ที่แท้เป็ธนูเวทมนตร์ระดับสี่ดาว?
ในที่สุดนักรบผมบลอนด์ทองก็แยกแยะบางอย่างได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
แม้ว่าจะยืนอยู่ห่างออกไปไกลมาก แต่เขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงคลื่นเวทมนตร์ที่พวยพุ่งออกมาจากตัวธนูสีทองนั่น ความเย็นะเืที่หนาวเข้ากระดูกนี้ราวกับมีนักเวทระดับสี่ดาวอยู่ตรงนั้น บรรยากาศแบบนี้มีเพียงแค่อาวุธเวทมนตร์ระดับสี่ดาวเท่านั้นถึงจะมีได้
และอาวุธเวทมนตร์ระดับสี่ดาว สำหรับเหล่านักรบระดับดาวแล้ว ถือเป็สมบัติอันล้ำค่า
แผ่นดินอาเซรอท ระดับสูงต่ำของอุปกรณ์เวทมนตร์และอาวุธสามารถแบ่งออกได้เป็เก้าดาว
อาวุธเวทมนตร์ระดับหนึ่งถึงสามดาว ถือว่าอยู่ในระดับล่าง พบเห็นได้ทั่วไป ธรรมดาอย่างมาก ทว่าระดับสี่ถึงหกดาวที่เป็ระดับกลาง และเจ็ดถึงเก้าที่เป็ระดับสูง ถือเป็อาวุธเวทมนตร์ประเภทหาได้ยาก โดยปกติแล้วมีเพียงปรมาจารย์การหลอมระดับสูงและนักเวทระดับสูงเท่านั้นที่สามารถสร้างอาวุธเวทมนตร์ระดับกลางและสูงได้ และสำหรับเหล่านักรบระดับดาว อาวุธเวทมนตร์ระดับกลางสำคัญกว่าชีวิต เพราะอาวุธเวทมนตร์จะช่วยสนับสนุนพลังของนักรบแต่ละบุคคลได้
หากนักรบคนหนึ่งหลังจากที่ทะลวงจากระดับดาวไปสู่ระดับพระจันทร์ได้ หาก้าก้าวไปข้างหน้าก็มีแค่สามทางเลือก คือ ฝึกด้วยอาวุธ ฝึกด้วยสัตว์อสูร และฝึกด้วยพละกำลัง
ในบรรดาการฝึกฝนทั้งสามประเภทของระดับจันทรา การฝึกด้วยอาวุธเป็สิ่งที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ยังเป็อะไรที่ง่ายและเห็นผลเร็วที่สุดอีกด้วย
และถ้าอยากเลือกเส้นทางฝึกด้วยอาวุธ ก็จำเป็ต้องเลือกอาวุธระดับสูงที่มีจิติญญาเป็ของตัวเองมาฝึกฝน ควบคู่ไปพร้อมๆ กับพัฒนาตัวเอง สำหรับนักรบระดับจันทราแล้ว เส้นทางการฝึกฝนระดับจันทราของตัวเองจะไปได้ไกลแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความเข้ากันได้กับจิติญญาของอาวุธที่ตัวเองเลือก ความสัมพันธ์ระหว่างคนและอาวุธจะคอยส่งเสริมซึ่งกันและกัน นี่แสดงให้เห็นว่าอาวุธระดับดาวมันสำคัญมากขนาดไหน แม้แต่โอบินนาที่เป็องค์ชายแห่งอาณาจักรเธรซ อาณาจักรบริวารระดับสามที่สูงส่งก็ยังไม่มีอาวุธระดับสี่ดาวเลยสักชิ้น ดังนั้นเมื่อเขามองไปที่ด้านหลังของเอเลน่า สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป
“หากได้ธนูระดับสี่ดาวนี้มาไว้ในมือ...”
