ค่ำคืนผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ไม่ทันไร แสงอรุณของวันใหม่ก็ทอแสงขึ้นมา
ฤดูนี้อากาศกำลังสบาย ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป เมื่อผลักประตูออกไปรับไออุ่นละมุนของแสงตะวันยามเช้า ก็รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งกายและใจ
หลังอาหารเช้า อันซิ่วเอ๋อร์ก็เดินเคียงข้างจางเจิ้นอันกลับไปยังบ้านพ่อแม่ของนางด้วยใจที่เบิกบาน ระหว่างทางเมื่อพบเจอชาวบ้าน นางก็ทักทายอย่างเป็มิตร แม้แต่จางเจิ้นอันก็มีคนทักทายด้วยบ้างเป็บางครั้ง เห็นได้ชัดว่าเพราะอันซิ่วเอ๋อร์นั่นเองที่ทำให้ชาวบ้านเริ่มคุ้นเคยกับจางเจิ้นอันมากขึ้นทีละน้อย
เมื่อเห็นตะกร้าในมือเขา ชาวบ้านบางคนก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เคยคิด อย่างน้อย่นี้ก็ไม่มีใครได้ยินข่าวว่าเขาทำร้ายภรรยาเลย ตรงกันข้าม กลับเห็นเขาไปช่วยงานที่บ้านพ่อตาอยู่บ่อยๆ คราวก่อนที่ไปช่วยบ้านสกุลอันดำนา ทุกคนก็เห็นกับตา แถมยังไปช่วยผ่าฟืนให้อยู่เป็ครั้งคราว ทำให้พวกที่เคยรอสมน้ำหน้าบ้านสกุลอันค่อยๆ เงียบปากไป
ที่แท้ ชายหนุ่มตาบอดท่าทางดุดันคนนี้ก็รู้จักดูแลเอาใจใส่คนอื่นเหมือนกัน แม้จะอายุมากกว่าไปบ้าง แต่ก็แข็งแรงทำงานเก่ง ทั้งยังใส่ใจภรรยา นอกจากฐานะทางบ้านจะค่อนข้างลำบากแล้ว ผู้ชายแบบนี้ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ดังนั้น ่หลังมานี้ ท่าทีของชาวบ้านที่มีต่อจางเจิ้นอันจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แม้จะยังมีบางคนที่คอยพูดถึงเื่ไม่ดีของเขาอยู่ แต่คนส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่าถึงแม้เขาจะไม่ค่อยพูดจา แต่ก็ไม่ได้คบหาด้วยยาก
ครั้งก่อน หลานชายของเฒ่าหลี่ในหมู่บ้านป่วยหนัก หมอประจำหมู่บ้านรักษาไม่ได้ ก็มาขอให้จางเจิ้นอันช่วยพายเรือพาไปหาหมอในเมือง เขาก็ไปส่งให้โดยไม่คิดเงินเลย ถึงแม้ป้าจอมจุ้นในหมู่บ้านจะคอยพูดอยู่เสมอว่าสองสามีภรรยาคู่นี้ไม่ใช่คนดี แถมยังขี้เหนียว แต่ใครๆ ก็รู้ว่าป้าคนนี้เป็พวกปากพล่อย อีกหลายคนก็รู้ว่าอันซิ่วเอ๋อร์เคยมีเื่ขุ่นข้องหมองใจกับป้าเื่ค่าโดยสารเรือมาก่อน จึงไม่ค่อยมีใครเก็บคำพูดของนางมาใส่ใจนัก
อันที่จริง เมื่อก่อนจางเจิ้นอันไม่เคยใส่ใจคำนินทาของชาวบ้านเลย เขาเลือกที่จะทำเป็ไม่ได้ยิน หรือถ้าได้ยินก็แค่หัวเราะกลบเกลื่อนไป
แต่ตอนนี้ เมื่อได้ยินหญิงชราคนหนึ่งที่เดินผ่านมาเอ่ยชมว่าเขาเป็คนหนุ่มที่ดี เขากลับรู้สึกหน้าแดงขึ้นมาเสียอย่างนั้น สุดท้าย เขากับอันซิ่วเอ๋อร์ยังช่วยกันพยุงหญิงชราคนนั้นกลับไปส่งถึงบ้านด้วยความมีน้ำใจ
กว่าสองสามีภรรยาจะมาถึงบ้านสกุลอันก็เสียเวลาไปบ้าง ตะวันขึ้นสูงแล้ว ประตูบ้านเปิดแง้มอยู่ อันซิ่วเอ๋อร์จึงเดินเข้าไปโดยไม่ต้องเคาะ ทันทีที่ก้าวเข้าลานบ้าน ก็เห็นฝูงไก่ของที่บ้านกำลังเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์ แต่กลับไม่เห็นใครอยู่เลย
