Chapter twenty: Simon’s never been kissed
บรรยากาศยามเช้าที่เต็มไปแสงแดดอุ่นที่สาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างบานสูง แสงแดดจ้าที่แยงตาทำให้แพทริเซียรับรู้ถึงการเข้าฤดูร้อนของเอดมันตันอย่างสมบูรณ์แบบความร้อนที่ระอุเข้ามามากกว่าปกติทำโอเมก้าตัวขาวขนลุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้ลมเย็นของเครื่องปรับอากาศที่มีอยู่ทั่วทุกมุมของคฤหาสน์ควินท์เรลจะคอยปลอบประโลมผิวอยู่บ้างก็เถอะ แต่แค่แพทนึกว่าถ้าตัวเองต้องออกไปทำกิจกรรมข้างนอกบ้านกับอัลฟ่าหน้าซามอยด์นั่น อากาศข้างนอกนั่นต้องทำให้เขาหลอมละลายเหมือนกับไอศกรีมแน่ ๆ
ภาวนาอย่างเดียว
ขออย่าให้ไซม่อนงัดลูกอ้อนออกมาเลย
โดยปกติแล้วเอดมันตันเป็เมืองที่อากาศหนาวตลอดทั้งปี จะมีก็แต่ฤดูร้อนนี่แหละที่คอยดึงความสดชื่นกลับมาให้ชาวเมืองได้บ้าง แต่ในตอนนี้อากาศร้อนที่เขามักจะชอบบ่นกระปอดกระแปดใส่คุณพ่อตอนที่อยู่คอตตอนเทลยังสู้อากาศร้อนของคฤหาสน์ที่อยู่สูงสุดของเมืองไม่ได้สักนิด เขาไม่อยากจะนึกเลยสักนิด ถ้าหากถึงฤดูหนาวมันจะเป็ยังไงกันนะ หรือเขาอาจจะถูกแช่แข็งในคฤหาสน์นี้ก็เป็ไปได้
เสียงประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของโอเมก้าตัวขาว และยังไม่ทันที่แพทริเซียจะได้มองเข้าไปในห้อง เสียงของแซมมี่ก็เห่าดังทักทายเขาตามด้วยเสียงทุ้มที่คุ้นเคยของไซม่อนมาติด ๆ
“มาช้า”
“ช้าที่ไหนกันล่ะ นี่มันเพิ่งถึงเวลาเรียน”
“ไหนสอนว่าให้มาก่อนเวลานัด”
“นี่คุณย้อนเราเหรอไซม่อน?”
แพทริเซียมองค้อนใส่อัลฟ่าตัวสูงที่เดินเข้ามาหาจนอีกฝ่ายยิ้มแห้งส่งกลับมาให้ หนังสือและเอกสารมากมายที่คนตัวเล็กหอบมาแนบอกถูกวางลงบนโต๊ะทำงานทันทีที่ก้าวถึงโต๊ะ ดวงตากลมชำเลืองมองบทเรียนบนโต๊ะที่เขาเตรียมมาทั้งคืนสลับกับอัลฟ่าหน้าซามอยด์ที่ยังคงเล่นกับสุนัขตัวโปรดของตัวเองอย่างไม่รู้เื่อะไรสักนิด เอาเข้าจริงแล้ว แพทก็ยังคงแอบกังวลใจอยู่ไม่น้อยกับวันเวลาที่นับถอยหลังไปถึงวันพิธี เวลาเกือบหกเดือนนั้นมันไม่ได้เยอะเลยสักนิดกับการที่จะเปลี่ยนบุคลิกภาพของคนตรงหน้า
เพราะไซม่อนก็คือไซม่อน
และยิ่งแพทได้รู้จักเขามากขึ้นเท่าไหร่
แพทก็ยิ่งไม่อยากเปลี่ยนอีกฝ่ายมากขึ้นไปเท่านั้น
บุคลิกภาพของความเป็ผู้นำ การเข้าสังคม และความมั่นใจในตัวเองของไซม่อนที่ขาดหายไป ทั้งที่มันก็ดูเป็เื่ใหญ่ถ้าหากว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลจะขาดสิ่งเ่าั้ไป แต่ทำไมลึก ๆ แล้วในใจของแพทริเซียกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็ข้อด้อยของไซม่อนเลยสักนิด
หรือเป็เพราะความอ่อนโยน ความเข้าอกเข้าใจ
และความใจดีของไซม่อนที่เข้ามาแทนที่ข้อด้อยทุกอย่างในสายตาเขา
แต่ถึงยังไงก็เถอะ สุดท้ายแล้วแพทริเซียก็ต้องเปลี่ยนไซม่อนอยู่ดี เพราะหน้าที่ของเขาคือการที่ทำให้ไซม่อนเป็ผู้สืบทอดตระกูลที่สมบูรณ์แบบที่สุดของควินท์เรลให้ได้ และเขาเชื่อว่าไซม่อนก็จะกลายเป็ผู้สืบทอดตระกูลที่สมบูรณ์แบบที่สุดในแบบของตัวเองเช่นกัน
“คุณไซม่อน”
“หืม?” อัลฟ่าหนุ่มหยุดเล่นกับเ้าแซมมี่และขานรับแทบจะทันที
“วันนี้เรามาเรียนอะไรง่าย ๆ กัน”
“ง่ายอีกแล้ว คุณแพทบอกง่ายทีไรมันไม่เคยจะง่ายสักที เหมือนวันนั้นที่บอกว่าจะให้เราอ่านนิดเดียวก็เหมือนกัน ไหนจะวันนั้นอีก..”
