หลิวซุนซื่อเพิ่งนึกได้ วันนี้ออกบ้านแต่เช้า ลืมไปรับน้องสี่ที่สถาบันศึกษา
แต่นางไม่มีทางยอมรับเื่นี้ จึงใช้คำพูดที่หลิวฉีซื่อโปรดปรานมาเอ่ย “ใช่ แม่ น้องสี่เป็คนที่กำลังเตรียมสอบ แม่ของลูกสะใภ้ป่วย คงไม่ดีถ้าพาเขาไปด้วย มีแต่ความอัปมงคล อีกอย่าง น้องสี่ร่ำเรียนอย่างตรากตรำมาแรมปี เราเองคงไม่สามารถพาเขามาลำบาก กลัวว่าจะทรมานน้องสี่เปล่าๆ”
หลิววั่งกุ้ยเป็ผู้ร่ำเรียนที่ไม่ได้แข็งแรงกำยำ ร่างกายไม่ได้แข็งแรงเท่าอีกสามคน หลิวฉีซื่อได้ยินดังนั้นจึงไม่ได้สงสัย เพียงแต่รำคาญหลิวซุนซื่อในใจ เพียงเพราะหลิวซุนซื่อรั้นจะให้บุตรชายไปบ้านพ่อตาแม่ยาย จุดนี้ทำให้นางไม่ชอบใจยิ่งนัก เป็ครั้งแรกที่รู้สึกว่าหลิวซุนซื่อเป็คนไม่รู้จักกาลเทศะ
มือเล็กๆ บนไหล่ของหลิวฉีซื่อที่กำลังบีบนวด ช่างสบายเหลือเกิน หลิวฉีซื่อนึกถึงคำพูดที่สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงเคยพูดว่า ทำปลาใส่น้ำมันเยอะ ขี้คร้านโม่ข้าวเปลือก จึงเอาไปแลกข้าวสารในตำบลเพื่อกินเอง ช่างเป็ผู้หญิงที่ขี้คร้านตัวเป็ขน เก่งแต่กิน ไม่รู้จักเก็บรำข้าวไว้ แล้วใช้เลี้ยงไก่ในบ้านที่เช่าไว้เพื่อจะได้มีไข่เพิ่มให้ในบ้าน?
หลิวฉีซื่อนับวันยิ่งรู้สึกว่าหลิวซุนซื่อไม่ใช่ลูกสะใภ้ที่ดีเท่าใด
หลิวเต้าเซียงฟังครอบครัวของหลิวเหรินกุ้ยพูดปด แต่ย่าของตนกลับชื่นชอบ จึงคิดในใจว่าควรแฉเื่ราวโป้ปดของคนทั้งสอง
หลิวเหรินกุ้ยมาถึงบ้านตอนค่ำ ย่อมไม่กล้าเอ่ยว่าจะกลับตำบลวันเดียวกัน บอกเพียงว่าวันรุ่งขึ้นต้องรีบกลับไปทำงานในโรงเตี๊ยม
จากนั้นหลิวฉีซื่อก็ขอให้จางกุ้ยฮัวฆ่าไก่ตัวที่ตั้งใจเหลือไว้ ใจของนางเองก็เสียดาย เพราะการจะเลี้ยงไก่เล้าใหม่ ก็ต้องรออีกครึ่งปีกว่าจะวางไข่!
