Chapter twenty-eight: confused
เสียงฮัมเพลงจากเ้าของเสียงทุ้มดังไปทั่วห้องนอนกว้าง สายลมแรงที่พัดอยู่ข้างนอกหน้าต่างมาพร้อมใบไม้ที่หลุดร่วงจากต้นไม้ใหญ่นั้นยังคงปลิวว่อนไปทั่วจนพื้นในคฤหาสน์เต็มไปด้วยใบไม้สีส้ม โดยปกติแล้วไซม่อนก็ไม่ได้ชอบฤดูใบไม้ร่วงนักหรอกเพราะเขามักจะบ่นสงสารคนสวนที่ต้องคอยทำงานกันอย่างหนักเพื่อดูแลต้นไม้เป็ร้อยต้นรอบคฤหาสน์ที่เขาเติบโตมา แล้วไหนจะเ้าสุนัขตัวโตของเขาที่ชอบไปเล่นกับกองใบไม้นั่นอีก สุดท้ายเขาก็รู้สึกผิดจนต้องไปแอบช่วยคนสวนไม่ให้ใครรู้เป็ประจำ
อัลฟ่าหนุ่มถอดถอนหายใจยาวออกมาทันทีเมื่อหันไปมองตารางเรียนและกิจกรรมที่อัดแน่นของตัวเอง จากที่เขาเคยได้มีเวลาพักผ่อน ได้ออกไปเล่นสนุกกับเ้าแซมมี่หรือได้โทรหาเพื่อนสนิทอย่างเจซให้แวะมาหาอยู่บ้าง แต่พอเป็่สอบแบบนี้ก็กลายเป็ว่าเขาต้องใช้เวลาพักผ่อนทั้งหมดเพื่อมาตั้งใจทบทวนบทเรียนคนเดียวทั้งวันทั้งคืนซะอย่างนั้น
ตอนที่ยังเด็กนั้นเขามักจะบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าการได้เรียนคนเดียวมันก็คงสนุกไม่แพ้กับเรียนร่วมห้องกับเพื่อนคนอื่นอย่างที่เจซมักจะเอามาเล่า แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับว่าทั้งหมดนั้นเป็เพียงแค่การหลอกตัวเองเท่านั้นแหละ ใครอยากจะนั่งเรียนคนเดียวในห้องกว้างขนาดนั้น การต้องตอบคำถามคนเดียวในห้องเรียนมันกดดันจะตายไป แต่เพราะเขาต้องเรียนแบบนั้นมาทั้งชีวิต ทุกอย่างมันก็เลยเป็เหมือนความเคยชินและเขาก็เกือบจะลืมความรู้สึกอยากมีเพื่อนไปหมดแล้วด้วยซ้ำ
“อีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาเรียนกับคุณมอร์แกนแล้วนะคะ”
เสียงของพี่เลี้ยงสาวดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง ทำคนที่นั่งอ่านเอกสารต้องยกมือขึ้นนวดขมับของตัวเองทันที แฟ้มเอกสารมากมายที่กองอยู่บนโต๊ะทำงานในห้องนอนเกือบจะสูงเลยหัวของเขาไปแล้วด้วยซ้ำ แต่มันก็เป็ภาพที่พี่เลี้ยงและแม่นมของเขามักจะเห็นกันจนชินตา มันไม่ใช่แค่วิชาต่าง ๆ ที่เขาถูกจัดอาจารย์มาสอนให้ถึงที่บ้านแต่ในส่วนของการเป็ทายาทควินท์เรลนั้นเขาก็ต้องรับผิดชอบมันเหมือนกัน เขาต้องเรียนรู้การบริหารงานในส่วนต่าง