เสียงบ่นของไซม่อนมาพร้อมกับใบหน้าที่ง้ำงอและคิ้วที่ขมวดกันเป็ปมซะจนแพทกลัวว่ามันจะผูกเข้าหาคนจนคลายไม่อออก โอเมก้าตัวขาวไม่พูดอะไรตอบกลับไป เขาทำเพียงแค่ยืนมองอีกฝ่ายที่ก้มหน้าบ่นกระปอดกระแปดอย่างไม่มีทางสิ้นสุด แพทริเซียส่ายหน้าไปมาก่อนจะเอื้อมมือจัดโต๊ะทำงานตรงหน้าและปล่อยให้ไซม่อนบ่นต่อไป
ถ้าหากเป็เมื่อก่อนเขากับอัลฟ่าหน้าซามอยด์นี่คงจะได้มีเื่กันแน่ แต่พอเป็ในตอนนี้ แพทริเซียกลับรู้สึกเหมือนได้ฟังเพื่อนสนิทกำลังบ่นระบายความในใจถึงตัวเองและเขาเองก็ไม่ได้คิดจะถือโทษโกรธอะไรอีกฝ่ายสักนิด ถือซะว่าเป็การฟังฟีดแบคจากนักเรียนก็แล้วกัน
“คุณแพท”
“อื้ม”
“ทำไมไม่ฟังกันเลยล่ะ”
“ฟังแล้ว”
“แต่เราพูดไปตั้งเยอะนะ”
ใบหน้าง้ำงอที่ดูเหมือนจะทวีความน้อยอกน้อยใจเข้าไปอีกเท่าตัวทำแพทริเซียหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ยิ่งความคิดที่นึกย้อนกลับไปถึงวันแรกที่อีกฝ่ายดูจะเ็ากับเขาซะเหลือเกิน แต่ทำไมในตอนนี้กลับเปลี่ยนไปซะจนเขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ริมฝีปากของไซม่อนเบะลงเล็กน้อยอย่างที่เ้าตัวก็คงไม่รู้ว่าตัวเองแสดงอาการยังไงออกมา ยิ่งได้เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงจดจ้องมาไม่หยุดก็ทำแพทนึกมันเขี้ยวอยากเดินไปหยิกสักทีเหมือนกัน
“แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น คุณแพทตลกเราเหรอ?”
“ก็ไม่ได้ตลก แต่มันอดขำไม่ได้นี่”
“แบบนั้นมันไม่เรียกว่าตลกได้ยังไงล่ะ..” เสียงทุ้มบ่นแ่เบาในลำคอเมื่อเห็นว่าเขายังดูตลกกับท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมา จริง ๆ แล้วแพทริเซียก็ไม่ได้อยากจะหัวเราะให้เสียมารยาทหรอก แต่พอได้เห็นสีหน้าท่าทางแบบนั้นแล้วมันก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้เลยสักนิด คนตัวเล็กพยายามกลั้นหัวเราะไว้และพรูลมหายใจออกมาก่อนจะปรับเสียงพูดให้ปกติ
เดี๋ยวลูกหมาจะน้อยใจเอา
“ดูคุณทำหน้าเข้าสิ”
“เราทำหน้ายังไง?”
