หนึ่งเดือนหลังนั้นพิธีแต่งงานก็มาถึง ก่อนที่แสงแรกจะมาเยือน หงเอ๋อร์และฮูหยินจางผู้เป็มารดาของจางเหม่ยอิง ทั้งสองช่วยกันจัดเตรียมอาภรณ์สำหรับพิธีมงคลอย่างประณีต เผยให้เห็นเสื้อคลุมแดงเข้มปักลวดลายหงส์ด้วยดิ้นทอง ที่ดูงดงามวิจิตรและเปี่ยมไปด้วยความหมายแห่งความสุขในชีวิตคู่
ฮูหยินจางยิ้มบางๆ ขณะมองบุตรสาวด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความห่วงใย
“อิงเอ๋อร์ของแม่ วันนี้เ้ากำลังเริ่มต้นชีวิตคู่ แม่อยากให้เ้ามั่นใจในทุกย่างก้าวที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้”
ในขณะที่หงเอ๋อร์ค่อยๆ บรรจงเกล้าผมของจางเหม่ยอิงอย่างประณีต นางนั่งฟังคำสอนของมารดาด้วยความสงบนิ่งและสำรวม
ั้แ่ทะลุมิติมาสู่ร่างนี้และแสร้งทำเป็จำเื่ราวในอดีตไม่ได้ จางเหม่ยอิงก็ได้รับความรักและการดูแลอย่างดีจากมารดาของร่างเดิม ความอบอุ่นนั้นทำให้นางรู้สึกผูกพัน แม้จะเป็โลกที่ไม่คุ้นเคย แต่มารดาผู้นี้กลับทำให้นางรู้สึกเหมือนได้กลับมามีครอบครัวอีกครั้ง...
"การเป็ภรรยา นอกจากการดูแลสามีแล้วนั้นเ้ายังต้องเรียนรู้ที่จะอดทน แม้ว่าชีวิตคู่นั้นอาจไม่เป็ไปตามที่ใจปรารถนา แต่เชื่อแม่ว่าความสงบเยือกเย็นจะช่วยเ้าให้ผ่านไปได้"
จางเหม่ยอิงรับฟังคำสอนของมารดาอย่างตั้งใจ ดวงตาฉายแววหนักแน่นและความสำนึกในภาระหน้าที่ของการเป็ภรรยาของเชื้อพระวงศ์
หงเอ๋อร์ช่วยบรรจงจัดแต่งเสื้อคลุมและผ้าคลุมหน้าให้เข้าที่ ขณะที่ฮูหยินจางเอื้อมมือแตะไหล่ลูกสาวเบาๆ พลางกล่าวต่อ
"เ้าจงจำไว้ว่า เ้าคือบุตรสาวของตระกูลจาง ความรักอาจไม่ใช่สิ่งที่จะได้พบเจอเสมอไปในชีวิตนี้ แต่เ้ามีศักดิ์ศรี มีเกียรติ มีสิ่งที่เป็ของเ้าที่ไม่มีใครพรากไปได้ จงเข้มแข็งและอดทนนะลูกแม่"
“ขอบคุณท่านแม่สำหรับทุกสิ่ง ข้าจะจำคำสอนของท่านไว้เสมอ”
หวงเจียซินยิ้มและโอบกอดบุตรสาวของนาง ส่วนจางเหม่ยอิงเองก็กอดนางตอบ สูดลมหายใจลึกพร้อมยอมรับโชคชะตาที่จะเกิดขึ้นเบื้องหน้า
ไม่นานนักหลิวกงหยวนพ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์ของตระกูลจาง เดินเข้ามาหาจางเหม่ยอิงอย่างเงียบๆ ก่อนจะย่อกายลงอย่างนอบน้อม
