สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 20
"ตรงไหน"
"..."
"เออ ๆ รอไม้อยู่"
"..."
"คานไม่มีปัญหาแต่งบแม่งบานสัส กูต้องทำเื่กับบัญชีเบิกเงินสามรอบแล้ว บัญชีด่ากูเปิดเปิงหมดแล้ว"
"..."
"มึงไม่ต้องมาหัวเราะสัส มึงหลอกให้กูโดนด่าปะเนี่ย คุณนายรุ่งฤดีถามว่าเอาไม้อะไรทำเลาจน์กูบอกเอาไม้สักจากเชียงราย แม่ตั้งท่าจะโกรธกูอีกรอบ แต่กูก็บอกแล้วว่าไม่อยากเอาไม้อื่น ไม่อยากเอาวัสดุอื่นด้วย แล้วบอกอีกว่ามึงออกแบบให้"
"..."
"ไม่อ่ะ พอพูดชื่อมึงคุณนายก็ไม่ว่าอะไร ลูกรักสัส เก็บกูมาจากถังขยะสินะ"
"..."
"ไม่ต้องมาหัวเราะ" รามสูรพูดกับปลายสายด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด หลังจากที่อัสนีคนเป็พี่ออกแบบแปลนโรงแรมใหม่ให้ตนแล้วก็กลับขึ้นฝั่งเพื่อไปจัดการงานของตนเองที่โรงแรมต่อ หน้าที่ของเขาก็คือดำเนินการสร้างและต่อเติมโรงแรมในส่วนที่ไฟไหม้ให้ออกมาเสร็จสมบูรณ์โดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะเปิดทำการอีกครั้ง เดอะแกรนด์เซ็นทรัลอันดามันเพิร์ลโฮเทลเวอร์ชันใหม่ต้องเร่งเวลาซ่อมแซมเพื่อให้กลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวในฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้ บริเวณเลาจน์ของโรงแรมต้องสร้างขึ้นมาใหม่โดยใช้ไม้สักที่ส่งตรงมาจากจังหวัดเชียงราย ในขั้นตอนนี้ทำให้ทุกอย่างต้องล่าช้าลงไปอีกหลายวัน ยังดีที่โรงแรม้ามีความคืบหน้าไปมากกว่า 50% แล้ว เขาต้องคอยวิดีโอคอลกับพี่ชายทุกครั้งเมื่อลงไปยังไซต์งาน ทุก ๆ เช้าจะเห็นไอ้อัสสวมแว่นตาหนาเตอะประกอบกับทรงผมฟูฟ่องและใบหน้าสะลึมสะลือของมัน หากสาว ๆ เห็นคงได้พากันกรี๊ดสลบ ส่วนเขาก็อดแขวะไม่ได้ว่ามันเมาขี้ตาอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำหน้าที่พี่ชายได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่อง ถึงแม้จะเช้าขนาดไหนมันก็ไม่เคยละทิ้งหน้าที่ตรงนี้เป็สถาปนิกนักออกแบบและเป็ผู้บริหารที่อ่านข้อมูลในเอกสารนับร้อย ๆ หน้า จากนั้นก็เข้าร่วมประชุมและสวมมาดเป็ผู้บริหารหนุ่มที่น่าเกรงขาม ทั้ง ๆ ที่เขากับมันอายุห่างกันแค่สองปีเท่านั้น แต่อัสนีเติบโตไปกว่าเขามากโขเลยล่ะ
"นาย! นาย!"
"อะไรเข้ม เอ็งมากวนนายทำไม"
"นาย พี่ม่านล่ะ"
รามสูรหลิ่วตามองกลุ่มเด็กน้อยที่แห่กันมามากกว่าสิบคน นำโดยไอ้เข้มหัวโจก มันมาถามหาคนรักของเขา กับเขาเนี่ยนะ! เรียกชื่อนายหัวรามแต่ถามหาพี่ม่าน เอ็งจะลองดีกับข้าเหรอไอ้เข้ม!
"อะไร เอ็งมีอะไร พี่ม่านไม่อยู่" รามสูรตอบไปอย่างนั้นเพราะประจวบเหมาะกับคนรักไปเข้าห้องน้ำพอดี
"นายสอนหนังสือหน่อย"
"ฮะ? ครูฝ้ายไปไหน ครูฝ้ายไม่สอนรึไง"
"ครูไม่สบาย วันนี้ไม่มาสอน"
"อ้าว!"