“เหมือน..”
“เหมือน?”
“แซมมี่”
“เอ๋ง” เสียงร้องของแซมมี่ดังขึ้นทันทีเมื่อเ้าสุนัขขนปุยได้ยินชื่อของตัวเอง และในตอนที่แซมมี่ก้าวเดินมาหยุดข้างไซม่อนนั่นแหละที่ทำให้เสียงหัวเราะของแพทริเซียที่ถูกกดกลั้นไว้ะเิออกมาทันที
หน้าเหมือนกันไม่มีผิด
“นี่คุณแพทว่าเราเหมือนสุนัขเหรอ?”
“เปล่า เราแค่บอกว่าคุณทำหน้าเหมือนแซมมี่”
“มันต่างกับที่เราบอกยังไงกัน”
“ต่างสิ”
“ต่างยังไง?”
“ก็มันไม่ได้หมายความว่าคุณเหมือนสุนัขไง แต่เราแค่บอกว่าคุณชอบทำท่าทางเหมือนแซมมี่”
“เราไปทำอะไรแบบนั้นตอนไหนกัน” ไซม่อนบ่นอุบอิบขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ต้องหาเื่รั้งเวลาแล้วคุณไซม่อน เลยเวลาเรียนมาตั้งสิบนาทีแล้ว”
“แต่เราไม่อยากเรียน เราอยากเล่นมากกว่า”
“หยุดเลย”
“เราเรียนไปเยอะแล้วนะ”
ว่าแล้วต้องเป็แบบนี้
คนตัวเล็กทรุดตัวนั่งลงกับเก้าอี้ตัวใหญ่ก่อนจะยกแขนขึ้นเท้าคางกับโต๊ะทำงาน เพียงแค่แพทริเซียปรายตามองเท่านั้น อัลฟ่าหนุ่มที่กำลังขยับริมฝีปากบ่นก็เงียบลงทันที เป็แพทที่หยิบหนังสือเล่มใหญ่ส่งให้อีกฝ่าย และเขาก็รีบเดินไปยังที่นั่งของตัวเองโดยที่ไม่ต้องให้คุณครูจำเป็อย่างเขาต้องพูดซ้ำเลยสักนิด
เสียงพลิกหน้ากระดาษดังขึ้นเป็สัญญาณของการเรียนการสอนจะเริ่มต้น แพทเลื่อนสายตามองเนื้อหาการสอนที่เขาเตรียมมาอย่างตั้งใจ เป็เวลาเกือบสัปดาห์แล้วที่เขาและไซม่อนไม่ได้พบกัน หลังจากวันนั้นที่ความรู้สึกประหลาดในช่องท้องวันนั้นที่ทำให้ใจดวงน้อยของเขาหวิวไปหมด และความรู้สึกเ่าั้ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเขาไปทั้งคืนจนเขาเกือบข่มตาให้หลับแทบไม่ลงเพราะมัวแต่ติดอยู่กับความสงสัย
ความสงสัยที่ว่าความรู้สึกแบบนั้นมันคืออะไร
ต่อให้เขาจะอ่านหนังสือมาเป็ร้อยเป็พันเล่ม จะเรียนได้ผลการเรียนดีมาตลอดทั้งชีวิต แต่ทำไมพอเป็เื่ของความรู้สึกมันถึงรู้สึกว่ายากนัก ยากกว่าการที่ต้องอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืนเพื่อเตรียมสอบอีก อย่างน้อยการอ่านหนังสือมันก็ทำให้เราได้คำตอบกับทุกอย่างที่เราอยากรู้ แต่ถ้าเป็เื่นี้ แพทจะไปหาคำตอบจากที่ไหนล่ะ
แพททริเซียสะบัดใบหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่านเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนมือลูบที่ข้างคอของตัวเองเมื่อความรู้สึกร้อนผ่าวกำลังคืบคลานเข้ามา สงสัยหน้าร้อนจะเล่นงานเขาเข้าแล้วจริง ๆ
“วันนี้เราจะมาเรียนเื่การทักทายกันนะคุณไซม่อน”
“..”
“คุณไซม่อน” เสียงหวานเอ่ยเรียกซ้ำเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ขานรับกลับมาเหมือนอย่างเคย
“..”
แต่ก็ไร้การตอบรับจากอัลฟ่าตัวสูงอยู่ดี
หรือว่าจะงอนอีกแล้ว?
