอของเราคุณเฉิงได้กล่าวกับเราว่าตระกูลหลี่มีอิทธิพลมากว่า100 ปีแล้ว ตอนนี้ตระกูลหลี่กลับมีคนเช่นคุณอยู่แน่นอนว่าตระกูลของคุณต้องถูกจดไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน” อู๋เต๋าเริ่มเลียแข้งเลียขา
หลี่มู่หัวโบกมือไปมา “ซีอีโอเฉิงพูดตามมารยาทเท่านั้นแหละครับซีอีโอเฉิงเป็คนในตระกูลดังจากเมืองเยี่ยนจิงพวกเขามีอำนาจกว้างขวางในหลายพื้นที่ของเมืองใหญ่ และแม้แต่เมืองเล็กๆ อย่างฮ่องกงพวกเราไม่สามารถเปรียบเทียบกับตระกูลเฉิงได้หรอกครับ”
ฟังทั้งสองฝ่ายยอกันไปมาหยางเฉินไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นว่า
“รอง… รองประธานหลี่เรากำลังจะไปที่ไหนต่อครับ ผมเริ่มหิวข้าวแล้ว เราไปหาข้าวทานกันก่อนได้มั้ย?”
ความโผงผางนี้ทำให้การแสดงออกของทุกคนนิ่งอึ้งไปหลี่มู่หัวตอบกลับอย่างเก้ๆ กังๆ ว่า
“คุณหยาง อย่ากังวลไปครับพวกเราตอนนี้กำลังตรงไปที่สินทรัพย์แห่งหนึ่งของมู่หยุนคอร์ปอเรชั่นที่พวกเราเรียกว่า “Twilight Villa” มันมีไว้เพื่อการพักผ่อนความบันเทิง ทั้งยังสะดวกสบาย ด้วยมื้อค่ำสุดหรู ทางด้านหน้าเป็ทะเลดังนั้นมันจึงเป็วิวที่งดงามอย่างมาก พวกเราจะถึงที่หมายภายในอีกครึ่งชั่วโมงพ่อของผมและสมาชิกหลักท่านอื่นๆ น่าจะรออยู่แล้วพวกเราสามารถรับประทานอาหารที่นั่นได้เมื่อไปถึง”
“ขอโทษค่ะ รองประธานหลี่ การเจรจาของเราอย่างเป็ทางการจะเริ่มขึ้นเมื่อไรคะ?”โม่เชี่ยนนียังคงโฟกัสที่งานมากกว่า
หลี่มู่หัวตอบอย่างสุภาพว่า “คุณโม่ โปรดพักให้สบายครับคุณเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาตลอดทั้งวันแล้ว ดังนั้นกรุณาพักผ่อนที่ TwilightVilla ก่อนในคืนนี้ พ่อของผมและคนอื่นๆ ก็พักผ่อนเช่นกันและพวกเราจะเริ่มเจรจากันในวันพรุ่งนี้เท่านั้น จากนั้นเราจะใช้เวลา 2 วัน ในการเยี่ยมชมศูนย์วิจัย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักวิจัยจากนั้นเราจะร่างเอกสารการเป็พันธมิตรกัน”
“ดูเหมือนรองประธานหลี่ได้เตรียมกำหนดการต่างๆไว้แล้ว เชี่ยนนีคนนี้กังวลมากไปนี่เอง”
หลี่มู่หัวเผยรอยยิ้มและพูดว่า “นี้เป็ทัศนคติที่ดีต่อการทำงานร่วมกันคุณโม่ไม่ต้องใส่ใจหรอกครับ”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถค่อยๆเข้ามาในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้และูเา เวลานี้เริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วดังนั้นใบไม้สีแดงจึงมีอยู่ทั่วไป ถนนหนทางก็ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้ที่ร่วงหล่น
พวกเขาขับรถขึ้นไปตามถนนบนูเาที่เงียบสงบพวกเขาสามารถมองเห็นทะเลได้ในระยะไกล เส้นสีขาวฟ้าของชายหาดและทะเลด้านข้างเต็มไปด้วยตึกสไตล์วินเทจ สร้างทัศนียภาพที่แตกต่างกับวิวูเา
“หยุดเชยชมป่าเมเปิ้ลในยามราตรีใบเมเปิ้ลแดงยิ่งกว่าพฤกษาใดๆ ในเดือนกุมภาพันธ์” อู๋เต๋ากล่าวบทกลอนออกมาอย่างออกรส
“คุณช่างเข้าใจเลือกสถานที่ได้ดีเยี่ยมจริงๆ”
หลี่มู่หัวพยักหน้ารับและกล่าวว่า “ใช่ครับนี่เป็หยาดเหงื่อและเืเนื้อครึ่งชีวิตของคุณพ่อผมถ้าหัวหน้าอู๋เต๋าชอบสถานที่นี้ คุณสามารถมาอีกครั้งได้นะครับพวกเราครอบครัวหลี่ยินดีต้อนรับ”
แม้จะรู้ว่านี้เป็แค่การพูดไปตามมารยาทแต่อู๋เต๋าเองก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เช่นกัน