หลิวซุนซื่อเองก็น่าจะรับรู้ว่าหลิวฉีซื่อไม่ชอบหน้าตนเอง จึงขลุกอยู่แต่ในห้องปีกตะวันออกและรอกินอาหารเย็น
ก่อนอาหารเย็น หลิววั่งกุ้ยไหว้วานคนส่งจดหมายมา บอกว่ามีสหายที่สนิทกันเชิญเขาไปท่องเที่ยว เพื่อเป็การสันทนาการระหว่างศิษย์จากสถาบันอื่น จึงพลาด่เวลาที่จะได้กลับบ้าน
หลิวเต้าเซียงรู้สึกประหลาดใจมากที่หลิวฉีซื่อกลับไม่โกรธราวสายฟ้าฟาด ต่อมาพอคิดดู หลิววั่งกุ้ยคือความหวังของนาง ขอเพียงสอบติด นั่นแปลว่านางจะได้เป็ถึงท่านผู้หญิง
หลังอาหารเย็น หลิวต้าฟู่จงใจเรียกหลิวเหรินกุ้ยและหลิวซานกุ้ยไปยังห้องตะวันออก โดยบอกว่ามีบางอย่างจะพูด หลิวฉีซื่อและหลิวเสี่ยวหลันก็เข้าไปเช่นกัน แต่ลูกสะใภ้ที่เหลืออยู่และเด็กน้อยไม่ต้องเข้าไป
“พี่ใหญ่ พี่รู้หรือไม่ว่าปู่เราจะคุยเื่อะไร?” หลิวเต้าเซียงวิเคราะห์อยู่นาน แต่ก็นึกไม่ออก
หลิวชิวเซียงวางหลิวชุนเซียงที่หลับอยู่ลงบนคั่ง จากนั้นก็ถอดเสื้อนอกแล้วห่มผ้าห่ม แล้วค่อยตอบ “ไม่รู้สิ เช้าวันนี้ปู่เราขึ้นไปไหว้สุสานกับพ่อ เหมือนว่าปู่อารมณ์ไม่ค่อยดี คงเพราะลุงใหญ่ ลุงรอง และอาสี่ไม่กลับมากระมัง”
หลิวเต้าเซียงตอบโต้ทันทีว่า “จะเป็ไปได้อย่างไร ลุงรองกลับมา ปู่ก็หน้าระรื่น ไม่ได้โกรธ เมื่อได้ยินลุงรองบอกเื่แม่ยายป่วย ยังกล่าวชมลุงรองว่าทำได้ถูกต้อง ควรไปเยี่ยมแม่ยายของตนเองที่ป่วยก่อน”
จางกุ้ยฮัวล้างจานเสร็จกำลังผลักประตูกลับเข้าห้องพอดี ได้ยินทั้งสองคุยกัน จึงเอ่ย “เ้าใจร้อนอะไร รอพ่อเ้ากลับมาก็รู้แล้วนี่นา!”
หลิวเต้าเซียงคิดๆ ดูก็ใช่ กระนั้นจึงคว้าเก้าอี้เล็กมานั่งข้างคั่ง จางกุ้ยฮัวอาศัยแสงไฟจากคั่งกำลังคัดแยกฝ้าย นาง้าแบ่งฝ้ายเป็สามเส้น จากนั้นใช้มือขยี้ให้กลายเป็เชือกฝ้ายที่แข็งแรงเป็เส้นๆ นี่คือฝ้ายที่ตกคุณภาพจากปีที่แล้ว
จางกุ้ยฮัวเป็คนขยัน เสียดายไม่อยากทิ้ง นางจึงหาเวลาว่างมาตากของคุณภาพต่ำจนแห้ง เพื่อที่ปีนี้จะได้ใช้ทำราวตาก
ห้องด้านตะวันออกที่หลิวซานกุ้ยอยู่กำลังสว่างไสว หลิวฉีซื่อนั่งอยู่บนคั่งอุ่นๆ ส่วนหลิวเสี่ยวหลันกำลังออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของนาง
หลิวเหรินกุ้ยสบตาหลายครั้งเพื่อเป็สัญญาณให้หลิวซานกุ้ยช่วยถามพ่อแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลิวซานกุ้ยเอาแต่ก้มหน้า จ้องมองพื้นอย่างจริงจัง
ในที่สุด เมื่อเห็นว่าเวลานั้นดึกมากแล้ว เปลือกตาของเขาเองก็ทนไม่ไหว เริ่มปิดเข้าหากัน จึงเอ่ยปากถาม “พ่อ ท่านเรียกลูกทั้งสองมามีเื่อันใดมิทราบ? วันรุ่งขึ้นลูกชายยังต้องเร่งกลับเข้าไปในตำบลอีก”
หลิวฉีซื่อได้ฟังจึงรีบเอ่ย “พรุ่งนี้เช้าเ้าพาลูกๆ กลับไปก่อน ให้ซุนซื่ออยู่ต่อ” นางมีความคิดจะจับหลิวซุนซื่อที่ทำตัวไม่ดีมา ‘ปรับทัศนคติ’
“แม่ นี่ไม่ได้หรอก ลูกๆ กำลังอยู่ในวัยซุกซน ข้าเพียงคนเดียวยังต้องช่วยดูร้านให้เ้านาย ไหนเลยจะมีเวลามาดูแลลูกๆ” หลิวเหรินกุ้ยคัดค้านโดยแทบจะไม่ได้คิด จากนั้นก็มองไปทางหลิวต้าฟู่ “พ่อ เป่าเอ๋อร์เพิ่งเข้าเรียน อาจารย์บอกว่าเด็กคนนี้ซนเกินไป ต้องดูแลให้เข้มงวด”
หลิวต้าฟู่สูบยาสูบแห้งเงียบๆ เปลือกยาสูบที่มีประกายไฟนั้นแดงขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะการสูบของเขา
หลิวฉีซื่อเห็นว่าเขาไม่ส่งเสียง จึงเอ่ยอีก “ก็มีจือเอ๋อร์กับจูเอ๋อร์มิใช่หรือ?”
