ฉินอวี่มองไปยังกุมารทิพย์ในตันเถียนด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย จนมีความรู้สึกมากมายขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในใจ
เดิมแล้ว ตามการคาดการณ์ของเขา แก่นโลหิตนี้จะต้องมีพลังมากพอที่จะกระตุ้นสายเืหยาจื้อและเสวียนอู่ออกมา จนสามารถก้าวสู่ขั้นเทพ์ได้ แม้ว่าจะไม่ได้ก็จะต้องสามารถเข้าถึงระดับสูงสุดของขั้นกุมารทิพย์ได้ แต่ในตอนนี้ ทุกสิ่งตรงข้ามกับที่เขาคิดไว้ทั้งสิ้น ระดับฝึกฝนของเขาอยู่เพียงระดับต้นของขั้นกุมารทิพย์เท่านั้น นอกจากสิ่งนี้แล้วก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ อีกเลย
ดูเหมือนว่าแก่นโลหิตนี้จะถูกโอสถโลหิตดูดซับไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนที่เหลืออยู่ได้กลายเป็ไข่มุกโลหิตเม็ดหนึ่งที่กำลังลอยอยู่ตรงระหว่างคิ้วของกุมารทิพย์
“ทำไมจึงไม่ได้ดูดซับไปล่ะ?” ฉินอวี่งุนงงอย่างมาก หากจะว่ากันโดยปกติแล้ว จิติญญาที่เหลือในแก่นโลหิตได้ถูกเสี่ยวหลิงทำลายไปแล้ว ดังนั้นจึงมีเพียงพลังอันบริสุทธิ์ และเขาเพียงแค่ต้องดูดซับมันเท่านั้น แต่ตอนนี้ แก่นโลหิตนี่...
ช้าก่อน!
“เป็ไปได้หรือไม่ว่าจิติญญาที่หลงเหลืออยู่ในแก่นโลหิตนี้ยังไม่ตาย?” หัวใจของฉินอวี่หยุดนิ่งไปทันที เมื่อมองจากสถานการณ์ในตอนนี้ คงมีเพียงจิติญญาที่เหลืออยู่ยังไม่ตายเท่านั้นที่ทำให้เขาไม่สามารถดูดซับไปได้
“เป็ไปได้อย่างไรกัน? กลายเป็หมอกโลหิตไปหมดแล้ว จะไม่ตายได้อย่างไรกัน?” ฉินอวี่ไม่อยากเชื่อ แก่นโลหิตนั้นได้กลายเป็หมอกโลหิตไปแล้ว จิติญญาที่เหลืออยู่ต้องตายซ้ำแล้วอย่างแน่นอน จะมีชีวิตรอดได้อย่างไร?
ภายใต้ความไม่พอใจนั้น ฉินอวี่ได้เรียกวิชาเซียนมรรคา์อีกครั้ง เพื่อลองดูดซับแก่นโลหิตด้วยกุมารทิพย์ แต่กลับไม่มีการตอบสนองใดๆ หลังจากพยายามอยู่ถึงสองสามครั้ง
“นี่มัน...” ฉินอวี่เริ่มตกตะลึงมากขึ้น หากแก่นแท้โลหิตเหลือจิติญญาอยู่จริง เช่นนั้นครั้งนี้สิ่งที่ตนเองทำมาก็นับว่าสูญเปล่าอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับพลังใดๆ เท่านั้น แต่กลับยังทำให้จิติญญาที่หลงเหลือนั้นอยู่ในกุมารทิพย์ด้วย? ยิ่งไปกว่านั้น... สิ่งนี้ยังเป็จิติญญาที่เหลือของบรรพชนหยาจื้อ
หากเป็เช่นนี้ต่อไป แก่นโลหิตไม่เพียงแต่จะไม่อาจพัฒนาได้เท่านั้น แต่กลับกลายเป็ะเิเวลาที่พร้อมจะทำลายชีวิตของตนเองได้ทุกเมื่อ
ฉินอวี่สูดลมหายใจเข้าอยู่หลายครั้ง พยายามทำจิตใจตนเองให้สงบลง ยังดีที่สภาวะจิตใจของเขาอยู่ในสภาวะขั้นสูง ไม่เช่นนั้น เมื่อพบเื่เช่นนี้ก็อาจจะโมโหจนบ้าไปแล้ว