"นายสอนหน่อย"
"ใครเขาอยากเรียนกันวะไอ้เข้ม ไม่ได้เรียนก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอ"
"เบื่อ ไม่รู้จะเล่นอะไรแล้ว"
"อ้าว..." นั่นยิ่งทำให้นายหัวรามสูรงงเข้าไปใหญ่ มีเด็กที่ไหนจะเล่นจนเบื่อแล้วเกิดความรู้สึกอยากเล่าเรียนขึ้นมาเหมือนไอ้เข้มมั้ยนะ
"แล้วจะให้สอนอะไร"
"ก็สอนอะไรก็ได้"
"ในกระเป๋ามีวิชาอะไร"
"มีวิทยาศาสตร์"
"กูไม่รู้หรอกวิทยาศาสตร์ กูทิ้งไปั้แ่ ม.หก แล้ว" นายหัวรามสูรโวยวาย
"แล้วพี่ม่านอ่ะนาย"
"คำก็พี่ม่านสองคำก็พี่ม่าน มึงชอบแฟนกูเหรอ"
"ใครแฟนนาย"
"เอ้า ก็พี่ม่านของมึงไง"
"พี่ม่านเป็ผู้ชาย!"
"ก็รักกันได้ไง"
"ไม่ได้!"
"ได้สิ ทำไมจะไม่ได้"
"กะเทยไง!"
"แล้วไม่ดีเหรอ"
"ม่าย" เด็กน้อยหลายคนส่ายหน้าแล้วก็ปฏิเสธออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
"อย่างนั้นพี่ม่านก็เป็คนไม่ดีเหรอ"
"พี่ม่านเป็คนดีสินาย"
"อ้าว ก็เอ็งพึ่งบอกว่าผู้ชายที่เป็กะเทยเป็คนไม่ดี" รามสูรว่า
"ไม่ได้พูดอย่างนั้นซักหน่อย"
"ก็เอ็งพึ่งพูดไป"
"ไม่ใช่ ไม่ได้พูด!" เด็กเข้มเถียงตาลีตาเหลือกจนใบหน้าสีเข้มสมชื่อเริ่มมีสีแดงระเรื่อฉายชัดให้เห็น
“งั้นข้าเป็คนดีมั้ย”
“ก็เป็คนดี”
“อ้าวแล้วบอกว่ากะเทยไม่ดี”
“ก็นายไม่ได้เป็กะเทย”
“แต่ข้าชอบผู้ชาย”
“ก็...”
“แสดงว่าข้าก็เป็คนไม่ดี”
“ไม่ใช่ซักหน่อย!” เด็กเข้มโวยวายใหญ่
“ก็เอ็งพึ่งพูดไปเมื่อกี้นี้ว่าเป็กะเทยแล้วเป็คนไม่ดี”
“ไม่ได้พูด!!!”
“พูดเอ็งพูดไอ้เข้ม อย่ามาทำเป็ไขสือ”
“ไขสือคืออะไร”
“ก็ทำแบบที่เอ็งทำอยู่ตอนนี้ไง เอ็งพูดแต่บอกว่าไม่ได้พูด”
“ก็ไม่ได้พูดจริง ๆ”
รามสูรหัวเราะร่วน แต่หลังจากนั้นก็ต้องหุบยิ้มฉับเพราะม่านหยี่เดินมาแล้ว หากรู้ว่าเขากำลังแกล้งเด็กเข้มอยู่คนที่จะโดนเอ็ดคนต่อไปคงเป็เขาแน่ ๆ
"อะไรใครพูดไม่พูด เถียงอะไรกัน"
"พี่ม่าน!!!" เด็กเข้มกับเพื่อน ๆ วิ่งกรูกันเข้าไปหาพี่ม่านของพวกมัน ม่านหยี่กลายเป็หัวหน้าแก๊งเด็กน้อยที่อายุเยอะที่สุด เขามองหน้าเด็กเข้มที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อก็คิดว่าน่าจะโดนรามสูรแกล้งอีกเป็แน่ ม่านคุยกับเด็ก ๆ ก็ได้ความว่าวันนี้โรงเรียนบนเกาะปิดเพราะคุณครูฝ้ายซึ่งเป็ครูเพียงคนเดียวนั้นป่วยมาสอนไม่ได้ เด็ก ๆ เลยว่างกัน พากันเล่นสนุกจนไม่มีอะไรทำแล้วก็เกิดอยากเรียนหนังสือขึ้นมา
"พี่ม่านสอนวิทยาศาสตร์ได้มั้ย"
"ไหนขอดูหน่อย" สงสัยวันนี้ม่านหยี่คงได้รับหน้าที่คุณครูจำเป็อีกวัน ร่างบางพาเด็ก ๆ ทั้งหมดเดินเข้ามาพักในเต็นท์คนงาน เขารับหนังสือสองสามเล่มมาจากมือของเด็กเข้ม หนังสือวิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่สี่ที่มุมด้านล่างของหนังสือพองขึ้น คาดว่าน่าจะเป็เพราะโดนน้ำมา ม่านหยี่เปิดพลิกดูเนื้อหาในเล่มก็พบว่าหน้ากระดาษมีสภาพไม่ต่างกับหน้าปกเลยคือเป็รอยคราบน้ำและเต็มไปด้วยรูปวาดจากปลายดินสอของเด็กน้อย เนื้อหาบางหน้าถูกเด็กเข้มขีดดินสอฆ่าไปทั้งหมด ม่านหยี่ถึงกับขมวดคิ้วเพราะเขาไม่สามารถอ่านออกได้เลย อย่างนี้จะให้เขาสอนอะไร
