เขาคิดอยากจะหาโอกาสทดสอบอานุภาพของเลี่ยซินมากั้แ่ต้นแล้ว!
และเมื่อหวนนึกถึงการล้อมเมืองเจวี๋ยในครานั้น ในใจของเหนียนยวี่ก็ยิ่งรู้สึกเย้ยหยัน บางทีั้แ่เริ่มแรก เขาคงกำลังวางแผนจะใช้งานนาง ใช้งานทหารฝีมือดีห้าพันนายเ่าั้ เพื่อสร้างตำนานและจะได้แผ่ขยายความทะเยอทะยานของตัวเองออกไป
ทว่าเหตุใดถึงเป็เมืองเจวี๋ย?
พวกเขาในเวลานั้นมีความทรงจำงดงามมากมายในสถานที่แห่งนั้น!
นางจะไม่มีวันลืม ยามที่เหล่าทหารห้าพันนายติดตามนางมาอย่างกล้าหาญ ต่อสู้กับศัตรู ทุกคมดาบที่แทงเข้าหน้าอกของศัตรู หยาดเืที่พุ่งออกมากระจายไปทั่วกลีบดอกไม้บนพื้น ย้อมกลีบดอกไม้จนกลายเป็สีแดง ทั้งกลีบดอกไม้เ่าั้ยังถูกสายลมพัดพา ภาพที่กลีบดอกโบยบินปลิวว่อนไปทั่วท้องนภา ทุกหนแห่งอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเื และขาของนาง...
ภาพอดีตผุดขึ้นในหัวของนาง ทำให้ความรู้สึกเ็ปบนขาฉายชัดออกมาอย่างรางเลือน ความเกลียดชังและความแค้นในใจของเหนียนยวี่ก็ยิ่งยากจะควบคุม
นางแทบอยากจะพุ่งไปข้างหน้า ถามเขาว่าเหตุใดจึงได้เืเย็นและโเี้เยี่ยงนั้น เพื่อความทะเยอทะยานของตัวเอง ไม่ว่าสิ่งใดเขาล้วนยอมละทิ้งได้ทั้งหมดเลยหรือ!
ราวกับรู้สึกได้ถึงอารมณ์ในแววตาของนาง จ้าวเยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย เกลียดชัง? ในดวงตาของเหนียนยวี่คือความเกลียดชังหรือ?
นาง...เกลียดชังตนงั้นหรือ?
ในใจของจ้าวเยี่ยนรู้สึกงงงันเล็กน้อย ทว่าพริบตาเดียว เขารีบสลัดการคาดเดานี้ออกไปทันที มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
เมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขากับเหนียนยวี่ไม่ได้พบเจอกันแต่อย่างใด และเขาไม่เคยผูกอาฆาตกับผู้ใด เหตุใดนางถึงเกลียดชังเขาได้?
“ยวี่เอ๋อร์ เ้าเป็อะไร?” จ้าวอี้สังเกตเห็นความผิดปกติของเหนียนยวี่ ครั้นเห็นนางจับเข่าตัวเองแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็ห่วงอย่างอดไม่ได้ “ขาของเ้าเป็อะไรงั้นหรือ?”
น้ำเสียงกังวลที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันของจ้าวอี้ ทำให้เหนียนยวี่ได้สติ ครั้นตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เพียงพริบตา เหนียนยวี่ก็เก็บงำอารมณ์ในใจได้อย่างรวดเร็ว ฉีกยิ้มมุมปาก “ไม่ได้เป็อะไร เพียงได้ยินท่านเอ่ยถึงความงดงามของดอกไม้โบยบินในเมืองเจวี๋ย จึงแค่คิดว่าอยากจะเห็นมันเท่านั้น”
จ้าวอี้เห็นรอยยิ้มที่ดูผ่อนคลายบนใบหน้าของนาง เขาเองก็โล่งใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง “นั่นมิใช่เื่ง่ายเลย หากเ้าอยากเห็น ต้องรอปีหน้า ยามเดือนสามเดือนสี่ ยามที่ดอกไม้เบ่งบานเต็มเมืองเจวี๋ย ข้าจะพาเ้าไป เชื่อข้า หากเ้าได้เห็นดอกไม้โบยบินงดงาม จะต้องมิไม่มีทางลืมไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน”
“ไม่มีทางลืมไปตลอดชีวิตงั้นหรือ?” เหนียนยวี่พึมพำ ดวงตาปกคลุมไปด้วยหมอกควัน
มีความทรงจำแบบนั้น ความเกลียดชังที่ฝังลึกเช่นนั้น นางไม่มีทางลืมไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน!