ๆ ที่เป็เครือของควินท์เรลแทบจะทั้งหมดและคำพูดมากมายที่กลับกลายเป็ความกดดันเมื่อเขาต้องแบกรับเอาไว้นั่นอีก มันไม่ใช่เื่ง่ายเลยสักนิดสำหรับเขาที่แทบจะไม่เคยออกนอกคฤหาสน์แต่ต้องมาเรียนรู้ทุกอย่างผ่านหนังสือและเอกสารที่ถูกสรุปมาแล้ว ถึงจะมีหลายครั้งที่เขาเป็เื้ัของการทำงานในหลายส่วนก็เถอะ แต่เพราะชื่อของเขาที่ต้องปิดบังไว้เพราะเหตุผลบางอย่าง มันก็ต้องทำให้เขายอมรับทั้งที่บางครั้งเขาเองก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ยุติธรรมกับเขาเลยสักนิด
แต่เพราะเป็คำว่าครอบครัวนั่นแหละ
เขาจึงไม่ได้ทักท้วงอะไรกลับไปสักครั้ง
เสียงเคาะประตูสองสามครั้งดันขึ้นทำคนนี่นั่งจดจ้องเอกสารอยู่ต้องวางปากกาในมือลงทันที โดยปกติแล้วหากเป็พี่เลี้ยงของเขานั้นคงไม่ได้เคาะจังหวะแบบนี้แน่นอนแต่ถ้าหากเป็ใครอีกคนที่อาศัยอยู่ในชั้นเดียวกันกับเขาคงไม่แน่
ก็คนที่เขาเพิ่งให้ดอกกุหลาบไปนั่นไง
สองขายาวลุกขึ้นก้าวพาตัวเองไปที่ประตูไม้บานใหญ่ทันที เสียงดมฟุดฟิดของเ้าแซมมี่ที่กำลังก้มลงไปดมที่ช่องระหว่างประตูยิ่งทำให้หัวใจเขาเต้นแรงเข้าไปใหญ่ ยังไม่ทันที่เ้าของห้องจะได้คิดไปไกลแต่เสียงแหบทุ้มของคนหลังประตูก็ต้องทำให้ไซม่อนสะดุ้งทันที กลอนประตูถูกบิดหมุนด้วยฝีมือของเขาก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก และใบหน้าของคนหลังประตูก็ยืนประจันหน้ากับเขาได้พอดิบพอดี
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณอา” อัลฟ่าหนุ่มก้มหัวให้เล็กน้อยเป็การทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ไซม่อน”
ชายวัยกลางคนส่งยิ้มอบอุ่นมาให้เหมือนทุกครั้ง ไซม่อนไม่ได้พูดอะไรนอกจากเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อเชิญให้คนเป็อาเข้ามาได้ตามสบายเหมือนที่เคยทำอยู่เป็ประจำ ปกติแล้วเขากับคุณอาและคุณย่ามักจะได้เจอกันบ่อย ๆ ตอนถึงเวลาอาหารเย็น แต่พอคุณอาและคุณย่าต้องเดินทางไปต่างเมืองบ่อยขึ้นประจวบกับเป็ตอนที่เขาต้องเรียนหนักขึ้นด้วยนั่นแหละ จึงทำให้หลายเดือนที่ผ่านมานี้ เขาแทบจะไม่ได้พบหน้าท่านทั้งสองเลยด้วยซ้ำ
“เป็ยังไงบ้างล่ะ่นี้ ไม่ได้เจอกันนานเลย” ร่างสูงโปรงของคุณอาทรุดนั่งลงที่โซฟาตัวกว้างพร้อมกับเอ่ยถามเขาเหมือนปกติ