ปกติแล้วใบหน้าของเขามักจะประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนทุกครั้งที่ได้พบกับคุณหนูของตน แต่วันนี้กลับกลายเป็แววตาที่มีความห่วงหาเจือปนอยู่ด้วยเล็กน้อย
“คุณหนู… เวลานี้ถึงฤกษ์ส่งตัวเ้าสาวแล้วขอรับ” เขากล่าวเสียงนุ่ม น้ำเสียงนั้นแฝงความอบอุ่นที่ไม่เคยเปลี่ยนไป
จางเหม่ยอิงพยักหน้าก่อนจะหันมาสบตากับหลิวกงหยวน รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าของนาง
“ท่านพ่อบ้านหลิว ท่านเป็เหมือนญาติผู้ใหญ่ที่ดูแลข้าอย่างดีเสมอมา ขอบคุณท่านมาก”
พ่อบ้านหลิวเพียงโค้งศีรษะลงเล็กน้อย สายตาอ่อนโยนยังคงจับจ้องนางอย่างเงียบๆ
“คุณหนู ท่านไม่ต้องกล่าวเช่นนั้น ข้าน้อยเพียงทำตามหน้าที่… ขอให้คุณหนูมีชีวิตคู่ที่ราบรื่น หากวันใดมีสิ่งใดที่ข้าน้อยพอจะช่วยเหลือได้ ข้าน้อยจะยินดีทำให้ทุกสิ่งโดยไม่ลังเล”
จางเหม่ยอิงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะสวมผ้าคลุมหน้าและถูกพาตัวออกไปจากห้องนอนของนาง เพื่อเตรียมขึ้นเกี้ยว
ระหว่างที่รอเกี้ยวเ้าสาวมายังวังหลวง แม้สีหน้าของหวังกู้หย่งจะยังคงนิ่งเงียบและเ็า แต่ในแววตานั้นกลับมีเงาบางอย่างที่แวบผ่านเพียงชั่วครู่ราวกับมีความรู้สึกที่ยากจะอธิบายซ่อนอยู่ลึกๆ ซึ่งแม้เ้าตัวเองก็ไม่ได้เอ่ยออกมาให้ใครรับรู้
ในที่สุดขบวนเ้าสาวเคลื่อนตัวหยุดลง หวังกู้หย่งในชุดเ้าบ่าวสีแดงขลิบทองก้าวเข้าไปใกล้แล้วยื่นมือจางเหม่ยอิงที่ต้องลงจากเกี้ยว
จางเหม่ยอิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือออกไปรับััจากเขา ฝ่ามือของหวังกู้หย่งเ็าราวกับสะท้อนถึงความนิ่งเฉยในใจ ทว่าการกุมมือนางนั้นกลับเบาและนุ่มนวล เขาช่วยพยุงนางลงจากเกี้ยวอย่างสุภาพ แม้ผ้าคลุมหน้าจะบดบังดวงตาของทั้งสอง แต่จางเหม่ยอิงก็ััได้ถึงความเยือกเย็นบนใบหน้าของเขา
เมื่อก้าวลงมาถึงพื้น หวังกู้หย่งก้มตัวลงก่อนจะช้อนร่างของนางขึ้นสู่อ้อมแขน ความใกล้ชิดจากัันั้นทำให้จางเหม่ยอิงรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แปลกประหลาด แต่ในใจลึกๆ นางก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าสิ่งนี้อาจเป็เพียงการแสดงออกตามหน้าที่ของเขาเท่านั้น...
“องค์ชายคง้าเพียงให้พิธีเสร็จสิ้นสมบูรณ์ให้เร็วที่สุดสินะ”
เมื่อถึงลานพิธี เขาวางนางลงอย่างแ่เบา...