“หากจิติญญาที่หลงเหลือในแก่นโลหิตยังมีชีวิตอยู่จริง เช่นนั้นแล้ว วันใดวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว จะต้องเกิดผลข้างเคียงขึ้นแน่นอน หรืออาจพูดได้ว่า หากเกิดผลข้างเคียงจากจิติญญาที่หลงเหลืออยู่ขึ้นมาเมื่อใด ก็จะไม่มีวันกำจัดมันได้ แต่จะกลับเป็ตัวข้าเองที่ต้องตาย จิติญญาที่เหลือนี้น่ากลัวยิ่งนัก หาก้ากำจัดมันนับว่าเป็เื่ยากยิ่งนัก! แล้วมันจะสร้างผลข้างเคียงขึ้นเมื่อไรล่ะ? คงจะต้องระวังตัวไว้เสมอในระหว่างที่มันยังไม่เกิดผลข้างเคียงตอบโต้กลับมาหรือ?” ฉินอวี่หน้าซีด วางแผนมาเป็อย่างดี แต่ครั้งนี้นับว่าผิดพลาดทั้งหมด จิติญญาหลงเหลือของแก่นโลหิตมีความแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้!
ครั้งนี้นับว่าทุกอย่างที่ทำมาล้มเหลวลงจริงๆ เดิมทีคิดว่าตนเองจะได้รับโชคอันยิ่งใหญ่ แต่กลับกลายเป็ภัยพิบัติอันใหญ่หลวง ฉินอวี่ในตอนนี้จะว่าถอยก็ไม่ใช่ จะว่าเดินหน้าต่อก็ไม่เชิง
“เดี๋ยวสิ แม้ว่าจิติญญาที่หลงเหลือจะยังไม่ตาย แต่เมื่อถูกเสี่ยวหลิงโจมตีก็น่าจะกำลังาเ็สาหัสสิ ไม่มีทางจะฟื้นฟูได้ในระยะเวลาสั้นเท่านี้ หรืออาจจะบอกได้ว่ายังมีความหวัง ก่อนที่ผลข้างเคียงจะเกิดขึ้น จะต้องวางแผนตั้งรับให้ดี เมื่อมันเริ่มออกฤทธิ์อีกครั้งก็จัดการสังหารเสียเลย”
“ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงสังหารจิติญญาที่เหลือได้ แก่นโลหิตนี้ก็ยังเป็ของข้า ดังนั้น การกระตุ้นสายเืหยาจื้อและเสวียนอู่ ก็เหลือเพียงต้องรอเวลาเท่านั้น!” ฉินอวี่ค่อยๆ สงบลง และมองเห็นความหวังเพราะเื่ทั้งหมดยังไม่ถึงขั้นจะแก้ไขไม่ได้
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ฉินอวี่ก็พิจารณาดูการเปลี่ยนแปลงหลังจากเปลี่ยนระดับการฝึกฝน
ผ่านไป่เวลาหนึ่ง ฉินอวี่ก็ลืมตาขึ้นพลางรู้สึกโล่งใจ ครั้งนี้ แม้ว่าจะต้องสูญเสียสิ่งที่ลงทุนทำมาไป แต่ต้องบอกเลยว่า พลังทั้งสองได้ก่อตัวขึ้นหลังจากแก่นโลหิตตกสู่ท้อง ซึ่งทำให้ร่างกายของฉินอวี่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายต่างเต็มไปด้วยััของสีแดงทองจางๆ และสีเหลืองผืนดิน พลังทั้งสองนี้ล้วนมีที่มาจากแก่นโลหิตหยดนี้ทั้งสิ้น
นอกจากจะบรรลุสู่ขั้นกุมารทิพย์แล้ว พละกำลังของฉินอวี่ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ตันเถียนขยายใหญ่ขึ้นเป็สิบเท่า แก่นปราณก็ยิ่งบริสุทธิ์ อสุนีลึกลับก็มีความหนาแน่นมากขึ้น
“แม้ว่าจะสามารถได้มาเพียงพลังของร่องรอยแก่นโลหิต แต่พละกำลังที่ได้มานี้ยังมีพลังของหยาจื้อและพลังของเสวียนอู่แฝงอยู่ หากสามารถนำออกมาใช้งานได้ ก็สามารถปลดปล่อยพลังอันมหาศาลออกไปได้ โดยเฉพาะพลังเสวียนอู่ ซึ่งทำให้การป้องกันของตนเองนั้นเพิ่มขึ้นเป็หลายเท่า”