“ใกล้จะสอบเสร็จทั้งหมดแล้วครับ”
มือหนาเอื้อมจับกาน้ำชาก่อนจะรินใส่แก้วใบเล็กพร้อมเลื่อนให้คุณอาด้วยความนอบน้อม มีไม่กี่คนหรอกที่จะมีสิทธิ์เข้ามาในห้องของเขาแบบนี้ โดยปกติแล้วเขาแทบจะไม่ให้ใครก้าวเข้ามาในห้องง่าย ๆ เลยด้วยซ้ำ เพราะห้องนอนกว้างแห่งนี้เป็เพียงไม่กี่ที่ที่เขาจะได้ใช้เวลาส่วนตัวเพียงลำพังบ้าง ถึงแม้จะมีพี่เลี้ยงคอยเดินตรวจตราอยู่เป็ประจำก็เถอะ แต่เขานั้นเคยชินกับการที่จะมีพี่เลี้ยงวนเวียนอยู่รอบตัวแบบนี้ไปซะแล้ว
“เหนื่อยมากเลยสิท่า ่นี้ส่งเอกสารให้คุณเจมส์ไม่ครบเลยเรา” คุณอาเอ่ยหยอกพร้อมยกน้ำชาขึ้นจิบอย่างอารมณ์ดี แต่ประโยคนั้นกลับทำให้ไซม่อนเลื่อนมือกุมเข้าหากันด้วยความกดดัน ั์ตาคมหลุบมองพื้นอย่างห้ามไม่ได้ ทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะส่งเอกสารช้าก็เถอะ แต่ยังไงความรู้สึกผิดมันก็ถาโถมเข้ามาอยู่ดีเมื่อได้ยินคำพูดของคุณอาแบบนั้น
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็อะไรหรอก อาเข้าใจว่าไม่ค่อยมีเวลา”
“ครับ”
“ยิ่ง่นี้กำลังมีความรักด้วยใช่ไหมล่ะ?”
“ครับ?”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยินคำถามจากชายวัยกลางคนตรงหน้า คุณอายังคงส่งรอยยิ้มเชิงหยอกล้อมาให้เขาเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ทำให้ไซม่อนไม่เข้าใจเลยก็คือคำถามนั่นแหละ ทั้งที่ปกติแล้วคุณอาไม่เคยแม้แต่จะถามเื่แบบนี้กับเขาเลยด้วยซ้ำ ก็จะให้ถามเื่แบบนี้ขึ้นมาได้ยังไงกันล่ะ คนอย่างเขาเคยได้พบเจอใครซะที่ไหน ขนาดในฝันเขายังวนฝันซ้ำ ๆ แค่กับคนที่เขารู้จัก นับประสาอะไรกับคนอื่นกันล่ะ
“ก็เื่หลานกับคุณแพทริเซียไง มีอะไรที่อาไม่รู้หรือเปล่า?”
“แค่ก ๆ ”
ทันทีที่ได้ยิน อัลฟ่าหนุ่มก็สำลักน้ำชาที่เพิ่งยกดื่มเข้าไปแทบจะทันที คุณอาหัวเราะออกมาน้อย ๆ พลางยื่นกระดาษทิชชู่มาให้เขา ไซม่อนทำได้เพียงแค่ยิ้มแห้งส่งกลับไปและก้มหัวก่อนจะรับกระดาษทิชชู่จากคุณอามาซับที่ปากเพียงแค่นั้น
“อะไรกัน อายังไม่ได้พูดอะไรเลย”
“คือ คุณอา ทำไมถึงถามแบบนี้ครับ?”
“บังเอิญมีคนเห็นว่าหลานเอาดอกกุหลาบให้คุณแพทริเซียเขาไม่ใช่เหรอ?”