"ขีดอะไรเนี่ย" ครูพี่ม่านเอ็ดเด็กน้อยมือบอน
"ก็มันเบื่อ"
“อ่านไม่ได้เลย ไม่ตั้งใจเรียนเหรอ”
“ตั้งใจ! แต่มันน่าเบื่อ”
ม่านมองเด็กที่บอกว่าการเรียนน่าเบื่อแต่วันนี้เกิดอยากจะเรียนขึ้นมากะทันหัน
"โรงเรียนอยู่ตรงไหน"
"ตรงนู้น" เด็ก ๆ ชี้นิ้วไปสุดทางของเกาะ เห็นเป็บ้านหลังเล็ก ๆ ตั้งอยู่ร่วมกับบ้านของชาวบ้านคนอื่น ๆ แตกต่างตรงที่มีธงชาติของประเทศไทยโบกสะบัดอยู่บนเสา
ม่านหยี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขามองไปยังไซต์งานก่อสร้างซึ่งคิดว่าหากตนเองอยู่ตรงนี้คงช่วยอะไรไม่ได้มาก เขาก็ไม่ได้เกลียดเด็กถ้าหากเด็กพวกนี้ซนก็จะสั่งลงโทษให้วิ่งรอบเต็นท์ซักสิบรอบ
"งั้นนั่งลงเป็วงกลม ถ้าดื้อจะสั่งให้วิ่งรอบเต็นท์ ถ้าใครตอบคำถามที่พี่ถามได้จะให้ขนม"
"..."
"โอเคมั้ย"
"โอเค!" เด็กน้อยตอบเสียงดัง
“สวัสดีครับ คุณฝันใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ” สาวใหญ่ตอบด้วยอากัปกิริยาถ่อมตน ฝันค้อมหัวน้อย ๆ ก่อนที่จะเลื่อนเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลงไปที่โต๊ะ เธอมองไปรอบ ๆ ร้านเบเกอรีราคาแพงที่ตกแต่งด้วยดอกไม้และพืชพรรณนานาชนิด อีกทั้งยังมีม่านน้ำขนาดใหญ่ไหลแรงอยู่บริเวณกำแพงด้านหลัง ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
“ผมชื่อวัตร เป็ทนายประจำตัวของคุณหญิงรุ่งฤดี ชัยพิพัฒน์ และเป็ทนายของชัยพิพัฒน์กรุ๊ป”
“ค่ะ” ครูพี่ฝันหรือพี่ฝันอย่างที่เด็ก ๆ ที่บ้านปันฝันเรียกพยักหน้าน้อย ๆ ปกติแล้วหากมีมูลนิธิหรือองค์กรติดต่อมาก็มักจะเป็นักสังคมสงเคราะห์ผู้ซึ่งเป็ตัวแทนขององค์กรเ่าั้ หรือหากจะมีคนมารับเด็ก ๆ ไปเลี้ยงจริง ๆ ก็จะต้องแจ้งเื่นี้กับเธอไว้ก่อนั้แ่เนิ่น ๆ และจะเป็ทนายจากกรมซึ่งจะต้องดำเนินตามขั้นตอนอีกมากมาย ไม่ใช่การนัดพบกับทนายแบบส่วนตัวอย่างเช่นตอนนี้
“คุณฝันเคยได้ยินเื่ชัยพิพัฒน์กรุ๊ปมาก่อนมั้ยครับ”
“ไม่ค่ะ” สาวใหญ่ตอบตามความจริง
“คืออย่างนี้นะครับ ผมขออธิบายเื่ทั้งหมดให้คุณฝันเข้าใจก่อนว่า ชัยพิพัฒน์กรุ๊ปคือกลุ่มธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและอู่ต่อเรือที่ตั้งอยู่ในจังหวัดภูเก็ต มีคุณนายรุ่งฤดี ชัยพิพัฒน์ซึ่งเป็กรรมการบริหารสูงสุดเป็เ้าของและถือครองหุ้นในสัดส่วนมากที่สุด รองลงมาคือคุณอัสนีและคุณรามสูรลูกชายทั้งสองคนที่ถือครองหุ้นในสัดส่วนเท่า ๆ กันทำหน้าที่รองกรรมการบริหาร...” ทนายวัตรพยายามอย่างยิ่งที่จะอธิบายให้คนตรงหน้าเข้าใจ เพื่อที่เขาและเธอและคุณนายรุ่งฤดีจะได้เข้าใจถูกต้องตรงกัน และดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ถูกต้อง
“ค่ะ”