“ในตอนนี้หากข้าเผชิญกับอันดับหนึ่ง แม้จะไม่สามารถเอาชนะได้ แต่เมื่อมีหัวใจเพลิงมรณะอยู่ ก็สามารถถอยออกมาตั้งตัวได้ และเมื่อเข้าสู่สภาวะปีศาจคลั่ง ก็พอจะมีโอกาสต่อสู้กับอันดับหนึ่งได้!” ฉินอวี่มองเพลิงมรณะในตันเถียน พลางพึมพำกับตนเอง
เพลิงมรณะในตอนนี้มีขนาดเท่านิ้วก้อย ราวกับตะเกียงน้ำมัน เปลวไฟยังไม่เสถียร สลัวบ้างสว่างบ้าง แต่กลางเปลวเพลิงนั้นมีแสงสีเทาขาวบางเท่าเส้นผมอยู่เส้นหนึ่ง ซึ่งนั้นคือหัวใจเพลิงของเพลิงมรณะ
เพลิงมรณะและเพลิงประหลาดชนิดอื่นนั้นมีความแตกต่างกัน แม้เพลิงมรณะจะดูดซับพลังมรณะ แต่ก็สามารถเผาผลาญชีวิตได้เช่นกัน ั้แ่โบราณมา แม้จะมีเพลิงมรณะอยู่อย่างเดียว แต่เมื่อถึงขีดสุด เพลิงชนิดนี้ก็สามารถเผาผลาญทุกสรรพสิ่งได้ทันที ขอเป็เพียงสิ่งที่มีพลังชีวิต มันก็สามารถเผาได้ทั้งสิ้น
ดังนั้น ขอเพียงการป้องกันของอันดับหนึ่งถูกทำลาย และสามารถปล่อยพลังมรณะเข้าสู่ร่างกายเขาได้ แม้จะไม่อาจเผาพลังชีวิตทั้งหมดของเขาได้ แต่ก็ทำให้าเ็สาหัสได้แน่นอน
ต้องบอกเลยว่า การมาหอคอยขัดเกลาชั้นเจ็ดในครั้งนี้ หากไม่ใช่เพราะจิติญญาที่เหลือนั่นแล้ว เขาคงได้รางวัลกลับไปอย่างบริบูรณ์ ไม่เพียงแต่จะได้อาวุธที่สร้างขึ้นโดยหวังต้าหนิว ยอดช่างตีเหล็กแห่งยุคไท่ชู เขายังได้แก่นโลหิตของหยาจื้อและเสวียนอู่ อีกทั้งยังหลอมหัวใจเพลิงมรณะขึ้นมาได้ แต่จิติญญาที่เหลืออยู่นี่ กลับทำให้ทุกสิ่งผิดพลาดไปจนหมด
“ช่างเถอะ เื่ก็เป็เช่นนี้แล้ว เสียใจไปก็ไร้ประโยชน์ อีกอย่าง ข้าก็ยังมีความหวังที่จะได้แก่นโลหิตของหยาจื้อและเสวียนอู่” ฉินอวี่ลืมตาขึ้น และลุกขึ้นยืนช้าๆ เหลือบมองไปยังส่วนลึกของแดนมรณะ และไม่คิดจะเดินลึกต่อเข้าไปอีกแล้ว ที่แห่งนี้แปลกประหลาดเกินไป ยิ่งทำต่อไปยิ่งสิ้นเปลืองพลังจิติญญา
“ถึงเวลาต้องออกไปแล้วล่ะ” ฉินอวี่พูดกับตนเอง และมองไปรอบด้าน สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจคือ ไม่รู้ว่าพยนต์มรณะหนุ่มตัวนั้นหายไปั้แ่เมื่อไรแล้ว อีกทั้งยังไม่เห็นร่องรอยของเสี่ยวหลิง และหลุมขนาดใหญ่ตรงเบื้องหน้ายิ่งทำให้ฉินอวี่งงมากขึ้น
“เสี่ยวหลิง?” ฉินอวี่ส่งเสียงเรียกขึ้นเบาๆ แต่ทุกสิ่งกลับเงียบสนิท
ฉินอวี่ก็ไม่คิดอะไรมาก เสี่ยวหลิงหายไปอย่างลึกลับ และไม่รู้ว่าหายไปไหน ฉินอวี่จึงเหาะขึ้นไปในอากาศอย่างมีข้อสงสัย
ทันทีที่ลอยขึ้นจากพื้น ฉินอวี่ก็ต้องตกตะลึง เมื่อมองลงไปเบื้องล่าง เขาก็พูดขึ้นด้วยความใ “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมข้าจึงเหาะขึ้นมาในอากาศได้แล้ว? เดี๋ยว มโนจิตก็ใช้ได้แล้วหรือ?”