“นี่ คุณไซม่อน”
“คุณพูดมาสิ”
น้ำเสียงเรียบนิ่งจากอัลฟ่าหนุ่มทำแพทริเซียเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ อีกฝ่ายก้มมองหนังสือเล่มใหญ่ที่เขาให้ไปโดยไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาตอบกันสักนิด จากท่าทางที่ไซม่อนแสดงออกมาแพทก็พอจะรู้แล้วแหละว่ามันคือการงอน แต่จะให้แพททำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อตัวเขายังไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิด จะมีก็แต่บอกให้อีกฝ่ายหยุดบ่นเสียที เพราะถ้าหากไซม่อนไม่เริ่มเรียนเร็ว ๆ นี้ละ เวลาที่เหลือมันอาจจะไม่พอกับการซ้อมพิธีที่ยังเหลือรอให้เขาเรียนรู้อยู่ก็ได้
การจะเตรียมตัวเข้าพิธีใหญ่ขนาดนั้นใช่เื่เล็กซะที่ไหนกันล่ะ
และเขาเองก็ไม่ได้อยากจะมีปัญหากับคนที่คฤหาสน์ควินท์เรลหรอกนะ
โดยเฉพาะคุณย่าของไซม่อนน่ะ
“คุณไซม่อน”
“ครับ”
อีกฝ่ายก็ยังคงเอ่ยตอบเสียงเรียบตึงเหมือนเดิม หากเป็ก่อนหน้านี้แพทคงจะเดือดปุดและโวยอีกฝ่ายเข้าให้สักทีแล้วละ แต่เพราะในตอนนี้สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากไซม่อนตลอดเวลาสี่เดือนกว่า ๆ มันทำให้เขาได้เข้าใจ ถ้าอยากได้อะไรจากคนตรงหน้า เขาก็ควรจะเอาน้ำเย็นเข้าลูบไม่ใช่น้ำร้อนเหมือนตอนที่ผ่านมา แพทริเซียถอนหายใจเล็กน้อยด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะปั้นหน้ายิ้มส่งให้คนขี้งอนที่กำลังก้มหน้าไม่สนใจเขาสักนิด
“เรามาทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกันดีไหม?”
และมันก็ได้ผล
ในตอนนี้คนขี้งอนที่กำลังก้มหน้าอยู่ก็ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากันสักที
“เอาหรือเปล่า?”
“ข้อตกลงอะไร?”
“ถ้าเรียนจบหนึ่งบท จะขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง”
“ทุกอย่างเลยเหรอ?”
“อื้ม ไม่ว่าคุณไซม่อนจะอยากได้อะไรก็แค่เรียนให้จบหนึ่งบท”
ถ้าหากไม่ยอมใช้วิธีนี้ เขาก็คงไม่มีทางได้เห็นรอยยิ้มบางที่กำลังปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลานั่นหรอก หรืออาจจะมีหวังได้ถูกงอนไปทั้งวันเป็แน่ สีหน้าที่ทำเหมือนกำลังครุ่นคิดของอัลฟ่าหนุ่มทำแพทกลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่ หากนั่นเป็การแสดงก็คงจะเป็การแสดงที่ไม่เนียนที่สุดที่เขาเคยเห็น ทั้งที่ตัวเองยิ้มออกมาแทบจะทันทีตอนที่ได้ยินข้อเสนอจากเขาแท้ ๆ
“ว่าไงคุณไซม่อน สนใจหรือเปล่า?”
“เราคิดอยู่”
ลีลาเยอะซะด้วย
แพทริเซียพยักหน้ารับคำตอบของอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม อย่างน้อยการให้ทางเลือกและตัดสินใจกับไซม่อนมันก็คงดีกว่าการจะยอมตามใจอีกฝ่ายเฉย ๆ ละนะ ยังไม่ทันที่แพทจะได้พลิกหน้ากระดาษฆ่าเวลาเพื่อรอคำตอบของคนตรงหน้า เ้าของเสียงทุ้มที่เคยนิ่งตึงไปครู่นึงก็โพล่งขึ้นมา
“เราตกลง.. แต่ต้องตามใจเราทุกอย่างนะ”
“ได้สิ งั้นตอนนี้มาเริ่มเรียนกันเลยดีไหม?”