“โดยปกติแล้วชัยพิพัฒน์กรุ๊ปจะมีกองทุนจำนวนหนึ่งซึ่งจัดตั้งไว้สำหรับทำกิจกรรมสังคมสงเคราะห์หรือเพื่อส่วนรวมอยู่แล้ว เพราะเราเล็งเห็นว่าการเติบโตไปพร้อม ๆ กันนั้นมันดีกว่า”
ครูพี่ฝันเริ่มพยักหน้าอย่างฝืดเคืองเมื่อประโยคนี้ของคุณทนายทำให้เธอนึกถึงการขายตรงมากกว่ากองทุนสังคมสงเคราะห์ของเศรษฐีนีเมืองใต้
“คุณนายรุ่งฤดีซึ่งเป็เ้าของชัยพิพัฒน์กรุ๊ปมีความสนใจอยากมอบเงินช่วยเหลือปีละหนึ่งแสนบาทจากนี้ไปจนสิบปี”
สาวใหญ่ตาโตด้วยเพราะเงินหนึ่งแสนนั้นไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ สามารถส่งน้อง ๆ ของเธอหลายคนเรียนหนังสือั้แ่ชั้นอนุบาลจนจบมหาวิทยาลัยได้เลย เด็ก ๆ ที่บ้านเด็กกำพร้าปันฝันเกือบห้าสิบชีวิตอาจจะมีชีวิตความเป็อยู่ที่ดีขึ้นมาก ๆ หากได้รับเงินอุดหนุนก้อนนี้ เด็ก ๆ หลายคนเรียนโรงเรียนฟรีใกล้บ้านก็จริง แต่ทุก ๆ การเปิดภาคการศึกษาของโรงเรียนเธอจะต้องซื้อชุดนักเรียนให้กับน้อง ๆ ที่ตัวใหญ่เกินจะสวมเสื้อผ้าชุดเก่าของตนเองได้ เสื้อนักเรียนสีขาวถูกใช้งานเป็ประจำเนื่องจากมีกันอยู่เพียงแค่คนละตัวมันก็เก่าเขรอะและสีหม่นลงตามกาลเวลา บางทีเธอต้องนั่งปะนั่งซ่อมชุดให้น้อง ๆ จนเช้าตรู่ เพื่อที่จะให้ทุกคนได้สวมใส่ไปโรงเรียนในตอนเช้า เื่จริงที่บ้านปันฝันได้รับเงินอุดหนุนจากองค์กรอื่น ๆ อยู่บ้าง แต่มันมักจะมาไม่สม่ำเสมอ รู้กันว่าจะมีเงินเข้าใน่ยื่นเสียภาษีประจำปี หลายองค์กรใช้บ้านเด็กกำพร้าปันฝันเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ตนเอง คุณหญิงคุณนายและคุณท่านหลาย ๆ คนมีการกระทำอย่างเช่นที่คนสมัยนี้เขาพูดกัน คือสำเร็จความใคร่ทางศีลธรรม เมื่อใกล้ยื่นเสียภาษีก็จะมีรถหรูหลายคันวิ่งต่อท้ายกันเข้ามาจอดยังถนนคอนกรีตหน้าบ้านเด็กกำพร้าปันฝัน จากนั้นทุก ๆ คนั้แ่ตำแหน่งน้อยอย่างคนขับรถไปจนถึงตำแหน่งใหญ่โตอย่างเช่นผู้บริหารก็จะกรูกันลงจากรถ หม้ออาหารคาวสองสามอย่างและขนมไทยถูกจัดตั้ง เธอต้องเรียกรวมน้อง ๆ ที่วิ่งเล่นหรือช่วยงานที่วัดอยู่เข้ามารวมตัวกันและร่วมรับประทาน แต่การรับประทานอาหารจะยังไม่เกิดขึ้นหากคนใหญ่คนโตพวกนั้นยังไม่ได้ถ่ายรูปเพื่ออวดลงโซเชียลว่าวันนี้ตนเองทำความดีให้โลกได้รู้ สองสามวันหลังจากนั้นก็จะเป็การส่งอีเมลหรือส่งคนมาเจรจาเื่เงินช่วยเหลือแลกกับการที่เธอต้องออกใบรับรองเพื่อให้ทางบริษัทน้อยใหญ่เ่าั้สามารถนำไปยื่นลดหย่อนภาษีได้...ตลกดีเหมือนกันที่คนรวยนับร้อยล้านพันล้านกลับสามารถหากินและหาสารพัดช่องทางเพื่อเอารัดเอาเปรียบผู้น้อยได้ตลอดเวลา พวกเขาตระหนี่ถี่เหนียวได้แม้กระทั่งเงินหลักร้อยกับลูกจ้างแรงงาน หากแต่สามารถซื้อของราคาแพงหลักล้านได้โดยไม่มีบ่นและบอกว่ามันเป็เพียงความชอบส่วนบุคคลเท่านั้น
เธอเลยไม่รู้จริง ๆ ว่าการนัดพบกับทนายวัตรครั้งนี้คนรวยจะมาไม้ไหนอีก
“จริง ๆ แล้วการที่เราพบกันวันนี้มันไม่ได้มีความจำเป็อะไรขนาดนั้น” หลังจากที่พูดพร่ำทำเพลงมานานทนายวัตรก็เริ่มเข้าเื่อย่างจริง ๆ จัง ๆ สักที