“อ่า ก็ใช่ครับ”
เพียงแค่พูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นก็ทำให้ใบหูของอัลฟ่าหนุ่มแดงขึ้นมาทันที ฝ่ามือหนาเลื่อนมือลูบหลังคอตัวเองด้วยความเคอะเขิน เอาเข้าจริง เขาก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองคิดอะไรถึงให้กุหลาบกับแพทริเซียไปแบบนั้น แต่พอได้มองกุหลาบมากมายที่ตัวเองตัดมา มันก็ไม่มีใครเหมาะสมจะได้ดอกกุหลาบแสนสวยเท่าโอเมก้าตัวขาวในตอนนั้นแล้วละมั้ง
บทสนทนาของเขากับคุณอาเงียบหายไปทันทีที่ใบหน้าของเขาเริ่มเห่อแดงขึ้นด้วยความเขินอาย ไซม่อนยกนิ้วขึ้นมาถูจมูกของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเอาแต่หลบสายตาของชายวัยกลางคนตรงหน้า เพราะสายตาของคุณอานั่นแหละที่ทำให้เขาแทบจะไม่เป็ตัวของตัวเองเลยสักนิด ไม่ว่าจะวางมือไว้ตรงไหนมันก็ดูจะผิดที่ผิดทางไปซะหมดราวกับว่าเขากำลังปิดซ่อนความผิดอะไรของตัวเองเอาไว้อยู่ ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายยิ่งเต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อภาพในหัวของเขายังมีแต่ใบหน้าหวานของแพทริเซียวนเวียนอยู่อย่างนั้น และถ้าหากเขายังเอาแต่คิดเื่ของแพทริเซียแบบนี้ มีหวังคุณอาจะต้องรู้แน่ ๆ ว่าเขานั้นกำลังรู้สึกอะไรอยู่กับคุณครูฝึกสอนคนนั้น
และมันคงไม่ใช่เื่ดีกับแพทริเซียเป็แน่
มีหลายครั้งที่เขาแอบฟังบทสนทนบนโต๊ะทานอาหารเงียบ ๆ และเขามักจะได้ยินเื่ที่คุณย่าพูดถึงอนาคตของเขาว่าควรจะไปในทิศทางไหน ในตอนแรกเขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรนักหรอกเพราะยังไงทุกอย่างในชีวิตเขาก็ต้องอยู่ใต้การควบคุมของคุณย่าอยู่แล้ว และมันก็ไม่ได้น่าลำบากใจอะไรสำหรับเขาเลยสักนิดเพราะเขาถูกพร่ำสอนมาว่าสิ่งที่คนในครอบครัวมอบให้คือสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็การดูแลทุกอย่างที่เป็ควินท์เรลหรือการที่ต้องแต่งงานกับใครสักคนเพื่อความ้าของคุณย่าในอนาคตนั้นเขาก็ไม่เคยมีความคิดที่จะขัดขืนเลยสักนิด เพราะเขาไม่เคยได้พบใคร ไม่เคยได้มีความรัก และคิดว่าแค่อยู่กันไปสักวันก็คงจะรักกันขึ้นมาเองเหมือนกับนิยายน้ำเน่าที่เคยได้อ่านละมั้ง
แต่พอได้พบเจอกับแพทริเซียแล้วความรู้สึกเ่าั้มันก็เปลี่ยนไป
ความรู้สึกที่กำลังมีมันไม่ควรจะเกิดขึ้นในตอนที่เขากำลังจะเตรียมตัวเลื่อนขึ้นเป็ผู้สืบทอดตระกูลควินท์เรลสักนิด เขารู้ดีว่ากฎและประเพณีของตระกูลเขานั้นมันเยอะมากขนาดไหน แล้วคนอย่างไซม่อนก็ไม่เคยจะคิดมองข้ามหรือเมินเฉยทุกอย่างที่เขาเคยถูกพร่ำสอนมาตลอดหรอก แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ก็ในเมื่อความรู้สึกมันเป็สิ่งที่ห้ามกันไม่ได้และมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว แม้เขาจะไม่ได้รู้สึกถึงการปฏิเสธอะไรจากแพทริเซียก็เถอะแต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความในใจของเราทั้งสองคนมันจะตรงกันหรือเปล่า ในตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงแค่เฝ้ามองรอยยิ้มของอีกฝ่ายไปวัน ๆ และพยายามไม่ทำให้แพทริเซียต้องเดือดร้อนตลอดที่ต้องอยู่ในคฤหาสน์ของเขา
“ชอบเขาเหรอ?” เสียงทุ้มแหบของคุณอาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งที่กำลังเห็นใบหน้าเหม่อลอยของเขา สายตาที่ไม่สามารถคาดเดาได้กำลังจดจ้องมาทำเอาเขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ไซม่อนไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะได้ยินคำถามที่ตรงไปตรงมาขนาดนี้
“คือ..”