"ท่านแม่..." นางเอ่ยเรียกลากเสียงยาว แต่ไร้เสียงตอบรับ
"พี่สะใภ้รอง..." นางเดินเข้าไปในโถงกลางบ้าน เรียกอีกครั้ง รู้สึกว่าวันนี้บรรยากาศในบ้านดูแปลกๆ ประตูไม่ได้ปิด แต่กลับไม่มีใครอยู่
"ท่านนั่งรอตรงนี้ก่อนนะเ้าคะ ข้าจะลองไปดูข้างหลัง" อันซิ่วเอ๋อร์บอกให้จางเจิ้นอันวางของลง แล้วรินน้ำให้เขาดื่มอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเดินไปยังลานหลังบ้านเพื่อดูว่าท่านแม่และพี่สะใภ้ไปไหนกัน
ปกติแล้ว อย่างน้อยต้องมีท่านแม่หรือพี่สะใภ้รองอยู่บ้านคนหนึ่ง แต่วันนี้กลับไม่มีใครเลย ลานบ้านก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไรนัก นางลองส่งเสียงเรียกดูอีกหลายครั้งจากด้านหลัง แต่ก็ยังเงียบ คาดว่าคงออกไปข้างนอกกันหมด
"สงสัยวันนี้พวกเรามาไม่ถูกจังหวะ ท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่บ้าน"
อันซิ่วเอ๋อร์หาจนทั่วแล้ว จึงเดินกลับมานั่งลงข้างโต๊ะ "เรารออยู่นี่สักพักแล้วกัน บางทีพวกท่านอาจจะกลับมาเร็วๆ นี้ ท่านแม่คงไม่ได้ไปไหนไกลเ้าค่ะ"
"อืม" จางเจิ้นอันพยักหน้ารับ สองสามีภรรยานั่งรออยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไม่เห็นเหลียงซื่อกลับมา อันซิ่วเอ๋อร์จึงลุกขึ้นช่วยทำงานบ้านเงียบๆ
ดูเหมือนวันนี้เหลียงซื่อจะรีบร้อนออกไป ลานบ้านยังไม่ได้กวาด อันซิ่วเอ๋อร์จึงจัดการกวาดลานจนสะอาด แล้วไล่ฝูงไก่ที่วิ่งเล่นเพ่นพ่านให้เข้าเล้าไป ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ คงคุ้ยเขี่ยจนลานเละเทะแน่
ส่วนจางเจิ้นอันก็ช่วยเก็บกองฟืนที่กระจัดกระจายอยู่หลังบ้านให้เป็ระเบียบ พอเห็นว่าตุ่มน้ำว่างเปล่า ก็หยิบไม้คานหาบน้ำมาเติมจนเต็ม
สองสามีภรรยาช่วยกันทำงานบ้านไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปพอสมควร แต่ก็ยังไม่เห็นเหลียงซื่อกลับมา จึงตัดสินใจไม่รอแล้ว อย่างไรเสียบ้านทั้งสองหลังก็อยู่ไม่ไกลกันนัก ไว้ค่อยมาใหม่คราวหน้าก็ได้
หลังจากแง้มประตูทิ้งไว้ สองสามีภรรยาก็เตรียมตัวกลับบ้าน แต่ยังไม่ทันจะก้าวเท้าออกไป ก็เห็นเหลียงซื่อกำลังเดินจูงอันหรงเหอกลับมาพอดี
"ท่านแม่!" อันซิ่วเอ๋อร์หยุดเดินแล้วโบกมือทักทาย
เสียงใสดุจระฆังแก้วของบุตรสาวทำให้เหลียงซื่อเหมือนเพิ่งได้สติ นางเงยหน้าขึ้นเห็นบุตรสาวและบุตรเขยยืนอยู่หน้าบ้าน ก็พยายามเก็บซ่อนความกังวลใจเอาไว้ วิ่งเข้ามาหาทั้งสองคน ฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า "ซิ่วเอ๋อร์ ลูกเขย พวกเ้ามากันแล้วรึ"
"เกิดอะไรขึ้นหรือเ้าคะ ท่านแม่?" อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ใช่คนช่างสังเกตน้อย พอเห็นสีหน้าท่าทางของเหลียงซื่อก็รู้ทันทีว่ามีเื่ไม่ปกติ ยิ่งเห็นอันหรงเหอที่เดินตามหลังมา จึงเอ่ยถาม "หรงเหอ วันนี้ทำไมเ้าไม่ได้ไปสำนักศึกษาเล่า?"
