นางกำนัลนางนั้นกล่าวว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องตรัสว่าตำหนักแห่งนี้อยู่ใกล้กับตำหนักบรรทมของฝ่าาที่สุด ให้เหนียงเหนียงอาศัยอยู่ที่นี่เป็การชั่วคราวไปก่อนบ่าวขอตัวก่อนเ้าค่ะ”
นางกำนัลและขันทีอีกหลายคนภายในตำหนักยังคงเป็ใบหน้าของคนคุ้นเคยก่อนหน้านี้พวกเขาพบว่าหลินชิงเวยกลับมาจึงเริ่มทำงานกันอย่างวุ่นวายอีกครั้ง
ทว่าหลินชิงเวยกลับรู้สึกว่าคนน้อยไปคนหนึ่ง
กลางคืนเมื่อนางกำนัลนำอาหารมาขึ้นโต๊ะ หลินชิงเวยถามว่า “ลวี่เฉี่ยวเล่า?”
นางจดจำได้ว่าลวี่เฉี่ยวเป็สาวใช้คนสนิทของนางก่อนหน้าที่นางจะถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น
นางกำนัลตอบว่า “เรียนเหนียงเหนียง วันนี้ลวี่เฉี่ยวล้มป่วยพ่อบ้านจึงอนุญาตให้นางพักผ่อนอยู่ในห้องเพคะ”
หลินชิงเวยขยับช้อนในมือ ส่งน้ำแกงในช้อนนั้นเข้าปากของตนช้าๆ และพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า“งั้นหรือ เช่นนั้นควรจะพักผ่อนให้ดี”
นางพูดแล้วค่อยๆช้อนตาขึ้นประสานกับสายตาของนางกำนัลที่นำอาหารมาขึ้นโต๊ะในแววตานั้นปรากฏให้เห็นความรู้สึกหลายอย่างที่มิอาจปิดบังได้เมื่อพบว่าหลินชิงเวยกำลังมองนางอยู่จึงรีบก้มหน้างุดพร้อมกับกล่าวว่า“เหนียงเหนียง อาหารเย็นขึ้นโต๊ะแล้วเพคะ เชิญเหนียงเหนียงเพคะ”
หลินชิงเวยพยักหน้า “เ้าออกไปเถิด”
นางกำนัลรับคำจากนั้นหันหน้าเดินออกจากห้องไปครั้งนี้ซินหรูที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารรู้จักเก็บงำความรู้สึกได้มากขึ้นทีเดียวเมื่อเห็นอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะดวงตาทั้งคู่ของนางไม่ได้ทอประกายวาบวับอีกแล้ว เพียงแต่กลืนน้ำลายลงคอของตนเท่านั้น
หลินชิงเวยยิ้มกล่าวว่า “กินให้สบายใจเถิดครั้งนี้ไม่มีใครมาสร้างความลำบากใจให้กับพวกเราอีกแล้ว”
ซินหรูจึงเริ่มลงมือกิน แม้จะกินคำใหญ่ๆ แต่ยังคงมีระเบียบและมีมารยาท
หลินชิงเวยดื่มน้ำแกงไปเพียงสองคำก็วางช้อนลง ซินหรูหันหน้ามาแก้มทั้งสองข้างของนางปูดขึ้นมาด้วยอาหารที่อยู่ในปากถามขึ้นว่า “พี่สาวไม่กินแล้วหรือเ้าคะ?”
หลินชิงเวยลูบศีรษะของซินหรู ลุกขึ้นปัดกระโปรงกล่าวว่า“พี่สาวมีเื่เร่งด่วนกะทันหัน ไปจัดการแล้วค่อยกลับมากิน เด็กดีเ้ากินก่อนเถิด”
ซินหรู “อ้อ” เมื่อเห็นหลินชิงเวยกำลังจะเดินออกไปจึงถามขึ้นว่า“้าให้ข้าไปเป็เพื่อนพี่สาวหรือไม่เ้าคะ?”
หลินชิงเวยตอบทั้งๆ ที่ไม่ได้หันกลับมา “ไม่ต้องข้าไปครู่เดียวก็กลับมา”
นางเดินออกไปจากห้องเห็นนางกำนัลที่นำอาหารมาขึ้นโต๊ะนางนั้นเพิ่งจะเดินเลี้ยวเข้าไปเมื่อถึงมุมระเบียบทางเดินเดินเหินดูเร่งรีบท่าทางร้อนใจอยู่บ้าง หลินชิงเวยจึงสาวเท้าตามไป
หลินชิงเวยตามนางไปถึงเรือนด้านหลังซึ่งเป็ที่พักของนางกำนัลของตำหนักฉางเหยี่ยนนางกำนัลยกชายกระโปรงขึ้นด้วยยังไม่ถึงที่พักหลินชิงเวยพลันปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านหน้าทำให้นางใจนนั่งแปะลงไปกับพื้น หลินชิงเวยก้มหน้าลงมองหน้าริมฝีปากยกยิ้มราวกับกำลังหยอกล้อนาง “เป็แม่นางน้อยเดินอยู่ท่ามกลางความมืดเช่นนี้ตนเองจะทำให้ตนเองใได้โดยง่าย”
“เหนียงเหนียง...” นางกำนัลจดจำได้ว่าเป็หลินชิงเวยจึงคุกเข่าอยู่บนพื้นนั่นเอง
“เ้าชื่ออะไร?”