“อาไม่ได้อยากจะถามอะไรหลานมากมายนักหรอกนะ แต่รู้ใช่ไหมว่าในตอนนี้อะไรมันสำคัญกับหลานมากที่สุด”
แล้วมันก็เป็อย่างที่เขาคิดจนได้
“ครับ” รอยยิ้มที่เคยปรากฏบนหน้าของไซม่อนพลันหายไปทันที
“ในเมื่อคุณย่าเขาตั้งใจมอบตำแหน่งนั้นให้หลานทั้งที่หลานก็ยังไม่ได้พร้อมเท่าไหร่นัก หลานก็ควรต้องเตรียมตัวให้มันพร้อมที่สุดนะไซม่อน”
“ครับอา”
“เื่อื่นเก็บไว้ใส่ใจทีหลังได้ไหม? มันคงไม่สายเกินไปหรอกถ้าหลานจะสนใจเื่พรรค์นี้ทีหลัง”
“..”
“กลับไปตั้งใจทำสิ่งที่ควรทำก่อนนะ”
คำพูดเ่าั้มันก็วนเวียนอยู่ในหัวของไซม่อนแทบจะทั้งวัน ทั้งที่เขามักจะคอยปลอบตัวเองอยู่เสมอว่าสิ่งที่เขาทำลงไปทั้งหมดนั้นเป็ความตั้งใจของเขาทั้งหมด ไม่มีสักครั้งเลยด้วยซ้ำที่เขาจะละเลยมัน ไซม่อนไม่ได้อยากจะได้ยินคำสรรเสริญเยินยอมากมายอะไรนักหรอก แต่เพราะทุกครั้งเขากลับได้รับแต่คำติเตียนกลับมาแทนที่จะเป็คำเอ่ยชื่นชมเพียงเล็กน้อยจากคุณอาของเขา แล้วคำพูดเ่าั้มันก็ทำให้เขาหมดกำลังใจที่จะทำอะไรไปหลายครั้งเหมือนกัน
หากการเติบโตจะมาพร้อมความรับผิดชอบมากมายขนาดนี้
เขาเองก็ไม่ได้อยากโตไปมากกว่านี้เหมือนกันนั่นแหละ
- Simon’s theory -
ห้องเรียนกว้างถูกปกคลุมด้วยความเงียบจนคุณครูจำเป็อย่างแพทริเซียต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน ใบหน้าบึ้งตึงของอัลฟ่าหนุ่มที่เป็ั้แ่ก้าวเดินเข้ามาในห้องจนเขากำลังสอนอยู่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด บทเรียนดำเนินไปจนเกือบครึ่งแต่นักเรียนตัวโตของเขาก็ยังไม่เงยหน้ามาสบตาเขาเลยสักครั้ง ทั้งที่หลังจากวันนั้นเขากับไซม่อนเองก็ทำตัวปกติกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักนิดแต่ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่มันก็ยังคงดีมาตลอดแทบจะทั้งเดือน และมันคงไม่มีเหตุผลอะไรให้อีกฝ่ายจะต้องโกรธกันสักนิด แต่แพทริเซียเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้อีกฝ่ายถึงยังมีปฏิกิริยาเ็าใส่เขาอยู่แบบนี้ ทั้งที่คนที่ควรจะต้องซึมที่สุดควรจะเป็เขามากกว่า
เขาที่ต้องถูกบังคับให้กลับบ้านเกือบตั้งสองสัปดาห์น่ะ
แพทริเซียไม่ได้ฝันถึงบ้านโรสซีลินอีกเลยสักครั้งั้แ่วันนั้นแต่กลับฝันถึงทางเดินที่ถูกโรยด้วยกลีบดอกกุหลาบสีแดงอย่างไม่มีจุดหมายแทน เอาเข้าจริง เขาก็แอบคิดว่าการฝันซ้ำซากแบบที่เป็อยู่มันค่อนข้างแปลกอยู่เหมือนกัน แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเขาเองก็ควบคุมความฝันของตัวเองไม่ได้ แต่อย่างน้อยการไม่ได้ฝันถึงเื่น่ากลัวแบบนั้นจนทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแทบจะทุกคืนนั้นมันก็ดีมากกว่าการฝันถึงเื่ดี ๆ ซ้ำซากอยู่แล้วละนะ