ในห้องโถงอันโอ่อ่าของวังหลวง จางเหม่ยอิงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้และฮองเฮา นางก้มศีรษะคารวะอย่างนอบน้อม
“ขอให้เ้ามีชีวิตคู่ที่ราบรื่นและมั่นคง” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ให้เ้าและหวังกู้หย่งเป็คู่ครองที่เคียงข้างกัน สร้างตระกูลที่มั่นคงแข็งแกร่งเพื่อราชสำนักของเรา”
จางเหม่ยอิงยกมือขึ้นประสานแล้วก้มศีรษะรับคำอวยพรอย่างนอบน้อม ขณะนั้น ฮองเฮายิ้มบางๆ และก้าวเข้ามาใกล้ เอียงตัวกระซิบเสียงเบาใกล้หูของจางเหม่ยอิง
“บุตรของข้าอาจจะเข้าใจยาก แต่เขาไม่ใช่คนเลวร้ายแต่อย่างใด สักวันเ้าจะเข้าใจในตัวตนของเขา”
เสียงของฮองเฮาทำให้จางเหม่ยอิงเผลอหลับตาลงเล็กน้อยราวกับซึมซับคำแนะนำและความเอ็นดูที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น นางมองขึ้นมาพบแววตาของฮองเฮาที่อบอุ่นและเปี่ยมด้วยความหวัง
“เพคะ หม่อมฉันจะจดจำคำสอนนี้ไว้”
ฮองเฮาพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ นางลูบหลังมือของจางเหม่ยอิงเบาๆ ราวกับจะให้กำลังใจ ก่อนจะหันกลับไปยืนเคียงข้างฮ่องเต้ จางเหม่ยอิงยิ้มบางๆ และลอบถอนหายใจในใจ นางรู้สึกได้ถึงน้ำใจและความเมตตาของฮองเฮาที่ประทานมาในคำพูดสั้น ๆ แต่แฝงไว้ด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง
หลังจากพิธีคำนับฟ้าดินเสร็จสิ้นก็ถึงฤกษ์ส่งตัวเ้าสาวเข้าหอ จางเหม่ยอิงที่ถูกพาเดินไปยังห้องหอได้ยินเสียงกระซิบจากบ่าวไพร่ข้างทาง
“ได้ยินหรือไม่? แม่นางผิงชิงเสียถึงกับล้มป่วยหนักจนไม่อาจมาร่วมงานแต่งได้เลยทีเดียว” เสียงหนึ่งกระซิบเบาๆ
“ข้าเองก็แอบสงสารนางอยู่ไม่น้อย คงเศร้าจนตรอมใจเลยกระมัง?” อีกเสียงตอบกลับ
จางเหม่ยอิงรับฟังถ้อยคำเ่าั้ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ยากจะอธิบาย นางยังคงสงบนิ่ง ไม่แสดงท่าทีใดให้ผู้ใดเห็น แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความคิดที่ผุดขึ้นมาราวกับสายลมวูบหนึ่ง
นางรู้ดีถึงความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างผิงชิงเสียและหวังกู้หย่ง หากผิงชิงเสียป่วยหนักจนไม่อาจมาร่วมงานได้ คงเป็เพราะความรู้สึกที่นางมีต่อองค์ชายสามนั้นที่ยากจะปิดบังหรือหักห้ามใจ
ในใจของจางเหม่ยอิงพลันเกิดคำถามที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง สิ่งนี้จะส่งผลเช่นไรต่อชีวิตคู่ที่เพิ่งเริ่มต้นของนางเอง?
เมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าองค์ชายสามมีใจให้ผิงชิงเสีย สหายเก่าของเ้าของร่างเดิม นางจะใช้ชีวิตในฐานะใดกันเล่า? พระชายาที่ปราศจากความรักจากสวามีเช่นนั้นหรือ?
แม้ความรักจะไม่อาจเกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง แต่การต้องใช้ชีวิตในรูปแบบนี้ช่างดูอาภัพเกินไปสำหรับนาง จางเหม่ยอิงได้แต่ทอดถอนใจเพราะร็สึกเศร้าเพราะสงสารในชะตากรรมของตนที่ดูเหมือนจะต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงาในชีวิตคู่ที่ไร้ซึ่งความรัก
เมื่อเข้ามาในห้องหอ จางเหม่ยอิงปลดผ้าคลุมหน้าออกอย่างแ่เบาก่อนจะหยิบเหล้ามงคลขึ้นมาดื่มเพียงลำพัง นางทอดสายตามองไปยังเปลวเทียนที่ส่องแสงริบหรี่ ในใจเต็มไปด้วยความคิดอันขมขื่น
คืนนี้เ้าบ่าวคงไม่มาเข้าหอแน่ ก็เขาเกลียดชังตระกูลจางของนางถึงเพียงนี้ จะคาดหวังสิ่งใดได้อีกเล่า?