“บ่าว บ่าวชื่อปี้หลิง เพคะ”
“เ้ารีบร้อนเช่นนี้จะไปที่ใดกัน?ข้าจำได้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เ้าสมควรจะกลับห้องเพื่อพักผ่อน”
“บ่าว...บ่าวเพียงแต่...”
“เพียงแต่จะไปส่งข่าวให้ลวี่เฉี่ยว?”หลินชิงเวยเลิกคิ้วหางเสียงสูงขึ้นสามส่วน“พวกเ้าคงคิดว่าทันทีที่ข้าถูกส่งตัวเข้าไปในตำหนักเย็นก็จะไม่มีทางออกมาได้อีกหรืออาจจะถูกไทเฮาจับกุมตัวไปก็ไม่มีโอกาสมีชีวิตรอดกลับมาดังนั้นจึงกล้าหาญเทียมฟ้าเช่นนี้”
นางกำนัลที่ชื่อปี้หลิงนางนั้นพูดงึมงำเบาๆหลินชิงเวยจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ดูแล้วเ้าและลวี่เฉี่ยวผู้นั้นคงเป็พวกเดียวกันเช่นนี้ก็อย่าได้กล่าวโทษว่าข้าแล้งน้ำใจ” พูดแล้วหลินชิงเวยค่อยๆ ก้าวเข้าไปหานาง“วันรุ่งขึ้นตำหนักฉางเหยี่ยนแห่งนี้ก็จะมีศพเพิ่มขึ้นอีกสองศพไม่มีใครใส่ใจหรอกว่าพวกเ้าตายได้อย่างไรเมื่อข้าอยู่ในตำหนักเย็นต้องเผชิญหน้ากับหญิงสติฟั่นเฟือนมากมายเช่นนั้นยังมีชีวิตรอดปลอดภัยได้ซ้ำยังหาวิธีออกมาจากตำหนักเย็นด้วยตนเองจนได้ เ้าคิดว่าข้ากินเจหรือไร? หืม?”
กลิ่นอายอันเยียบเย็นและลึกลับที่กำจายออกจากร่างของหลินชิงเวยทำให้ปี้หลิงรู้สึกหวาดกลัวนางสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เมื่อเห็นหลินชิงเวยยืนอยู่เบื้องหน้านาง นางได้แต่โขกศีรษะขอละเว้นชีวิตอย่างเอาเป็เอาตาย“เหนียงเหนียงโปรดละเว้นชีวิตด้วยเพคะ!เหนียงโปรดละเว้นเชีวิต!บ่าวไม่ได้เป็พวกเดียวกับลวี่เฉี่ยว!บ่าวไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ไม่รู้อะไรจริงๆ เพคะ! เพียงแต่ลวี่เฉี่ยวเพียงแต่รู้ว่าเหนียงเหนียงกลับมาแล้ว นางหวาดกลัวยิ่งนัก วันนี้นางเพิ่งจะขอร้องพ่อบ้านให้โยกย้ายนางไปทำงานในตำหนักของจ้าวกุ้ยเหรินได้ยินว่าจ้าวกุ้ยเหรินเองก็เห็นด้วยแล้วเพคะ พรุ่งนี้นางก็จะย้ายไปที่นั่นลวี่เฉี่ยวซ่อนตัวอยู่ในห้องไม่กล้าออกมา ไม่ว่าเหนียงเหนียงจะพูดอะไร ทำเื่ใดนางล้วนให้บ่าว นางให้บ่าว...ส่งข่าวให้นางเพคะ”
หลินชิงเวยหรี่ตาลง มองหน้านางแล้วพูดว่า “เ้าจิตใจดีถึงเพียงนั้น?”
“บ่าว บ่าวเพียงแต่เห็นแก่ที่ทำงานร่วมกับลวี่เฉี่ยวมาเป็เวลานานเท่านั้นจึง...”
หลินชิงเวยแค่นหัวเราะเสียงเย็น“เช่นนั้นเหตุใดเวลานี้เ้าจึงเปิดโปงนางอย่างง่ายดายเล่า?”