ทุกวันที่ผ่านมามันก็ดีแทบจะตลอดนั่นแหละ จนกระทั่งตอนที่เขาต้องเข้าไปยื่นแผนการสอนของสัปดาห์ให้คุณเจมส์และเขาก็ได้รับคำสั่งที่บอกให้เขากลับไปพักที่บ้านเป็เวลาสองสัปดาห์เพราะใกล้จะเข้า่ที่ไซม่อนต้องสอบ การเรียนการสอนวิชาของเขาจึงต้องถูกงดไปก่อน เอาจริงเขาก็ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่คุณเจมส์้าจะสื่อนักหรอกแต่ถ้าหากเป็คำสั่ง คนที่อยู่ในฐานะลูกจ้างอย่างเขาก็คงไม่มีสิทธิ์จะไปขัดคำสั่งอะไรและทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับไปเท่านั้น ทั้งที่จริงแล้วเขาควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ได้กลับบ้านแต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกซึมได้มากขนาดนี้ แพทริเซียพยายามปลอบใจตัวเองอยู่ซ้ำ ๆ ว่าอย่างน้อยเขาก็จะได้กลับไปใช้เวลาพักผ่อนที่บ้านบ้าง แต่เพียงแค่คิดว่าจะไม่ได้เจอกับไซม่อนมันก็ทำให้รู้สึกแย่ขึ้นมาซะอย่างนั้น
จู่ ๆ ความรู้สึกที่ต้องห่างกันในตอนนั้นก็วนกลับมา
แต่ในครั้งนี้มันคงจะทรมานมากกว่าครั้งที่แล้วเป็ไหน ๆ
เสียงถอนหายใจยาวของแพทริเซียดังขึ้นเรียกความสนใจจากอัลฟ่าหนุ่มได้ทันที ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมใบหน้าเรียบตึงที่ยังไม่หายไป และแพทเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปแก้ตัวเหมือนที่เขามักจะทำ เขารู้สึกได้นั่นแหละว่าเราทั้งคู่กำลังมีอะไรในใจอยู่แต่เลือกที่จะไม่ถามอะไรกันออกมาเพียงแค่นั้น แล้วมันก็ทำให้บรรยากาศตอนนี้ยิ่งดูตึงเครียดเข้าไปใหญ่ทั้งที่เราทั้งคู่ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรกันออกมาสักคำด้วยซ้ำ ไซม่อนมองหน้าเขาอยู่เพียงครู่เดียวและอีกฝ่ายก็ก้มลงไปอ่านหนังสือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ
“คุณไซม่อน”
“อื้ม ว่าไง?” ไซม่อนตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขาสักนิด
“..เปล่า”
ปกติแพทริเซียคงจะเอ่ยถามอีกฝ่ายออกไปตรง ๆ นั่นแหละ แต่ไม่รู้ทำไมพอได้เห็นปฏิกิริยาที่ติดเ็าของไซม่อนแล้วเขาถึงกลืนคำพูดทั้งหมดที่อยากจะบอกอีกฝ่ายลงไปซะอย่างนั้น เอาเข้าจริง แพทริเซียเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการที่เขาจะต้องกลับบ้านมันเป็สิ่งที่ควรจะต้องบอกอีกฝ่ายหรือเปล่า เพราะถ้าหากไซม่อนไม่ได้อยากจะรู้สิ่งที่เขาบอกขึ้นมามันก็คงจะดูน่าอายเหมือนกัน มีหลายครั้งที่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าบางอย่างที่เขากำลังรู้สึกอยู่นั้นมันเป็สิ่งที่อีกฝ่าย้าจะสื่อมาจริง ๆ หรือเป็เพราะเขาเองกันแน่ที่คิดไม่ซื่อและเอาแต่คิดเข้าข้างตัวเอง
เขาแยกมันไม่ออกหรอกนะ
ความรู้สึกชอบกับสิ่งที่อีกคนทำไปเพราะอัธยาศัยดีน่ะ
“มีอะไรก็พูดมาสิ”