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นหน้าประตู หวังกู้หย่งเปิดประตูเข้ามา ความตั้งใจของเขาคือการมาพูดคุยข้อตกลงกับพระชายาเพื่อกำหนดเส้นแบ่งระหว่างกัน
ทว่าทันทีที่สายตาเขาเหลือบมองไปยังเตียง ภาพของจางเหม่ยอิงที่เอนกายอยู่บนเตียงในท่วงท่าสง่างามแต่แฝงความเย้ายวนทำให้เขาต้องหยุดนิ่ง
นางนอนเอกเขนก มือข้างหนึ่งถือจอกเหล้า ดวงตาสบกับเขาด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก ทั้งเ็าและสงบนิ่ง ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยความท้าทายที่หวังกู้หย่งเองก็ไม่อาจละสายตาได้
ผ้าคลุมหน้าเ้าสาวที่ควรจะถูกเปิดโดยเขา กลับถูกเปิดออกเสียแล้ว และที่น่าระอายิ่งกว่านั้น นางได้รินสุรามงคลและดื่มไปจนหมดเอง เขามองจอกเหล้าเปล่าบนโต๊ะด้วยแววตาแข็งกร้าว ขบกรามแน่น แววตาแฝงด้วยความไม่พอใจ
จางเหม่ยอิงเหลือบตามองเขาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเผยยิ้มบาง ๆ ที่ยากจะอ่านความรู้สึกได้
“ข้านึกว่าองค์ชายจะไม่มาด้วยซ้ำ” นางเอ่ยเสียงเรียบ
หวังกู้หย่งจ้องนางด้วยสายตาเ็า แววตาแข็งกร้าวเผยความไม่พอใจชัดเจน ก่อนที่เขาจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม
“เ้าไม่คิดจะรอข้าบ้างเลยหรือ? หรือว่าเ้ามิเคยเข้าใจความสำคัญของการแต่งงานครั้งนี้แม้แต่น้อย?”
จางเหม่ยอิงยักไหล่เล็กน้อย หยิบจอกสุราขึ้นมา แล้ววางลงอย่างไม่แยแส
“ข้าเองก็ไม่เห็นว่ามันสำคัญอันใด ในเมื่อคนที่ควรจะเห็นคุณค่าของข้ากลับไม่ให้ความสำคัญเสียด้วยซ้ำ ข้าดื่มเพียงเพื่อความสุขของข้าเองเท่านั้น” จางเหม่ยอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ขณะยกจอกเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง
หวังกู้หย่งที่ได้ยินเช่นนั้น ภายนอกยังคงดูเ็า ไม่เผยความรู้สึกใดๆ ทว่าภายในใจกลับพลุ่งพล่านด้วยความขุ่นเคือง ความคิดว่าตนถูกมองข้ามในฐานะคู่ครองทำให้ความโกรธลุกโชนขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว
“เ้าทำอะไรก็แล้วแต่ที่เ้า้าเถิด ข้าเองก็ไม่ได้รักเ้าอยู่แล้ว” เสียงของเขาเข้มขึ้น แฝงไปด้วยความเยือกเย็น
“คนที่ข้าควรจะแต่งงานด้วยคือผิงชิงเสีย ไม่ใช่เ้า นางเป็บุตรีของบุรุษที่เคยมีพระคุณต่อข้า แต่บิดาของเ้า…ตระกูลจางของเ้าเป็สาเหตุให้คนสำคัญของข้าต้องตาย!”
จางเหม่ยอิงเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย นางแค่นยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ถ้าท่านปรารถนาจะไปหานางนัก ก็รีบไปเสียสิ ข้าได้ยินมาว่านางป่วยหนักมิใช่หรือ?” นางยิ้มเ็า ก่อนจะหันหลังให้ “ข้าไม่คิดจะรั้งท่านไว้ ข้าง่วงแล้ว ข้าจะนอน”
หวังกู้หย่งกำหมัดแน่น ฟันขบกันจนได้ยินเสียงแ่เบา น้ำเสียงและท่าทีไร้เยื่อใยของจางเหม่ยอิงเริ่มบั่นทอนความอดกลั้นที่เหลืออยู่ในตัวเขา
“เ้าก็ทำในสิ่งที่เ้า้าเถิด จางเหม่ยอิง หากการแยกห้องนอนจะทำให้เ้าพึงพอใจ ข้าก็จะไม่ขัดเ้าอีกต่อไป” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว
“ดี! ข้าเองก็ไม่เคยคิดจะร้องขอความเมตตาหรือความเห็นใจใดๆ จากท่านอยู่แล้ว” นางตอบกลับทันควัน ดวงตายังคงฉายแววเ็า
หวังกู้หย่งจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับกำลังต่อสู้กับความรู้สึกหลากหลายที่ถาโถมเข้ามาก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกจากห้อง ทิ้งจางเหม่ยอิงให้นั่งอยู่เพียงลำพัง ท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นเยียบและอ้างว้าง...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้