“ได้”
- SImon’s theory -
แสงแดดยามบ่ายนอกหน้าต่างยังคงสอดส่องเข้ามาชวนให้คนในห้องรู้สึกถึงไอร้อนที่ระอุผ่านกระจกใสบานใหญ่ หลังจากการเรียนการสอนที่เริ่มขึ้นั้แ่เช้าดำเนินมาถึงตอนบ่าย ในตอนนี้ใบหน้าของไซม่อนเริ่มอิดโรยจากการรับความรู้ที่อัดแน่นซะจนเปลือกตาของเขาเริ่มจะหนักอึ้ง เสียงเจื้อยแจ้วของคุณครูจำเป็ก็ยังคงดังเข้ามาในโสตประสาทอยู่เรื่อย ๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย ๆ เลยสักนิด
แผ่นหลังกว้างที่เคยนั่งตรงดิ่งกลับถูกเอนพิงโซฟาตัวใหญ่จนได้ ศีรษะที่เคยก้มจดจ่ออยู่กับหนังสือบนตัก ในตอนนี้ก็ได้เอนพิงไปกับหมอนใบใหญ่ที่หนีบไว้กับพนักพิงอย่างน่าสงสาร ดวงตาคมตอนนี้ไม่ได้เพ่งไปที่ตัวอักษรตรงหน้าแล้วด้วยซ้ำ ไซม่อนทำเพียงแค่นั่งฟังแพทริเซียเงียบ ๆ และตอบรับไปด้วยการพยักหน้าทุกประโยคที่อีกฝ่ายพูด
อัลฟ่าหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองพร้อมจะหลับอยู่ตลอดเวลา
และเขาก็ใกล้จะทำแบบที่ตัวเองรู้สึกอยู่แล้วจริง ๆ
“ตามหลักมารยาทสากลแล้วนั้น การทักทายที่ไม่ได้ใช้กับเพื่อน คนรู้จัก หรือคนในครอบครัว นอกจากการเอ่ยทักทายด้วยคำพูดก็มักรู้กันอย่างดีว่าการโค้งคำนับหรือการยื่นมือไปจับเพื่อทักทายกันก็เป็มารยาทการทักทายแบบสากลง่าย ๆ ที่สามารถทำได้โดยดูตามสถานการณ์ที่ได้พบเจอ..”
“..”
“แต่นอกเหนือจากนั้น ก็ยังมีการจู-.. คุณไซม่อน?”
“..”
“คุณไซม่อน ฟังเราอยู่หรือเปล่า?”
“..”
“คุณไซม่อน!”
อัลฟ่าหนุ่มสะดุ้งสุดตัวทันทีที่ถูกเ้าของเสียงเล็กขึ้นเสียงใส่ ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นลูบที่ใบหน้าของตัวเองไล่ความง่วงงุนที่ครอบงำอยู่ แต่ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่พัดมากระทบผิวก็ทำให้ยิ่งง่วงเข้าไปใหญ่ ไม่ว่าจะสะบัดหน้าไล่ความง่วงออกไปแค่ไหน เปลือกตาก็ยังพร้อมที่จะปิดเข้าหากันอยู่ตลอด
“อยากพักก่อนไหม?” เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็ห่วง
“ไม่เอา อีกนิดเดียวก็จะจบบทแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“แต่ถ้าฝืนให้จบวันนี้คุณจะเหนื่อยเอาเปล่า ๆ นะ”
“เย็นนี้อยากไปเดินเล่น”
“..”
“กับแซมมี่”
แล้วจะบอกกันทำไมล่ะเนี่ย?
“อ๋อ”
“แต่ถ้าคุณจะไปเดินด้วยก็ได้นะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาแ่เบา
แพทริเซียไม่เข้าใจเลยว่าการขี้เก๊กไม่ยอมพูดสิ่งที่ตัวเอง้าของไซม่อนนี่เขาจะทำไปทำไมกัน คนตัวเล็กทำเพียงพยักหน้ารับคำบอกเล่าของอีกฝ่ายก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานเดินตรงมาหาคนที่กำลังทำหน้าง่วงอยู่
“ลุกได้แล้ว”
“แต่เรายังเรียนไม่จ-”
“เราจะพาเรียนปฏิบัติ มาลองทักทายกันจริง ๆ ดู ถ้าได้เจอสถานการณ์จริงจะได้ไม่ประหม่า”
“แล้วกับคุณแพทเราจะประหม่าได้ยังไง?”
“เมื่อก่อนก็ยังเห็นหน้าตึงใส่เราอยู่เลย”
“ก็มันเมื่อก่อนนี่..”