“คะ?” นั่นทำเอาคุณครูพี่ฝันงงหนักยิ่งกว่าเดิม
“คืออย่างนี้ครับ คุณฝันทำบ้านเด็กกำพร้ามานานเท่าไหร่แล้วครับ”
“อืม..ครบสามสิบปีเดือนที่แล้วนี่เองค่ะ จริง ๆ ฝันเข้ามารับหน้าที่ตรงนี้ต่อจากแม่ แม่ของฝันท่านแก่เกินไปที่จะทำงานตรงนี้แล้ว แต่ท่านก็วางมือไม่ลง ฝันเลยรับอาสาเข้ามาดูแลกับซิสเตอร์มารี”
“ครับ”
“อย่างนั้นคุณฝันรู้จักเด็กที่ชื่อม่านหยี่ อายุยี่สิบสามปีมั้ยครับ มาจากบ้านเด็กกำพร้าปันฝัน” สาวใหญ่ชะงักไปชั่วครู่พลางนึกในใจว่าตลอดระยะเวลาสามสิบปีที่ผ่านมานี้เธอรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่น้อยกว่าสองถึงสามร้อยคน ต่างคนก็ต่างที่มา บ้างก็มีชื่อมาแล้วจากที่เดิม บ้างก็ไม่มีแม้แต่ชื่อเรียก บางคนก็เป็ลูกหลานชาวบ้านแถวนั้นที่เอามาฝากไว้แล้วพ่อแม่ก็หายเข้ากลีบเมฆ จะนำกลับไปคืนที่บ้านก็เหลือเพียงแค่ยายแก่ ๆ คงไม่มีแรงไม่มีกำลังพอจะดูแลได้ แต่เธอเชื่อว่าเด็กชื่อแปลกอย่างม่านหยี่นั้น ไม่เคยอาศัยอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าปันฝันอย่างแน่นอน
“ไม่มีนะคะ”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
“ค่ะ”
“มั่นใจใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ มั่นใจมาก เด็กบ้านปันฝันเยอะก็จริง แต่ถ้าเป็เด็กที่อายุยี่สิบสองยี่สิบสามก็มีไม่กี่คนค่ะ รุ่น ๆ น่าจะเรียนมหาวิทยาลัยใช่มั้ยคะ อย่างนั้นก็ไม่มีค่ะ” คุณครูพี่ฝันส่ายหน้าเพื่อยืนยันว่าไม่มีเด็กคนนี้ คนที่ชื่อม่านหยี่
“ครับ”
“อืม...แต่ว่าเคยมีเด็กคนนึงฝันเคยเห็นเขาอยู่่นึงค่ะ ชื่อมานหยี่รึม่านหยี่นี่แหละ เห็นจากชื่อที่ปักอยู่บนเสื้อนักเรียนของเขา” สาวใหญ่นั่งนึก เธอจำได้ว่าบางครั้งที่ต้องออกไปธุระตอนเช้าพร้อมกับน้อง ๆ ก็มีเด็กชายแปลกหน้าคนหนึ่งเดินออกมาจากคอนโดข้าง ๆ บ้านเด็กกำพร้าปันฝันและเดินไปโรงเรียนพร้อม ๆ กันกับเธอและน้อง ๆ
“งั้นเหรอครับ คุณฝันช่วยเล่ารายละเอียดให้ผมฟังได้มั้ย”
“คือว่า...” หญิงสาวลังเลด้วยเพราะกลัวว่าถ้าหากคนที่ชื่อม่านหยี่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบ้านปันฝันแล้วเื่เงินทุนสนับสนุนก็อาจถูกยกเลิกไปด้วย
“อ่อ...ไม่ต้องห่วงครับ เงินจำนวนนี้คุณนายอยากให้ ไม่ใช่จะยกเลิกกันไปหรอกครับ”
“...ค่ะ”
จากนั้นคุณครูพี่ฝันก็เริ่มเล่าเื่ครั้งแรกที่พบเจอเด็กน้อยหน้าตาอมทุกข์นั่นในซอยเดียวกันกับเธอเอง เด็กคนนั้นไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใครอื่น เขามักจะเดินไปเงียบ ๆ บางครั้งก็มักสวมหูฟังเพื่อที่จะบอกกับคนอื่นว่าตนนั้นอยากอยู่คนเดียวเพียงลำพัง เธอไม่เห็นว่าเด็กคนนั้นจะมีเพื่อนหรือคุยกับเด็กบ้านปันฝันเลย ในตอนนั้นเธอคิดว่าอาจเพราะเด็กคนนั้นไม่อยากคบค้าสมาคมกับเด็กกำพร้า แต่คิดไปคิดมาอาจไม่ใช่อย่างนั้น...