หลิวเหรินกุ้ยเรียกพ่ออีกหน ชัดเจนว่าเขารู้ดีว่านิสัยของผู้เป็แม่นั้นเป็เช่นไร
หลิวต้าฟู่สูดควันแห้งอีกหนึ่งครั้ง แล้วจึงเอ่ย “เอาเถิด เหรินกุ้ยต้องทำงานช่วยเ้านาย ในบ้านต้องมีคนดูแลลูก อีกอย่าง ในบ้านมีสะใภ้จางก็เพียงพอแล้ว”
หลิวเหรินกุ้ยไม่้าให้ซุนซื่ออยู่ที่นี่ต่อ “ใช่ ชิวเซียงเองก็ไม่เด็กแล้ว ช่วยงานบ้านได้ อีกอย่าง แม่ ข้าปลีกตัวไม่ได้จริงๆ ลูกสามคนบวกกับข้า การกินอยู่ของทั้งสี่คน ล้วนต้องพึ่งซุนซื่อช่วยดูแลจัดการเพียงคนเดียว”
หลิวฉีซื่อคิดจะพูดต่อ หลิวต้าฟู่ก็เคาะยาสูบลงบนคั่งเพื่อให้ขี้เถ้าด้านในร่วงหล่นออกมา แล้วเอ่ยปาก “เอาน่า หากซุนซื่อไม่ตามกลับไปด้วย ใครจะดูแลเหรินกุ้ย? เวลาก็ดึกมากแล้ว รีบคุยเื่หลักเถิด”
หลิวฉีซื่อคิดๆ ดู เื่นั้นสำคัญกว่า จึงได้แต่ปล่อยวางเื่สั่งสอนหลิวซุนซื่อไปก่อน “วันนี้พ่อบ้านโจวมาที่นี่ พวกเ้าคงรู้สินะ”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ นางก็นึกถึงเื่ที่น้องชายแท้ๆ เป็ผู้ดูแลใหญ่ในตระกูลหวง หลังของหลิวฉีซื่อก็ยืดตรง ท่าทีที่พูดจาก็วางมาดขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อเห็นบุตรชายทั้งสองพยักหน้า จึงเอ่ย “เื่แรกคือ น้าชายของพวกเ้ามีหลานชายเพิ่มขึ้น รออากาศดีเมื่อใด ข้าจะพาหลันเอ๋อร์ไปเที่ยวเล่นที่เมืองซีโจวสักหน่อย เพราะถึงอย่างไรจวนตระกูลหวงก็นับว่าเป็ตระกูลอันดับต้นๆ ของคนในเมืองซีโจว นายท่านใหญ่ในบ้านตอนนี้เป็ถึงผู้ช่วยผู้ว่าราชการระดับห้าของเมืองซีโจว”
หลิวเหรินกุ้ยฟังออกถึงความยินดีปรีดาในน้ำเสียงนั้น ถึงอย่างไรแม่ของตนก็คอยปูทางให้กับบรรดาลูกๆ จึงรีบเอ่ยด้วยความยินดี “แม่สายตากว้างไกล อาศัยบุญบารมีของแม่ ถึงได้มีเื่ดีงามเช่นนี้”
สำหรับคําพูดของเขา หลิวฉีซื่อพอใจอย่างมาก สีหน้าก็ดีกว่าเดิมไม่น้อย แล้วจึงเอ่ยอีก “นี่คือเื่แน่นอนอยู่แล้ว ใต้ต้นไม้ใหญ่ย่อมมีพื้นที่ร่มเงาให้พักพิง บรรดาลูกหลานก็มีแต่คนชอบร่ำเรียน ข้าเองก็พยายามสุดชีวิต เพื่อที่จะวางอนาคตที่ดีให้กับทุกคน”
ถ้าหลิวเต้าเซียงอยู่ที่นี่ นางต้องแสยะยิ้มอย่างแน่นอน การกระทำของหลิวฉีซื่อเช่นนี้เป็เพียงการจับลูกไก่มาแต่งองค์ทรงเครื่องถวายตัว