รอยยิ้มหวานถูกส่งให้คนตรงหน้าอย่างเอ็นดู มือเล็กเอื้อมไปหยิบหนังสือบนตักของอีกฝ่ายออกอย่างถือวิสาสะและพยักหน้าเป็เชิงให้อีกคนเดินตามมาที่อีกฝั่งของห้องกว้าง
กระจกเงาบานใหญ่ที่ถูกติดไว้กับผนังทั้งแถบสะท้อนภาพของสองคนที่กำลังยืนประชันหน้าเข้าหากัน ถึงแม้จะทิ้งระยะห่างของการยืนก็เถอะ แต่พอได้สบตากันตรง ๆ แบบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกเขินอายอยู่เหมือนกัน อัลฟ่าหนุ่มยังคงยืนตรงและจดจ้องมารอฟังคำสั่งอย่างตั้งใจ หากแต่คนที่เป็ผู้สอนน่ะสิที่กำลังประหม่ายิ่งกว่าใคร
ทั้ง ๆ ที่เพิ่งบอกอีกฝ่ายไปว่าไม่อยากให้รู้สึกประหม่าเมื่อเจอสถานการณ์จริง
แต่ทำไมเป็เขาเองล่ะที่รู้สึกประหม่าแบบนี้
น่าอายจริง ๆ เลย
“เราต้องเริ่มจากการพูดทักทายไหมครับ?” สุดท้ายก็เป็ไซม่อนที่เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน แพทริเซียกระแอมเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป
“ได้ ได้สิ แต่ต้องเป็การทักทายแบบคนไม่รู้จักกันนะ”
“แต่เรารู้จักกัน.. สนิทกันด้วยไม่ใช่เหรอ?”
คำถามใสซื่อจากเ้าของแววตาลูกหมาหงอยตรงหน้าทำแพทริเซียหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าวันนี้เขายิ้มให้การกระทำและคำพูดที่แสนซื่อตรงจากคนตรงหน้าไปกี่ครั้งแล้ว แม้มันจะเป็คำพูดที่เ้าตัวอาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่คำถามที่ถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งคู่มันก็ทำให้ใจเขาอดดีใจไม่ได้เหมือนกัน
อย่างน้องก็ไม่ได้คิดว่าสนิทกับอีกฝ่ายแค่คนเดียวล่ะนะ
“ก็ใช่ เราสนิทกัน แต่เราอยากให้คุณได้จำลองสถานการณ์ที่ต้องพบปะและทักทายกับคนไม่รู้จัก ลองจินตนาการถึงความรู้สึกแรกที่คุณเจอเราดูสิ”
“แจกันแตก”
“เราจำได้”
“เราไม่ได้ทำนะ แซมมี่วิ่งชนต่างหาก”
“เรารู้แล้ว” คนตัวเล็กตอบกลับพร้อมขำน้อย ๆ
ใครจะจำไม่ได้กันล่ะ ก็วันแรกที่มาถึงคฤหาสน์ควินท์เรลก็ได้รับการต้อนรับจากทายาทหนึ่งเดียวของตระกูลที่ทำเอาความประทับใจแรกของเขาพังไปซะไม่เหลือชิ้นดี ทั้งที่เขาแค่เข้าไปถามเื่ราวที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง ภาพที่อัลฟ่าตัวโตนั่งปลอบโยนสุนัขตัวโปรดยังคงเป็ภาพจำแรกที่เขาไม่อาจลืมได้เลย และมันก็มาพร้อมความน้อยใจย้อนหลังที่โดนอีกฝ่ายเมินั้แ่แรกพบอีกด้วย
“เราหมายถึงตอนที่คุณทำเหมือนไม่อยากรู้จักเราต่างหาก”
“เราไม่ได้อยากรู้จัก แค่รู้สึกว่า.. คุณคือคนแปลกหน้า”
“ก็เพราะอย่างนี้ไงถึงต้องเรียนเกี่ยวกับการทักทาย จากที่เราวิเคราะห์มาทั้งหมด คุณจะรู้สึกไม่ดีและอึดอัดกับคนแปลกหน้าใช่ไหม? แต่แทนที่คุณจะทำหมางเมินหรือทำให้ความประทับใจแรกมันพังไป คุณก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนด้วย”
“เราจะทำได้เหรอคุณแพท สำหรับเรามันยากนะ”
“ไม่ต้องรีบให้เก่งภายในวันนี้ก็ได้ เราค่อย ๆ เรียนรู้ไปด้วยกันได้ไม่ใช่เหรอ?”