สาวใหญ่เล่าเื่ราวทุกอย่างให้กับคุณทนายฟัง ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงด้วยกันกับการเล่าเื่ราวของคนที่เธอไม่รู้จัก
“ฝันขอถามได้มั้ยคะว่าคนที่ชื่อม่านหยี่นี่เกี่ยวอะไรกับเื่นี้เหรอคะ”
“เขาเอาชื่อบ้านทอฝันไปอ้างน่ะครับ”
“คะ?”
“เขาบอกว่าเขาเติบโตมาจากบ้านทอฝัน ถูกดูแลโดยคุณฝันกับซิสเตอร์มารี”
“อ๋อ...แล้วมันเป็เื่ใหญ่มากเลยเหรอคะ ถ้าเป็แบบนี้น่ะค่ะ”
“อืม...สำหรับคุณนายรุ่งฤดีก็เป็เื่ใหญ่ครับ” เพราะคุณนายรุ่งฤดีคงไม่ชอบใจกับสิ่งที่จะได้รับรู้ต่อไปนี้สักเท่าไหร่
“อย่างนั้นเหรอคะ”
“ครับ”
เช้านี้นายหัวอัสนีจอดเรือเทียบท่าั้แ่ตะวันพึ่งโผล่พ้นขอบฟ้ามาได้ไม่เท่าไหร่ แสงอบอุ่นของดวงอาทิตย์ในยามเช้าไล้อาบร่างสูงและชายหาดสีขาวเนียนละเอียด ด้านหน้าเป็ไซต์งานก่อสร้างโรงแรมของน้องชายของเขาที่กำลังดำเนินการก่อสร้างไปได้มากกว่าครึ่งแล้ว ด้วยระยะเวลาและจำนวนงานที่ต้องเร่งเพื่อให้โรงแรมสามารถเปิดทันฤดูกาลต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะมาถึงในเร็ววันนี้ รามสูรต้องเสียเงินจำนวนมากไปกับการจ้างคนงานเพิ่มและเร่งรัดเวลาเพื่อให้วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ มาถึงเกาะเร็วขึ้น มันคงไม่มีเวลาสนใจแม้กระทั่งข่าวในอินเทอร์เน็ตจากสำนักพิมพ์รายใหญ่ของประเทศที่เล่นข่าวไปต่าง ๆ นานาว่าเดอะแกรนด์เซ็นทรัลภูเก็ตถูกไฟไหม้และมีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต กลายเป็ว่าเขาต้องออกโรงแก้ข่าวและจัดการสำนักพิมพ์เ่าั้แทนน้องชาย เขาพึ่งรู้จากใจจริงว่าการมีพี่น้องไว้คอยช่วยเหลือกันยามตกทุกข์ได้ยากมันเป็อย่างนี้
“ยูถอยไปหน่อย! ไอจะลง”
“นี่คนเป็แฟนกันเขาไม่พูดกระโชกโฮกฮากกับแฟนหรอกนะ”
“ก็เราไม่ได้เป็แฟนกันจริง ๆ”
“อย่าพูดดัง! เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน! ยูทำให้มันเหมือนคนเป็แฟนกันจริง ๆ ได้มั้ย” นายหัวอัสแทบจะพุ่งตัวเข้าไปเอามือใหญ่ ๆ ของตนเองทาบทับปิดปากหญิงสาวที่โดยสารเรือมากับเขาวันนี้ เขาไม่รู้ว่าตนเองคิดผิดหรือคิดถูกที่ใช้แผนนี้มาเบี่ยงเบนความสนใจของคุณนายรุ่งฤดี หลังจากวันนั้นที่ได้คุยกับม่านหยี่ไปเขาก็ตัดสินใจที่จะหาแฟนหลอก ๆ สักคนหนึ่งมาเพื่อปั่นหัวคุณนายรุ่งฤดี เขาไม่อยากให้ไอ้รามมันโดนอยู่คนเดียว เขาไม่อยากให้แม่รู้ว่าว่าตนเองชนะ เขายอมให้มันเป็แบบนั้นไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นทั้งเขาและน้องชายก็จะไม่มีใครมีความสุขเลย