“บ่าว...บ่าว...” ปี้หลิงพูดอะไรไม่ออก
“นางให้เงินเ้า?” หลินชิงเวยถามต่อ
ปี้หลิงหวาดกลัวถึงขีดสุด จึงร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เช่นนั้นนางให้เงินกับเ้า คนตายเพราะทรัพย์สิน นกตายเพราะอาหารนี่ไม่ใช่เื่แปลก” หลินชิงเวยหยิบถุงเงินออกมาใบหนึ่งกะเกณฑ์น้ำหนักของมันอยู่ในอุ้งมือ จากนั้นเปิดออกดูข้างในยังมีทองคำขาวและทองคำที่มีน้ำหนักหลายชิ้น ปลายนิ้วของนางพลิกสิ่งของในถุงเงินนั้นแล้วหยิบเงินออกมาก้อนหนึ่งยื่นส่งให้ปี้หลิง “มา รับไว้”
ปี้หลิงค่อยๆ ช้อนดวงตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาขึ้นเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของหลินชิงเวย และเงินในมือชิ้นนั้นที่ส่องประกายวาววับจึงสะอึกสะอื้นทว่าไม่กล้าส่งเสียง ยิ่งไม่กล้ายื่นมือออกไปรับ
หลินชิงเวยพูดว่า “ลวี่เฉี่ยวให้เ้ามากกว่าที่ข้าให้?”
ปี้หลิงส่ายหน้า
หลินชิงเวยกล่าวพร้อมหรี่ตาลง “เช่นนั้นเ้ายังตะลึงอะไรอยู่อีกเล่ายังไม่รีบรับไปอีก”
“ขอบพระทัย เหนียงเหนียงเพคะ...” ปี้หลิงลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งแต่ยังคงยื่นมืออันสั่นเทาออกมารับเงินนั้นไว้
หลินชิงเวยยืดกายขึ้น “พอแล้ว ในเมื่อเวลานี้เ้ารับเงินของข้าไปแล้วย่อมไม่อาจทำงานให้ลวี่เฉี่ยวได้อีกต่อไปแต่ต้องทำงานให้ข้าแทน” นางหยิบถุงเงินใบเล็กๆใบหนึ่งออกมายื่นให้กับปี้หลิงอีกครั้ง “อีกประเดี๋ยว เมื่อเ้าไปถึงห้องของลวี่เฉี่ยวแล้วพูดคุยกับนางใส่ผงยานี้ลงไปในน้ำชาของนาง แล้วจับตาดูกระทั่งนางดื่มลงไป”
“แต่...”
“แต่อะไร?” หลินชิงเวยเลิกคิ้วขึ้น พร้อมด้วยสีหน้าสายตาร้ายกาจเล็กน้อย“หรือเ้าคิดว่าช่วยทำงานให้ลวี่เฉี่ยวมีอนาคตกว่าช่วยทำงานให้ข้า? ในวังหลวงแห่งนี้อย่างไรก็ต้องมีคนเป็ก้อนหินรองเท้าหากเ้าไม่อยากเป็ก้อนหินที่รองเท้าผู้อื่นมีเพียงการเหยียบผู้อื่นแล้วปีนป่ายขึ้นไปสู่ที่สูง ลวี่เฉี่ยวมิใช่ทำเช่นนี้หรือนางเห็นเ้าเป็ก้อนหินรองเท้าของนางหาไม่แล้วย่อมไม่มีทางให้เ้าส่งข่าวให้กับนาง เ้าวางใจยานี้ไม่มีอันตรายถึงชีวิตของนาง เป็ยาชนิดไม่รุนแรง”
ในที่สุดปี้หลิงกัดฟันแน่นหลังจากนั้นมีท่าทีราวกับตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้วนางรับผงยาห่อนั้นไป กล่าวว่า “เหนียงเหนียงวางใจเพคะ บ่าวจะไปทำเดี๋ยวนี้”
หลินชิงเวยยิ้มหรี่ตาลงกล่าวว่า “ดีมาก ข้าไว้ใจเ้า ไปเถิด”
ปี้หลิงลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้าไป หลินชิงเวยยืนอยู่ในความมืดในยามราตรีราวกับหลอมรวมกับราตรีอันมืดมิด ทว่าดวงตาโค้งราวเสี้ยวจันทร์ของนางกลับดำขลับสว่างไสวยิ่งห้องของสาวใช้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ค่อยๆ ปรากฏแสงสว่างจากตะเกียงนางเห็นเงาร่างด้านหลังของปี้หลิงห่างออกไปเรื่อยๆแล้วก้มลงมองถุงเงินที่มีน้ำหนักถุงนั้นในมือของตน