ครั้งนี้เ้าของเสียงทุ้มเงยหน้าขึ้นมามองเขาพร้อมกับกดเสียงให้ต่ำลง และนั่นมันก็เป็สิ่งที่แพทริเซียไม่ชอบเลยสักนิด แพทไม่เคยชอบเวลาที่เหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกดุหรือถูกกดจากคนอื่น ยิ่งพอเป็ไซม่อนที่ทำแบบนั้นกับเขาก็ทำให้ความน้อยใจและความไม่เข้าใจในอกมันผสมปนเปกันไปซะหมด เขาและไซม่อนนั่งสบตากันอยู่อย่างนั้นครู่นึงก่อนไซม่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด ถึงแพทริเซียจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ก็เถอะ แต่พออีกฝ่ายแสดงท่าทางแบบนั้นออกมาหลังจากที่สบตากันก็ทำหัวใจดวงน้อยแป้วไปซะอย่างนั้น
“ไม่มีอะไร เราแค่จะบอกว่าอ่านบทต่อไปได้เลยนะ”
แล้วสุดท้ายแพทริเซียก็เลือกที่จะเก็บเงียบทุกอย่างเอาไว้กับตัวเอง
เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงที่บทสนทนาของเขากับไซม่อนมีเพียงแค่เื่เรียนเท่านั้น อีกฝ่ายยังคงทำหน้าเรียบตึงอยู่เหมือนเดิมและแพทก็ไม่ได้คิดจะถามอะไรออกไปสักนิด เสียงพลิกหน้ากระดาษของเราสองคนยังคงเกิดขึ้นอยู่ซ้ำ ๆ อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้วที่ไซม่อนจะต้องเข้าพิธีสืบทอดตระกูลและนั่นมันก็ทำให้ไซม่อนต้องจำทุกอย่างที่เป็กฎให้ได้ทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่ท่องจำ และทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในวันพิธีจะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่แค่ไซม่อนหรอกที่จะต้องกังวลกับกฎและพิธีการเป็ร้อยเป็พันหน้าที่ต้องจำ แต่คนสอนอย่างแพทริเซียเองก็หนักใจอยู่เหมือนกัน เขาไม่อยากจะคิดเลยสักนิดว่าถ้าหากไซม่อนทำผิดอะไรไปแม้แต่นิดเดียวนั้นจะมีอะไรมากระทบทั้งเขาและไซม่อนบ้าง
แล้วยิ่งที่เขาต้องเสียเวลาตั้งหลายสัปดาห์ในตอนที่เขาอยู่ใน่ฮีท ไหนจะเวลาที่เขากำลังจะเสียไปอีกสองสัปดาห์เพราะคำสั่งของคุณเจมส์นั่นอีก ความกดดันและความกังวลใจมากมายมันถาโถมใส่เขาซะจนแทบจะคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขาต้องทำอย่างไรกับแผนการสอนที่ต้องถูกเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก หากเขาจะต้องเขียนสรุปแผนการสอนของเขาทั้งหมดหลังฝึกงานเสร็จ มีหวังเอกสารที่เขาจะต้องส่งให้มหาวิทยาลัยนั้นต้องเยอะพอ ๆ กับความเหน็ดเหนื่อยที่เขามีอย่างแน่นอน เพียงแค่คิดแพทริเซียก็ถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงานด้วยความเหนื่อยใจ
บางทีการที่ได้กลับไปพักที่บ้านในครั้งนี้คงทำให้เขาได้โฟกัสอะไรมากขึ้นละมั้ง
เสียงปิดหนังสือเล่มใหญ่ดังขึ้นทำคนที่ฟุบอยู่ต้องเงยหน้าขึ้นมามอง ไซม่อนวางหนังสือที่อยู่ในมือไว้บนโต๊ะก่อนจะหันมาสบตากับแพทริเซียด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ได้
“เราอ่านจบแล้ว”