ทันใดนั้น เหนียนยวี่ลุกยืนขึ้น ถือถ้วยชาก้าวเดินไปนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวที่ศาลา สองเท้าเหยียบลงบนเก้าอี้ งอเข่าทั้งสองเล็กน้อย เอนหลังพิงเสา ท่าทีสบายๆ กล้าหาญเช่นนั้น ไร้ซึ่งท่าทีของคุณหนูในห้องหอในทันใด การกระทำเช่นนั้นอยู่ในสายตาของจ้าวอี้ ทว่าดวงตาของเขากลับวาววับเป็ประกาย
เขาชอบที่เหนียนยวี่ดูเป็อิสระและเรียบง่ายเช่นนี้ จ้าวอี้เดินตามเหนียนยวี่ไปนั่งบนม้านั่งตัวยาว พูดคุยเล่าเื่ราวเกี่ยวกับการเดินทางของเขาต่อ
หลีอ๋องจ้าวเยี่ยนที่อยู่ด้านข้าง จ้องมองเหนียนยวี่ด้วยั์ตาที่สงบนิ่ง แฝงแววสำรวจ
ั์ตาที่เต็มไปด้วยท่าทีเกลียดชังของเหนียนยวี่ เมื่อครู่นี้ผุดเข้ามาในหัวเขา เมื่อครู่นี้นางจ้องมองมาที่ตนเอง ความรู้สึกนั้นมันช่างแสนจะประหลาด
ดอกไม้โบยบินย้อมสีเื......
จ้าวเยี่ยนขบเขี้ยวเคี้ยวคำเหล่านี้อยู่ในใจ สิ่งนี้ที่เหนียนยวี่เอ่ยขึ้นมา เป็สิ่งที่นางมโนภาพขึ้นมาเอง หรือนางเคยเห็นดอกไม้โบยบินที่ย้อมไปด้วยสีเืจริงๆ กันแน่?
ดอกไม้ที่โบยบินย้อมสีเื? สถานการณ์เช่นไรที่ทำให้ดอกไม้โบยบินย้อมสีเื?
ทว่าเหนียนยวี่...
เท่าที่เขารู้ เหนียนยวี่ไม่เคยออกไปนอกเมืองชุ่นเทียน แน่นอนว่านางย่อมไม่มีโอกาสได้เคยเห็นดอกไม้โบยบินที่เมืองเจวี๋ยมิใช่หรือ?