ฉินอวี่ใช้มโนจิตส่องออกไปในรัศมีสามร้อยลี้ และต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามโนจิตของตนเองไม่ถูกบังคับไว้อีกแล้ว
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาของฉินอวี่ก็เปล่งประกาย และพึมพำขึ้นเบาๆ “ไม่ถูกระงับแล้ว เช่นนี้ข้าก็สามารถไปจากที่นี่ได้อย่างไร้สิ่งขัดขวาง” ฉินอวี่ใช้มโนจิตส่องออกไปในรัศมีสามร้อยลี้ และความคิดเช่นนี้ก็ปรากฏขึ้นในใจ
“หากเป็เช่นนี้ต่อไป ข้าก็จะหาตัวอันดับหนึ่งได้ง่ายขึ้น พละกำลังที่เพิ่มขึ้นครั้งนี้ แม้โอกาสชนะอันดับหนึ่งจะยังมีไม่มากนัก แต่หากทำให้อันดับหนึ่งต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลได้ก็นับเป็เื่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว”
ฉินอวี่เกลียดแค้นอันดับหนึ่งนั้นอย่างฝังรากลึก หากปล่อยให้เขาออกไปจากหอคอยขัดเกลา วันหนึ่งข้างหน้าจะกลายเป็หายนะ สู้พยายามสังหารเขาเสียก่อนน่าจะดีกว่า ฉินอวี่ไม่สนใจว่าการกระทำเช่นนี้จะสร้างความขุ่นเคืองให้เผ่าหยาจื้อหรือไม่ เพราะการสังหารอันดับห้าก็ได้สร้างความขุ่นเคืองมาครั้งหนึ่งแล้ว จะเพิ่มอันดับหนึ่งไปอีกคงไม่ใช่ปัญหาอะไร
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฉินอวี่ก็ะโจากไปในอากาศ
ในเวลาเดียวกัน
ที่ใดสักแห่งในแดนมรณะ อันดับหนึ่งที่ได้รับความยากลำบากมาก่อนหน้านี้ กำลังยืนอยู่กลางอากาศด้วยพลังอันสูงส่ง สาดส่องมโนจิตออกไปรอบด้าน
“เกิดอะไรขึ้นกับไอ้ของตายนี่? มโนจิตไม่ถูกระงับแล้วหรือ? หรือว่า... จะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับที่แห่งนี้?” อันดับหนึ่งกวาดสายตาไปโดยรอบ และมองไปยังซากศพที่เกลื่อนอยู่เต็มพื้นอย่างประหลาดใจ เมื่อแน่ใจว่าซากศพเหล่านี้ไม่ได้ถูกโจมตี อันดับหนึ่งก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้น เขาก็สาดส่องไปรอบด้านอีกครั้งด้วยมโนจิตอย่างบ้าคลั่ง
“ไม่มีไอ้พวกของตายพวกนี้แล้ว ในแดนมรณะแห่งนี้จะมีใครหยุดข้าได้อีก? หวังซิงเฉิน ข้าจะลองดูสิว่าเ้าจะหนีไปถึงไหน!” อันดับหนึ่งยิ้มอย่างดุร้าย และหายตัวไปทันที