“แม่ ก่อนหน้านี้อาจารย์ยังกล่าวชมจือเอ๋อร์ว่าก้าวหน้าในการเรียน กระทั่งเป่าเอ๋อร์ที่เพิ่งตามหลังก็เริ่มท่องคัมภีร์ตรีอักษรได้แล้ว เพียงแต่วันนี้ดึกเกินไป มิเช่นนั้น คงบอกให้เ้าเด็กนั่นมาท่องให้พ่อกับแม่ฟัง”
ขณะนี้หลิวเหรินกุ้ยรู้สึกเสียใจทีหลัง ไยจึงต้องปากมากไม่เข้าเื่ว่าพรุ่งนี้ต้องรีบกลับเข้าตำบล เหตุใดต้องรอจนถึงตอนนี้ถึงค่อยเอ่ยปาก หากว่าเข้าบ้านก็ถามถึง ไม่แน่ว่าสามารถเรียกเ้าอ้วนของตนเองมาเอาความดีความชอบต่อหน้าพ่อแม่สักหน่อย จะได้ทำให้หญิงชราดีใจแล้วคงจะได้ของดีมาไม่น้อย
หลิวฉีซื่อฟังแล้วก็มีความสุข นางโปรดปรานที่จะฟังคำพูดเหล่านี้ อย่างเช่นเด็กในบ้านเรียนดี เทียบเท่ากับว่าก้าวเข้าใกล้ชีวิตของท่านผู้หญิงอีกหนึ่งขั้น
“เป่าเอ๋อร์ของเราเป็เด็กดี เมื่อเขาลืมตาขึ้น ข้าก็ดูออกแล้วว่าคือคนฉลาดเฉลียว เื่นี้เชื่อใจแม่ได้ ขอเพียงเขาตั้งใจเรียน น้าชายเ้าต้องช่วยสนับสนุนเขาได้แน่นอน”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็เปลี่ยนเป็หน้านิ่วคิ้วขมวดและเป็กังวลขึ้นมา
หลิวเหรินกุ้ยเห็นท่าที หัวใจก็ตกไปอยู่ตาตุ่ม!
หลิวซานกุ้ยรู้สึกว่าที่หลิวฉีซื่อพูดเช่นนี้ คงกำลังรอให้พวกเขาสองพี่น้องเอ่ยปาก จึงแอบกวาดตามองคนในห้อง แล้วก้มหน้ามองพื้น อืม บุตรสาวคนรองของนางเคยบอกไว้ พูดเยอะก็พลาดเยอะ พูดให้น้อยจะได้พลาดให้น้อย ไม่พูดก็ไม่พลาด
จริงตามคาด เข้าห้องมานานเพียงนี้ นี่เป็ครั้งแรกที่เขาไม่ถูกด่า
หลิวฉีซื่อรออยู่สักพัก เมื่อไม่เห็นผู้ใดเอ่ยถาม จึงยื่นเท้าไปถีบหลิวต้าฟู่ที่นั่งงีบอยู่อีกทาง
เขาลืมตาขึ้นเห็นหลายคนมองมา จากนั้นก็เห็นหลิวฉีซื่อจ้องมองด้วย ถึงได้ตื่นขึ้นแล้วเอ่ย “อืม เ้ารอง เ้าสาม วันนี้พี่ใหญ่พวกเ้าเขียนจดหมายมา จดหมายแม่พวกเ้าเป็คนอ่าน บอกว่าไม่อยากให้เซิ่งเอ๋อร์เรียน”
เซิ่งเอ๋อร์ที่กล่าวถึงคือ บุตรชายของบุตรชายคนโต หลิวสี่กุ้ย ชื่อหลิวจื้อเซิ่ง ยังมีน้องสาวอีกหนึ่งคนชื่อ หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ อ่อนกว่าหลิวจูเอ๋อร์หนึ่งปี อายุสิบขวบ
“ก็นั่นน่ะสิ ครอบครัวสี่กุ้ยเองก็ไม่ง่ายเลย” หลิวฉีซื่อเอ่ยคล้อยตาม
“แม่ พี่ใหญ่ไม่ให้เซิ่งเอ๋อร์เรียนต่อจริงหรือ?” หลิวเหรินกุ้ยไม่รอให้หลิวฉีซื่อเอ่ยปาก “ทว่า เซิ่งเอ๋อร์ปีนี้ก็อายุสิบสามปี ก็สมควรออกมาทำงานได้แล้ว หรือจะให้ไปหัดเรียนรู้การทำบัญชีกับพี่ใหญ่?”