"ท่านอาจารย์ไม่ให้ข้าไปเรียนแล้วขอรับ" อันหรงเหอก้มหน้าตอบ เสียงสั่นเครือด้วยความน้อยใจ
"นี่มันเื่อะไรกัน? ทำไมถึงไม่ให้เ้าเรียนหนังสือแล้วเล่า?" อันซิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้วถามทันที
"เฮ้อ... เื่มันยาวน่ะ" เหลียงซื่อถอนหายใจอย่างหนักอก บอกกับอันซิ่วเอ๋อร์ว่า "นานๆ พวกเ้าจะมาที อย่าเพิ่งพูดเื่นี้เลย เข้าไปนั่งพักในบ้านกันก่อนเถอะ" ว่าแล้วก็พาทั้งสองคนเข้าบ้านไป
เห็นได้ชัดว่าวันนี้เหลียงซื่อใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนไม่ทันสังเกตว่าลานบ้านถูกกวาดจนสะอาดแล้ว แต่พอเข้ามาในห้องโถง เห็นข้าวของที่อันซิ่วเอ๋อร์วางไว้บนโต๊ะ จึงเพิ่งนึกขึ้นได้ "นี่พวกเ้าเพิ่งมาถึงกันหรือ?"
"ใช่เ้าค่ะ เห็นท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่ พวกเรากำลังจะกลับพอดี" อันซิ่วเอ๋อร์ตอบ
เหลียงซื่อถอนหายใจอีกเฮือก เล่าว่า "เมื่อครู่หลินจื่อ เพื่อนสนิทของหรงเหอวิ่งหน้าตาตื่นมาบอกว่า ท่านอาจารย์กู้จะไล่หรงเหอออกจากสำนักศึกษา แม่ได้ยินก็รีบไปที่นั่นทันที"
"มันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่เ้าคะ?" พอได้ยินเช่นนั้น คิ้วเรียวสวยของอันซิ่วเอ๋อร์ก็ขมวดเข้าหากันทันที น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
"กู้หลินหลางนั่นเป็แค่อาจารย์สอนหนังสือ สำนักศึกษานี่ก็ไม่ใช่ของเขา เขามีสิทธิ์อะไรมาไล่หรงเหอของเราออก?"
"เขาบอกว่าหรงเหอไม่เคารพครูบาอาจารย์ จิตใจคดโกง ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ไร้คุณธรรม... สารพัดจะว่านั่นแหละ แม่ก็จำไม่ค่อยได้ เขาบอกว่าศิษย์แบบนี้เขาสอนไม่ได้ ต้องไล่ออกจากสำนักศึกษา!"
เหลียงซื่อเล่าไปน้ำตาก็เริ่มคลอ "เื่นี้แม่ยังไม่ได้บอกพ่อเ้า ถ้าพวกเขารู้เข้าจะทำยังไงกัน!"
"ท่านแม่ ใจเย็นๆ ก่อนนะเ้าคะ ต้องมีทางแก้ไขแน่" อันซิ่วเอ๋อร์ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ฟังแล้วก็ยังพูดอะไรไม่ออก ได้แต่หันไปถามอันหรงเหอ
"หรงเหอ เล่าให้อาฟังทีว่าเื่ทั้งหมดมันเป็ยังไง?"