จ้าวเยี่ยนค่อยๆ จิบชา เขาเริ่มมองเหนียนยวี่ไม่ออกมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งสามคนนั่งอยู่ในศาลาอยู่สักพักใหญ่ จนกระทั่งมีคนของจวนมู่อ๋องเข้ามาหาจ้าวอี้ รายงานว่าฮองเฮาอวี่เหวินเรียกเขาไปพบ เขาจึงต้องออกไปอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก ยามที่ใกล้จะออกไปยังไม่ลืมกำชับเหนียนยวี่ว่า อย่าลืมงานเลี้ยงของฉางไทเฮาในวันพรุ่งนี้
เหนียนยวี่ยิ้มสรวลพลางมองตามหลัง จนกระทั่งเขาออกไป แม้นนางอยากจะลืม แต่เกรงว่าจะมีใครบางคนที่ไม่ยอมให้นางลืม
“ท่านอ๋องหลียังมีเื่อะไรอีกหรือไม่?” เหนียนยวี่เหลือบมองบุรุษที่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ซึ่งประจวบเหมาะกับสายตาของบุรุษที่มองไปที่นางพอดี
“ดอกไม้โบยบินย้อมสีเืเป็อย่างไรหรือ?” จ้าวเยี่ยนเอ่ยปากถาม มองตรงเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้างของเหนียนยวี่โดยมิหลบเลี่ยง
นางมิคาดคิดเลยว่าเขาจะถามถึงเื่นี้ เหนียนยวี่มองออกถึงการถามหยั่งเชิงของเขา พลันหัวเราะแย้มยิ้มออกมาอย่างแ่เบา “ท่านอ๋องหลีเฉลียวฉลาดปานนั้นก็ยังจินตนาการไม่ออกหรือเพคะ?”
“จินตนาการ?” จ้าวเยี่ยนขมวดคิ้ว ดอกไม้โบยบินที่ย้อมไปด้วยสีเืนั่น เป็มโนภาพแค่นั้นจริงหรือ?
“เปิ่นหวางจินตนาการไม่ออกจริงๆ” จ้าวเยี่ยนค่อยๆ ยกยิ้ม “ดอกไม้โบยบินย้อมสีเืที่อยู่ในจินตนาการของคุณหนูยวี่เป็เช่นไรหรือ?”
ที่อยู่ในจินตนาการของนางงั้นหรือ?
เห็นได้ชัดว่าเหตุที่จ้าวเยี่ยนเอ่ยถามออกมาเช่นนี้คือไม่อยากจะยอมแพ้ใช่หรือไม่?
ภาพดอกไม้โบยบินย้อมสีเืถูกสายลมพัดพาปลิวไสวบนนภาผุดเข้ามาในหัวนาง นางในยามนี้ผ่านการตกตะกอนจากเมื่อครู่นี้แล้ว แม้นในใจจะมีคลื่นอารมณ์มากมาย ทว่าเหนียนยวี่กลับสามารถควบคุมได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ปล่อยให้อารมณ์แสดงออกมา
“ท่านอ๋องหลีมีโอกาสััด้วยตัวเอง ก็ไม่ใช่ว่าเข้าใจทุกสิ่งแล้วหรือ? ไม่จำเป็ต้องฟังสิ่งที่เรียกว่า จินตนาการ ถ้อยคำเรื่อยเปื่อยอะไรพวกนั้นของเหนียนยวี่หรอกเพคะ” เหนียนยวี่สบตาจ้าวเยี่ยน เขาอยากจะรู้มากขนาดนั้นเลยหรือว่า ดอกไม้โบยบินที่ย้อมไปด้วยสีเืเป็เช่นไร
สิ่งนั้นคือความสิ้นหวัง ความโศกเศร้า ทว่าหลีอ๋องจ้าวเยี่ยนผู้นี้...