“มึงพาใครมาเนี่ย” รามสูรเดินเข้ามาทักทายพี่ชายหลังจากที่เห็นว่าเรือลำใหญ่จอดนิ่งสนิทอยู่ที่โป๊ะเรือเรียบร้อยแล้ว
“กูเอาคนมาปั่นหัวคุณนายเพิ่ม”
“ท่าจะแสบไม่ใช่ย่อยนะ”
“เออแบบนี้แหละจะได้สู้คุณนายได้ ของมึงเงียบเหมือนกับเป่าสาก คุณนายด่าก็เอาแต่ก้มหน้ารับ เห็นแล้วเวทนา” ม่านหยี่เบะปากพลางมองไปยังพี่ชายของคนรัก เขาก็อยากเถียงอยู่หรอกแต่ลำพังที่คุณนายรุ่งฤดีไม่ชอบหน้าก็หนักหนาพอแล้ว ถ้าให้เถียงเธออีกมีหวังเขาได้โดนไล่ออกไปนอนที่อื่นแน่
“หยุดเลย อย่าว่าม่าน”
“แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เชียว”
“เออ!”
“ชื่ออะไรอ่ะ”
“เพนนี ชื่อเก่าชื่อจันทร์เพ็ญ”
“เอ๊ะนี่! ยูพูดมากนะ”
รามสูรเลิกคิ้วเป็เชิงถามพี่ชาย
“ก็เพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมอ่ะ เพ็ญไง มึงจำไม่ได้หรอ คนที่เคยชอบกู”
“เลิกชอบแล้วย่ะ!”
“บอกว่าเคยไง ยูเข้าใจเทนส์มั้ย เคย แปลว่าไม่ได้ชอบแล้ว”
รามสูรส่ายหน้าเมื่อเห็นพี่ชายกับว่าที่พี่สะใภ้หลอก ๆ ของตนเถียงคำไม่ตกฟาก อย่างนี้จะเอาอะไรไปทำให้คุณนายรุ่งฤดีเชื่อได้ ขนาดเขายังไม่เชื่อเลย
“พี่เพ็ญที่ใส่แว่นผมสั้นใช่มั้ยครับ”
“ใช่จ้ะ” เพนนียิ้มรับ ใคร ๆ ก็จำเธอว่าเป็จันทร์เพ็ญแว่นหนาเด็กหน้าห้องที่ชอบเรียนหนังสือกันทั้งนั้นละ จันทร์เพ็ญที่ทั้งผอม ดำ ไม่ตรงกับบิวตี้สแตนดาร์ดของสังคมไทย
“โอ้โห! เปลี่ยนไปมากจนผมจำไม่ได้เลยนะครับเนี่ย” รามสูรว่าเมื่อมองหญิงสาวตรงหน้าที่สวมเสื้อครอปแขนยาวสีดำตัวบางและกางเกงขาม้ารัดรูป เรียกได้ว่าตามเทรนด์แฟชั่นของบ้านเมืองสุด ๆ อีกทั้งหน้าตายังสะสวยขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย
“ขอบคุณจ้ะ นี่รามใช่มั้ยน้องอัส”
“ใช่ครับ”
“โตขึ้นตั้งเยอะเลยนะ เรียนจบแล้วเหรอ”
“ครับจบแล้ว กลับมาทำธุรกิจของที่บ้าน” รามสูรบุ้ยหน้าไปยังสิ่งก่อสร้างทางด้านหลัง
“อ๋อจ้ะ พี่กลับมาเที่ยวไทยน่ะ ไปมายังไงไม่รู้เจอกับอัสที่ล็อบบี้โรงแรม พึ่งดีลกันมาเมื่อเช้านี้”
“อ๋อครับ งานหนักหน่อยนะพี่เพ็ญ”
“เพนนีจ้ะ”
“ครับพี่เพนนี”
“พี่ก็ไม่เข้าใจทำไมคนแก่ ๆ ชอบมีปัญหากับเกย์นัก ที่เมกาก็เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยแสดงออกเท่าเมืองไทยนะ ส่วนมากพวกเฮตเตอร์แบบนี้จะโดนสังคมเกลียดมาก ๆ เลยล่ะ แต่กลายเป็ว่าสังคมไทยส่วนมากเห็นการเกลียดเกย์เป็เื่ธรรมดาแถมยังเข้าร่วมด้วยซ้ำ พี่เลยไม่อธิบายอะไรให้เขาเข้าใจแล้ว