“ถ้าเกิดวันจริงเราทำไม่-”
“อยู่กับปัจจุบันก่อนคุณไซม่อน อย่าเพิ่งไปคิดถึงอนาคต”
“..”
“เรามาทำวันนี้ให้มันดีที่สุด เพื่อที่จะไม่เสียดายเวลาในวันข้างหน้ากันเถอะ”
- SImon’s theory -
เสียงบทสนทนาของบทบาทสมมติในสถานการณ์จำลองยังถูกพูดวนซ้ำอยู่อย่างนั้น และไม่ใช่เพียงแค่นักเรียนการแสดงคนเก่งอย่างแพทริเซียเท่านั้นที่ทำได้ดีอย่างที่เคยเป็มาตลอด ไซม่อนที่ตั้งใจฝึกฝนอย่างจริงจังก็ทำมันออกมาได้ดีไม่แพ้กันสักนิด เขาสวมบทบาทในการเป็ผู้สืบทอดตระกูลที่กำลังต้อนรับแขกภายในงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากที่เคยเก้ ๆ กัง ๆ ในการเอ่ยทักทายตัวละครสมมติที่แพทจำลองขึ้นมาให้ ในตอนนี้เขาก็พูดทักทายได้อย่างลื่นไหลมากขึ้นและไม่ได้ดูกังวลใจอะไรมากนัก
แค่นี้แพทริเซียก็โล่งใจไปเปราะนึงแล้วละ
เ้าของไหล่กว้างยืนอยู่หน้ากระจกและพยายามปรับท่าทางการยืนของตัวเองให้ดีขึ้นตามที่คุณครูจำเป็อย่างแพทคอยบอกอยู่ข้าง ๆ ฝ่ามือของทั้งคู่ที่เอื้อมมาจับและเขย่าเบา ๆ เป็รอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวันทำให้แพทและไซม่อนไม่ได้รู้สึกประหม่าในการจับมือกันอีกแล้ว ถึงความรู้สึกมันจะแตกต่างจากตอนที่จับมือกันเดินอย่างไม่ตั้งใจในวันนั้นก็เถอะ แต่เพราะยิ่งััที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ช่องว่างของเขาและไซม่อนลดลงอย่างรู้สึกได้จริง ๆ
“เราทักทายแค่นี้กับทุกคนได้เลยใช่ไหมคุณแพท?”
“แค่ไม่ไปทำหน้าั์ใส่เขาเหมือนที่ทำใส่เราก็พอแล้วล่ะ”
“แล้วอีกสองข้อที่ถูกเขียนไว้ล่ะ? จริง ๆ มันยังไม่หมดเลยไม่ใช่เหรอ?”
สิ้นประโยคคำถามของไซม่อนก็ทำให้โอเมก้าตัวขาวต้องเดินไปหยิบหนังสือเล่มใหญ่ที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะร่วมสองชั่วโมงมาไว้กับตัว ดวงตากลมเลื่อนไล่อ่านตามตัวอักษรมากมายที่เขาเป็คนตีพิมพ์มันอย่างตั้งใจ ก่อนที่จะหยุดสายตาที่สองบรรทัดสุดท้ายที่ไซม่อนเอ่ยถึง
“เราจำถูกใช่ไหมว่ามีอีกสองข้อ?”
“ถูก แต่จริง ๆ แล้วสองวิธีนี้คุณไม่น่าจะได้ใช้นักหรอก มันใช้กับแค่บางประเทศเท่านั้น”
“การหอมแก้ม การกอด แล้วก็การจูบทักทายน่ะเหรอ?”
“ใช่”
“แต่เราอยากรู้ว่ามันทำยังไงนี่”
ลางสังหรณ์ของแพทเริ่มทำงานอีกแล้ว
และแพทก็คิดว่ามันคงไม่ใช่เื่ดีแน่ ๆ
“..”
“เราอยากลองทักทายแบบนั้นดูบ้าง”
“คือ..”
“คุณแพทสอนเราได้ไหม?”