หลิวฉีซื่อนั้นอึดอัดในใจ ไม่สามารถบอกได้ว่าหลิวสี่กุ้ยจะให้หลิวจื้อเซิ่งไปเรียนรู้การทำบัญชีหรือไม่ จึงเอ่ยต่อ “เฮ้อ เซิ่งเอ๋อร์คือคนที่เอาดีด้านการเรียน สี่กุ้ยเองก็ถูกบีบบังคับจนไม่มีทางเลือก”
“แม่ หลายปีมานี้การหาเงินนั้นยากเย็นยิ่งนัก ข้าเองก็เป็เพียงเหรัญญิก ขอเพียงนายไม่ล้ม ก็ยังสามารถฝืนใช้ชีวิตต่อไปได้” หลิวเหรินกุ้ยเริ่มระแวง จึงรีบพร่ำพรรณาความลำบากของตน
จากนั้นไม่ว่าหลิวฉีซื่อจะพูดอะไร หลิวเหรินกุ้ยก็ไม่คิดจะเอ่ยอะไรต่ออีก
“ที่แท้ หลิวสี่กุ้ยโอดครวญถึงความยากจนในจดหมาย ทั้งยังเอ่ยถึงอนาคตของหลิวจื้อเซิ่ง ทั้งบ้านขยันหมั่นเพียรในการทำงาน หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์เข้าโรงปั่นด้าย เพื่อเลี้ยงดูตนเอง อาจจะได้เรียนรู้มารยาทเสียบ้าง ต่อไปอาจได้ออกเรือนกับบ้านผู้ดี เพียงแต่หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์อายุยังน้อยและเพิ่งจะเข้าจวน ได้เงินน้อย ทั้งยังต้องรับมือกับนางกำนัลปักที่สอนงาน ยามปกติยังต้องช่วยเหลืองานบ้าน”
ปรากฏว่าหลิวเหรินกุ้ยฟังเสร็จ ไหนเลยจะไม่ล่วงรู้ความหมายแท้จริงของพี่ใหญ่ตนเอง จึงรีบเอ่ย “พี่ใหญ่ทำงานในจวน เดือนหนึ่งก็น่าจะได้เงินสักสองพวง บวกกับของพี่สะใภ้ใหญ่กับเฉี่ยวเอ๋อร์ แม้ว่าจะไม่ได้ช่วยอะไรนัก แต่ก็น่าจะผ่านพ้นไปได้ อีกอย่าง ทุกปีก็ได้รับข้าวสาร เนื้อแห้ง เป็ดไก่ต่างๆ ที่ส่งจากบ้านไปไม่ใช่หรือ?”
หลิวฉีซื่อวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ ใจหนึ่งก็อยากให้บุตรชายและลูกหลานได้มีหนทางั เพื่อที่นางจะได้กลายเป็ท่านฮูหยินของตระกูลขุนนาง มีคนรับใช้ที่ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างอย่างจางกุ้ยฮัว ให้นางปลูกแปลงผักหนึ่งไร่กว่า แล้วเลี้ยงเป็ดไก่มากมาย พร้อมกับหมูตัวใหญ่อีกสามตัว ก็สามารถจัดการอาหารในบ้านได้ทั้งปี
-----