“คือรู้เื่หมดแล้วเหรอ”
“ก็พูดให้ฟังคร่าว ๆ” อัสนีว่า
“พี่เลยพาไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนียเดือนนึงให้พ่อกับแม่พี่ไปััประสบการณ์เกย์เต็ม ๆ เลยก็เหมือนจะดีนะ” ดูเหมือนว่าครอบครัวพี่เพนนีก็มีปัญหานี้เหมือนกัน
“หรือเราต้องพาแม่ไปเมืองนอกวะ”
“มึงเชื่อเหอะ อาการนี้รักษาไม่หาย”
สองพี่น้องมองหน้ากันจากนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าน้อย ๆ ด้วยเพราะปลงกับชีวิตและมารดา
“แม่ตื่นยัง”
“น่าจะตื่นแล้ว”
“เออ แต่กูยังไม่อยากเจอ ขออยู่แถวนี้กับมึงก่อนแล้วกัน สองคนรู้จักกันไว้สิ นี่ม่านหยี่แฟนราม ม่านนี่เพนนี”
“สวัสดีครับ”
“โซซอร์รี่ทูเฮียร์แดทนะคะ พี่จะช่วยน้องม่านเอง” เพนนีพูดประโยคภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงเ้าของภาษา คงเพราะเธอไปอาศัยอยู่ที่นั่นั้แ่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย
“ครับ ขอบคุณนะครับ”
“แผนคือยังไง” รามสูรถามพี่ชาย
“กูจะพาเพนนีไปเจอแม่ แล้วดูว่าแม่จะวีนแตกขนาดไหน กูจะปั่นหัวคุณนายรุ่งฤดีเอาให้ไปไม่เป็”
“มันจะได้แน่เหรอวะ”
“มึงเชื่อกูสิ กี่คนต่อกี่คนที่ต้องเลิกไปเพราะคุณนายแกไม่ชอบ”
“แต่กูแม่ง รู้สึกว่ามันจะไม่เวิร์ก”
“มึงลองแล้วเหรอ”
“ยัง...”
“เออ อย่าพึ่งป๊อด กูเชื่อว่ามันจะเวิร์ก มึงดูลุคเพนนีสิ ใช่ที่แม่ชอบซะที่ไหน เผลอ ๆ อาจไม่ทันเดินเข้าบ้านด้วยซ้ำก็จะถูกเฉดหัวออกมาละ”
“อ้าวอัสนี! วายดูยูเซย์แดท?”
“เหอะน่า แม่ไอไม่ชอบผู้หญิงลุคแบบยู จริง ๆ แล้วแม่ไอไม่ชอบผู้หญิงหรือผู้ชายคนอื่นที่เป็แฟนไอด้วยซ้ำ”
“เฮ้อ! คนแก่นะคนแก่” เพนนีถอนหายใจหนัก ๆ
“มึงขอแต่งงานไปเลยดิ”
“เอางั้นเลยเหรอ”
“เออ เล่นแรงไปเลย”
อัสนีครุ่นคิดด้วยเพราะเขาเชื่อว่ามารดาไม่มีทางยอมให้เขากับเพนนีแต่งงานกันได้แน่ ๆ และมันก็จะเกิดเื่วุ่นวายขึ้นอีก นั่นล่ะที่เขา้า
“เออ เพนนี! ไอจะขอยูแต่งงานต่อหน้าแม่นะ อย่าลืมเล่นให้เนียนล่ะ”
“โอ้มายก้อด! ยูจะเอาอย่างนั้นเลยเหรอ”
“อืม ยูยังจำที่เราเตี๊ยมกันได้ใช่มั้ย”
“เยส ไอจำได้ เราคบกันมาหกเดือนแล้ว แต่เรารู้จักกันั้แ่มัธยม จริง ๆ มันก็ไม่ใช่เื่ยากเท่าไหร่ แต่แม่ยูจะเชื่อไอมั้ยนั่นก็อีกเื่นะ”
“ยูไม่ต้องเป็ห่วง”
ที่เขาทำเพราะไม่ได้อยากให้คุณนายรุ่งฤดีเชื่ออยู่แล้ว เขาทำเพราะความสะใจต่างหาก...