มีนาง ‘เหนียนยวี่’ ผู้นี้อยู่ นางเชื่อว่าใน่ชีวิตชาตินี้ของจ้าวเยี่ยนจะต้องสมหวัง ได้เห็นดอกไม้โบยบินอาบย้อมไปด้วยสีเื ปลิวไสวไปทั่วทั้งเมืองอย่างแน่นอน
เหนียนยวี่กำถ้วยน้ำชาแน่น ะโลงจากม้านั่งตัวยาว วางถ้วยชาลง จากนั้นย่อกายโค้งคารวะให้จ้าวเยี่ยน “หากท่านอ๋องหลีไม่มีเื่อะไรแล้ว เช่นนั้นเหนียนยวี่ขอตัวลานะเพคะ”
จ้าวเยี่ยนขมวดคิ้ว ไม่รอให้เขาเอ่ยอะไร เหนียนยวี่หันหลังกลับเดินออกจากศาลาเก๋งเรียบร้อยแล้ว
เฝ้ามองแผ่นหลังที่เดินลับห่างออกไป รอยยิ้มเย้ยหยันพลันผุดขึ้นที่มุมปากของจ้าวเยี่ยน
ในสายตาของเหนียนยวี่ ตนเองราวกับเป็งูและแมงป่องที่ทำให้นางคอยหลีกเลี่ยงอยู่ตลอด
ทว่ายิ่งนางหลีกเลี่ยงมากเท่าใด เขาก็ยิ่งอยากเข้าใกล้นางมากขึ้นเท่านั้น
“เหนียนยวี่ วันหนึ่งในสายตาของเ้าจะมีแต่เงาของเปิ่นหวาง และจะมีเพียงเปิ่นหวางเท่านั้น” จ้าวเยี่ยนพึมพำในปาก รวบรวมความสงบนิ่งราบเรียบ ดวงตาเต็มไปด้วยเจตจำนงอันแน่วแน่
รอให้เขาได้นั่งลงบนตำแหน่งที่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น สิ่งแรกที่เขาจะทำคือ ทำให้เหนียนยวี่ผู้นี้ยอมจำนนอยู่ภายใต้เท้าเขา ทำให้นางเข้าใจว่าชั่วชีวิตของนางมีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้!
ครั้นคิดถึงสิ่งนี้ ความปรารถนาในราชบัลลังก์ของจ้าวเยี่ยนก็ยิ่งทวีคูณ
สักวันหนึ่ง...สักวันหนึ่ง...เขาจะต้องทำให้สักวันหนึ่งมาถึงให้เร็วขึ้น!
เหนียนยวี่ที่เดินออกไปไม่รู้ถึงความคิดของจ้าวเยี่ยน นางเดินกลับไปที่พักของตนเอง ทว่ายังไม่ทันได้ถึงลานเรือนก็เห็นชิวตี๋ยืนรออยู่ที่หน้าประตูลานเรือนอยู่ก่อนแล้ว ครั้นชิวตี๋เห็นเหนียนยวี่เดินกลับมา พลันรีบเร่งเข้ามาต้อนรับทันที
“คุณหนูยวี่ องค์หญิงใหญ่ชิงเหอเชิญคุณหนูให้ไปหาเ้าค่ะ” ใบหน้าของชิวตี๋ซ่อนความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ ั้แ่ที่คุณหนูยวี่เข้ามาอยู่ในจวนองค์หญิงใหญ่ คุณหนูยวี่ไม่เคยถูกองค์หญิงใหญ่ชิงเหอเรียกพบเช่นนี้มาก่อน การเรียกไปพบในวันนี้มีความสำคัญมาก นางรู้ดีว่า ในใจขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอทรงรักใคร่เอ็นดูธิดาบุญธรรมผู้นี้มาก
“เสด็จแม่หรือ?” เหนียนยวี่หวนคิดถึงเื่ที่เกิดขึ้นในโถงใหญ่ เมื่อครู่นี้จึงเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าแย้มยิ้มบานสะพรั่ง รีบเดินตามชิวตี๋ไปยังที่พักขององค์หญิงใหญ่ทันที
ในลานอันสงบเงียบ เหนียนยวี่เข้าไปในลาน เห็นจือเถาคอยอยู่หน้าประตู ครั้นนางเห็นเหนียนยวี่ จือเถาส่งสายตาบอกชิวตี๋ให้นางถอยออกไป แล้วตนเองจึงค่อยเดินนำเหนียนยวี่เข้าไป
ในห้องมีองค์หญิงชิงเหอเพียงผู้เดียว นางในยามนี้ กำลังนั่งหลับตาเอนกายพิงตั่ง กลิ่นเครื่องหอมอบอวลด้านข้าง ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้า องค์หญิงใหญ่ชิงเหอจึงเอ่ยปากออกมา ก่อนจะลืมตาขึ้นว่า “ยวี่เอ๋อร์มาแล้วหรือ?”