่บ่ายพวกเขาก็มาถึง Twilight Villa เมื่อพวกเขาลงมาจากรถลีมูซีนตรงหน้าพวกเขาคืออาคารสีขาวแดงขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมีเอกลักษณ์เป็การผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างสไตล์ตะวันออกดั้งเดิมและสไตล์ตะวันตกแบบทันสมัยเพราะการออกแบบดังกล่าวทำให้ตึกดูเข้ากับบรรยากาศรอบด้าน ไม่ดูขัดตาป่าที่งดงามแบ่งพื้นที่ของรีสอร์ตออกเป็ส่วนๆมีทะเลสาบที่ถูกสร้างขึ้นพร้อมสะพานข้ามอยู่ 9 แห่ง ทำให้แขกทั้งหลายสามารถเข้าสู่วิลล่าได้หลายช่องทาง
คนงานหลายคนของครอบครัวหลี่วางงานในมือลงทันทีและโค้งต้อนรับพวกเขาเมื่อสังเกตเห็นว่ามีกลุ่มรถขับเข้ามา
พวกเขาทั้ง 4 คนเดินตามหลี่มู่หัวเมื่อเข้ารีสอร์ต เดินพูดคุยกันตลอดทาง เมื่อพวกเขามาถึงด้านในจึงพบว่าพื้นที่หลักของรีสอร์ตนี้จริงๆ แล้วเทียบกับโรงแรมระดับ 5 ดาวได้เลยทีเดียว
พวกเขาเดินเข้าไปในห้องอาหารส่วนตัวภายในตกแต่งด้วยสไตล์จีนโบราณ มีโคมไฟขนาดใหญ่หลายโคมห้อยลงมาจากเพดานและบริเวณระเบียงมองเห็นวิวสีเขียวสด ทำให้ห้องนี้ดูโดดเด่นและประณีต
ภายในห้องอาหารส่วนตัวมีชายวัยกลางคนแต่งตัวเป็ทางการจำนวน 5 คนนั่งอยู่กำลังสนทนาด้วยหัวข้อบางอย่างด้วยเสียงต่ำพร้อมกับจิบชาไปด้วยกัน
ผู้ชายที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เริ่มมีผมหงอกบ้างแล้วเขาสวมเสื้อไหมพรมคอวีสีเทาอย่างไรก็ตามดูเหมือนเขาจะเคลื่อนไหวได้จำกัดเนื่องจากเขานั่งอยู่บนรถเข็นภาพลักษณ์ภายนอกของผู้ชายคนนี้ก็ดูพื้นๆ ทั่วไปแต่เมื่อเห็นหลี่มู่หัวเดินนำเขาทั้ง 4 คนเข้ามาในห้อง เขาเผยรอยยิ้มสดใสขึ้นทันที
“ฮ่าๆ แขกของเราได้มาถึงแล้วน่าขายหน้าจริงๆ ที่ผมไม่ได้ไปรับพวกคุณที่สนามบิน ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ครับ”
“หัวหน้าหลี่ถ่อมตนเกินไปแล้วการถูกต้อนรับโดยผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลหลี่ ก็ถือว่าให้เกียรติเรามากแล้ว”อู๋เต๋าผู้มีทักษะการวางตัวเป็เลิศและเขาตอบกลับด้วยถ้อยคำเยินยอไปในทันที
หลังจากที่กล่าวทักทายสมาชิกหลักของมู่หยุนคอร์ปอเรชั่นแล้วพวกหยางเฉินต่างก็นั่งประจำที่ บรรยากาศกลับมาเป็กันเองทุกคนมีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาก็แสดงออกมาโดยรักษาความเป็กันเองเอาไว้
หลี่เต๋อเซินเห็นว่าถึงเวลาแล้วเขาจึงส่งสายตาให้หลี่มู่หัวที่นั่งถัดจากเขา หลี่มู่หัวพยักหน้าอย่างเข้าใจนัยสำคัญเขาตบมือและพูดกับพนักงานที่กำลังยืนอยู่บริเวณประตูว่า
“เสิร์ฟอาหารได้”
พนักงานเสิร์ฟมีประสิทธิภาพอย่างมากพวกเขายกอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้ออกมาทีละจาน นอกจากหยางเฉินแล้วทุกคนที่นั่งโต๊ะอาหารต่างเป็ผู้ที่มีอิทธิพลในวงการธุรกิจที่ประกอบด้วยประสบการณ์มากมายขณะที่กินและดื่มกันอยู่ พวกเขาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างจงไห่และบริษัทมีเดียอื่นๆในฮ่องกง และถือเป็การอุ่นเครื่องทุกคนไปในเวลาเดียวกัน
มื้ออาหารผ่านไปครึ่งทางคนที่ดูเหมือนเป็ผู้จัดการของร้านอาหาร วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนและกระซิบคำบางคำข้างหูหลี่เต๋อเซิน
ตะเกียบในมือของหลี่เต๋อเซินแข็งค้างจากนั้นเขาวางตะเกียบกระแทกโต๊ะเสียงดัง
“บ้าที่สุด”