แพทละอยากให้ลางสังหรณ์ของตัวเองมันทำงานผิดพลาดบ้างสักครั้งจริง ๆ
โอเมก้าตัวขาวทำเพียพรูลมหายใจยาว ๆ ออกมาและวางหนังสือเล่มใหญ่ไว้ที่พื้นหน้ากระจก ถึงเขาจะไม่ได้อยากสอนเท่าไหร่นัก แต่ในเมื่อเขาเป็คนที่ใส่ข้อมูลเ่าั้ลงไป การอธิบายและสอนอะไรอีกฝ่ายมันก็คงไม่ใช่เื่แปลกเท่าไหร่นัก แต่ไอ้เ้าก้อนเนื้อในหน้าอกข้างซ้ายกับผีเสื้อที่ไซม่อนเคยทำให้มันบินวนไปทั่วช่องท้องในวันนั้นน่ะสิคือสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้
แต่สุดท้ายเขาก็รวบรวมความกล้าและมายืนต่อหน้าอีกคนจนได้
“บางประเทศ บางวัฒนธรรม เขาก็จะใช้การกอดแทนการทักทาย”
“กอดเฉย ๆ น่ะเหรอ เหมือนที่เรากอดคุณย่าหรือเปล่า?”
“ใช่ แบบนั้นนั่นแหละ งั้นเราไม่ต้องสาธิตการกอดใช่ไหม?”
อัลฟ่าหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักอย่างตั้งใจ สีหน้าและแววตาของเขามันดูมุ่งมั่นเสียจนแพทเองก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าควรสอนเื่แบบนี้จริง ๆ หรือเปล่า สีหน้าที่เหมือนเด็กกำลังจะได้ของเล่นนั้นทำแพทแทบอยากจะยกมือขึ้นมากุมขมับสักที
“แต่การเอาแก้มมาแตะกัน หอมแก้ม หรือจูบแก้ม เขาก็จะทำกันสลับทั้งแก้มซ้ายและขวาเลย”
“สองข้างเลยเหรอ?” ไซม่อนใช้นิ้วชี้แตะแก้มทั้งสองข้างของตัวเองพร้อมเอ่ยถาม
“อื้ม สองข้างเลย”
“อันนี้เราก็พอเข้าใจได้ เราก็หอมแก้มกับคุณย่าเหมือนกัน”
“อะไรแบบนี้ไว้ทำกับแค่คนที่สนิทหรือคนที่เขามาจากประเทศนั้น ๆ ก็พอนะ”
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไง?”
“ก่อนวันงานเราจะทวนรายชื่อแขกทั้งหมดและบอกรายละเอียดการปฏิบัติตัวให้คุณฟัง”
“โอเค.. แล้วอันสุดท้ายล่ะ?”
“..”
“อันนี้เราไม่เคยทำกับใครนะ”
สิ้นประโยคที่พูดออกมาอย่างหน้าซื่อจากอีกฝ่ายก็ทำแพทกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ เพียงแค่จินตนาการว่าเขาจะต้องสาธิตการจูบทักทายกับคนตรงหน้า แพทริเซียก็หมดเรี่ยวแรงยิ่งกว่าเดิม นี่มันหนักกว่าการที่หัวใจเต้นแรงหรือรู้สึกถึงผีเสื้อในท้องเลยด้วยซ้ำ
ไหนจะสายตาคมที่จดจ้องมาที่เขาอย่างมีเลศนัยอีก
แค่นี้แพทก็จะยืนแทบไม่ไหวอยู่แล้ว
“เอาเป็ว่า.. ถึงเวลาเลิกเรียนแล้วละคุณไซม่อน”
“อ้าว แล้ววิธีจูบของเราล่ะ? จะไม่สอนเหรอ?”
“ไว้.. เราจะสอนครั้งหน้าแล้วกัน เราขอตัวนะ”
สองขาเรียวก้าวพาตัวเองออกมาจากคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วทั้งที่อีกฝ่ายยังคงเรียกเขาอยู่ แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ขนาดของที่ควรต้องเก็บออกจากห้องเรียนแพทยังลืมมันไปเสียหมด หูทั้งสองข้างอื้ออึง แก้มร้อนผ่าวจนอากาศร้อนข้างนอกคงจะสู้เขาไม่ได้ด้วยซ้ำ
ถ้าวันนึงเขาต้องสอนไซม่อนอย่างที่ได้บอกอีกฝ่ายไปจริง ๆ
อากาศของฤดูร้อนก็คงจะต้องยอมแพ้ให้กับความร้อนของใบหน้าเขาแล้วละ
- SImon’s theory -