เ้าของใบหน้าเรียบตึงพูดออกมาเพียงแค่นั้น อัลฟ่าหนุ่มยกแขนขึ้นกอดอกด้วยท่าทีนิ่งเฉยไม่เหมือนกับปกติที่เขาเคยเป็ ไซม่อนในตอนนี้ไม่เหมือนคนเดียวกับคนที่ให้ดอกไม้เขาเลยสักนิดแพทเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขาทั้งสองคนกันแน่ หากเป็เื่ที่ทำให้ไซม่อนไม่สบายจริง ๆ อีกฝ่ายก็คงจะระบายกับเขาเหมือนที่เคยทำทุกครั้งแล้วละ แต่แล้วสุดท้ายก็เป็แพทริเซียเองนั่นแหละที่ทนบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ไม่ไหวและตัดสินใจเอ่ยถามอีกฝ่ายออกไปก่อน
“คุณไซม่อน”
“อื้ม”
“เราทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า?” แพทริเซียเอ่ยถามอีกคนเสียงแ่
อัลฟ่าหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตากับแพทริเซียอีกครั้ง เพียงแค่ได้สบตากับั์ตาคมนั้นก็ทำโอเมก้าตัวขาวเม้มปากแน่นด้วยความประหม่า แพทไม่ได้อยากจะเอ่ยถามอะไรแบบนี้ออกไปด้วยซ้ำแต่เขาก็ไม่ได้อยากเห็นไซม่อนเป็แบบนี้เหมือนกัน
“เปล่า”
“..”
“เราไม่ได้ไม่พอใจอะไรคุณ”
“แล้ววันนี้คุณเป็อะไร ทำไมถึงเฉยชากับเรานัก?”
“เราเปล่า”
คำถามที่อัดอั้นไปด้วยความน้อยอกน้อยใจของแพทริเซียถูกถามออกไปทันทีที่ได้รับคำตอบสั้น ๆ จากไซม่อน แต่มันก็ไร้ซึ่งคำอธิบายจากอีกฝ่าย เขาทั้งสองคนสบตากันอยู่สักพักเป็รอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน แต่ในครั้งนี้เป็แพทริเซียที่ละสายตาจากเขาไปก่อน เข็มนาฬิกาที่กำลังเดินบ่งบอกว่าถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว และคนที่กำลังน้อยใจอยู่ก็ไม่รอช้า ฝ่ามือเล็กรีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าของตัวเอง
ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอกแล้วกัน
อัลฟ่าหนุ่มนั่งนิ่งมองการกระทำของคนตรงหน้าโดยที่เขาก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน ภาพของโอเมก้าตัวขาวที่ก้มเก็บของบนโต๊ะราวกับมันมีนับร้อยชิ้นให้เก็บก็ทำให้ไซม่อนนั่งมองนิ่ง ๆ เพียงเท่านั้น และยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยทักท้วงอะไรออกไปก็ถูกเสียงหวานที่กำลังพูดขึ้นมาทำให้เขาไปต่อไม่ถูกเลยสักนิด
“อีกสองสัปดาห์เจอกันนะ”
“คุณจะไปไหน”
“กลับบ้าน ขอให้โชคดีกับการสอบแล้วกัน”
“เดี๋ยวคุ-”
เสียงปิดประตูดังขึ้นทั้งที่เขายังพูดไม่จบ ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมาลูบใบหน้าของตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ เพราะสิ่งที่มันกวนใจเขามาตลอดทั้งวันนั่นแหละที่ทำให้เขาเป็แบบนี้แต่พอได้เห็นท่าทางของแพทริเซียแล้วเขาก็รู้สึกว่าเขาคิดผิดเข้าแล้วจริง ๆ ที่ไม่ยอมบอกแล้วเก็บมันไว้คนเดียว
สุดท้ายก็โดนโกรธจนได้สินะไซม่อน
แล้วเขาจะทำยังไงให้แพทริเซียหายดีล่ะ
- Simon’s theory -