"ท่านอา..." อันหรงเหอยังเด็กนัก อายุแค่แปดขวบ พอได้ยินอาสาวถามเช่นนั้น น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลพรากออกมา สะอื้นไห้พลางพูดว่า "ข้าไม่ได้ทำกระไรขอรับ ไม่เกี่ยวกับข้า เป็ท่านอาจารย์ที่ใส่ร้ายข้า"
"ค่อยๆ พูด ไม่ต้องรีบ อามั่นใจว่าเ้าไม่ได้ทำ" อันซิ่วเอ๋อร์ฟังแล้วก็ยังงงๆ ได้แต่ปลอบหลานชาย น้ำเสียงอ่อนโยนของนางช่วยให้อันหรงเหอสงบลงได้มาก อารมณ์ค่อยๆ คงที่ขึ้น แล้วเขาก็เริ่มเล่าเื่ราวทั้งหมด
"เมื่อหลายวันก่อน ท่านอาจารย์บอกว่าข้าเรียนดี จะช่วยสอนให้เป็พิเศษ ถ้าข้าทำคะแนนได้ดี เขาจะช่วยเสนอชื่อให้ข้าเข้าสอบเป็ถงเซิงปีหน้าด้วย ต่อมาท่านอาจารย์ก็ดีกับข้ามากจริงๆ ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ยังให้ข้าไปเรียนเพิ่มเติมที่ห้องหนังสือของเขาอีก"
อันหรงเหอแม้จะอายุเพียงแปดขวบ แต่เพราะเป็ลูกชาวบ้านจึงรู้จักคิดอ่านเกินวัย อีกทั้งเรียนหนังสือมาหลายปี ก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะสอบเข้ารับราชการ สร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล พอได้ยินว่าท่านอาจารย์จะช่วยเื่สอบถงเซิง ในใจก็ย่อมดีใจเป็ธรรมดา ตอนนั้นเขายังคิดไปด้วยซ้ำว่าที่ท่านอาจารย์ดีกับเขาขนาดนี้เป็เพราะท่านอาของเขาแท้ๆ พอกลับไปเล่าให้ท่านปู่ท่านย่าฟัง พวกท่านกลับนิ่งเงียบไป
ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับกู้หลินหลางมากนัก กลัวจะกระทบชื่อเสียงของบุตรสาว แต่่หลังที่เห็นกู้หลินหลางดีกับอันหรงเหอมากขนาดนี้ ก็รู้สึกเหมือนติดหนี้บุญคุณเขาอยู่บ้าง ถ้าเป็เื่อื่นที่กู้หลินหลางให้ของอันหรงเหอ พวกท่านคงปฏิเสธไปแล้ว แต่นี่เป็เื่การสอนหนังสือ ซึ่งเกี่ยวกับอนาคตของหลาน พวกท่านจึงไม่อาจใจแข็งปฏิเสธได้
สุดท้าย อันหรงเหอก็ไปเรียนเสริมกับกู้หลินหลางด้วยความดีใจ หลายวันต่อมา กู้หลินหลางก็ตั้งใจสอนเป็อย่างดี ใครจะคิดว่ามาวันนี้ กู้หลินหลางกลับบอกว่าเขาทำพู่กันหูปี่ด้ามโปรดหายไป พู่กันด้ามนี้มีค่ามาก ทำจากขนหมาป่าชั้นดี ด้ามเป็หยก กู้หลินหลางรักมากเป็พิเศษ จะใช้เฉพาะในห้องหนังสือของเขาเท่านั้น แต่จู่ๆ มันก็หายไป
ที่พักของกู้หลินหลางอยู่ด้านหลังสำนักศึกษา เขาเกรงว่าจะเป็ศิษย์คนไหนหยิบไป จึงมาสอบถาม ศิษย์ทุกคนต่างปฏิเสธว่าไม่ได้เอาไป แล้วพากันมองมาที่อันหรงเหอ เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนที่เข้าออกห้องหนังสือของเขาได้ก็มีเพียงอันหรงเหอคนเดียว
เมื่อเห็นสายตาเคลือบแคลงเ่าั้ อันหรงเหอจึงอธิบายเสียงดัง "พวกเ้ามองข้าทำไม ข้าไม่ได้เอาไปนะ"
พวกเด็กๆ ต่างไม่พอใจอยู่แล้วที่เห็นกู้หลินหลางเอาใจใส่เขาเป็พิเศษ คนหนึ่งพูดเสียงแหลมขึ้น พลางชี้หน้าว่า "ถ้าเ้าไม่ได้เอาไป แล้วใครจะเอาไปได้ล่ะ? ถ้าบริสุทธิ์ใจจริง กล้าให้พวกเราค้นตัวหรือไม่?"
"พวกท่านไม่เชื่อข้างั้นรึ? ข้าจะเอาของออกมาให้ดูเอง!"
เด็กน้อยเมื่อถูกสงสัย ก็ร้อนใจอยากพิสูจน์ความบริสุทธิ์ รีบเทของในโต๊ะเรียนออกมา ใครจะรู้ว่าพอหยิบหนังสือเล่มแรกออกมาเท่านั้น พู่กันหูปี่ด้ามนั้นก็ร่วงหล่นลงมาจากในหนังสือ กระแทกพื้นจนหักเป็สองท่อน
กู้หลินหลางมองอันหรงเหอด้วยแววตาผิดหวังอย่างยิ่ง กล่าวว่า "หรงเหอ ปกติข้าเอ็นดูเ้าถึงเพียงนี้ เ้ากลับทำเื่น่าอับอายเช่นนี้ได้อย่างไร?"