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจของโอบินนานักรบผมบลอนด์ทอง หัวใจของเขาก็พลันเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่ง ความคิดของเขาก็พลันเปลี่ยนไปจากความคิดที่จะสร้างภาพลักษณ์อบอุ่นและเป็กันเองก่อนหน้านั้นก็สลายไป กลิ่นอายดุร้ายกระจายออกมาจากตัวโดยที่ไม่มีใครรู้
แต่โอบินนาก็เป็คนที่รอบคอบ
และนั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมในการประชุมของอาณาจักรเธรซครั้งนี้ ถึงได้ตัดสินใจส่งเขามาที่เมืองแซมบอร์ด
เมื่อเฝ้าจับตามองเหล่าโร้กสาวเป็เวลานาน ในใจของโอบินนาก็พอจะคาดเดาภูมิหลังของผู้หญิงกลุ่มนี้ได้อย่างรวดเร็ว เขาลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายเหตุผลก็เอาชนะความโลภ การที่นักธนูพลังระดับสามดาวจะมีธนูคุณภาพยอดเยี่ยมในระดับสี่ดาวจะต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากสาวงามผมสีแดงเพลิงที่มีพลังระดับสามดาวแล้ว สาวๆ คนอื่นอีกสิบคนก็ยังเผยกลิ่นอายนักรบระดับหนึ่งดาว พลังดังกล่าวไม่สามารถมองข้ามได้ บางทีพวกนางอาจจะมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่...
สุดท้ายโอบินนาก็ก็เห็นแก่ความปลอดภัย เขาเลือกที่จะตรวจสอบภูมิหลังก่อน
เขาหันไปกระซิบสั่งการกับผู้คุ้มกันวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ เขาสองสามประโยคก่อนที่ผู้คุ้มคนนั้นจะหันหลังเดินกลืนหายไปกับฝูงชน หลังจากนั้นโอบินนาจึงเดินออกไป โดยที่ทิ้งผู้คุ้มกันที่มีไหวพริบอยู่ที่นี่อีกสองคนไว้เพื่อคอยแอบตามเอเลน่าและสาวๆ คนอื่น...
……
สามชั่วโมงต่อมา
“เ้าตัวเล็กพวกนี้เป็ของที่พวกนางจะทิ้งไว้ที่นี่หรือ?”
เขาวงกตใต้ดินในูเาด้านหลังเมืองแซมบอร์ด ซุนเฟยมองพวกลูกสัตว์อสูรตัวเล็กที่ร้องด้วยความหิวทุกตัวบนห้องโถงตาค้าง...ผู้หญิงนะผู้หญิง ช่างเป็สัตว์ประหลาดที่มีความรักของมารดาจริงๆ
“ขอรับ ฝ่าา ก่อนที่พวกนางจะจากไป ก็ทิ้งเ้าพวกตัวเล็กให้อยู่ที่นี่...”
โอเลเกร์เผยสีหน้าอึดอัดใจ เขาต้องสวมบทเป็แม่นมวิ่งวุ่นกับเ้าพวกนี้ ทั้งยังหานมแพะมาให้เ้าโห่วขนทองที่แสนพยศนี่อีก
โห่วขนทองมีลักษณะภายนอกเหมือนกับลูกเสือ เพียงแต่ว่ามีปีกเล็กๆ สองปีกงอกมาจากด้านหลัง ลักษณะปีกดูปุกปุยน่ารัก ดวงตากลมโตที่เหมือนอัญมณีสีนิลแสดงท่าทีหวาดระแวง ไม่ว่าโอเลเกร์จะปลอบโยนอย่างไรมันก็ไม่ยอมเลียนมแพะในถ้วย
เ้าอ้วนที่น่าสงสารเคยพบสถานการณ์แบบนี้ที่ไหนกัน จะตำหนิมันก็ไม่ได้ ทำได้แค่เหงื่อตกท่วมหน้า
ซุนเฟยมองอย่างสนใจและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เอเลน่าและพวกสาวๆ สามารถอยู่ที่โลกแห่งความจริงได้แค่สี่ชั่วโมง เมื่อถึงเวลา ก็ต้องกลับไปที่โลก Diablo และพวกนางก็ไม่มีวิธีที่จะนำของจากโลกแห่งความจริงกลับไปที่โลก Diablo ได้อีกด้วย ดังนั้นจึงต้องทิ้งเ้าตัวเล็กพวกนี้ไว้ที่นี่ให้โอเลเกร์เลี้ยง เ้าอ้วนโอเลเกร์มีทักษะในการประจบสอพลอ แต่ทักษะการเลี้ยงสัตว์อสูรน่ารักพวกนี้เป็เื่ที่ไกลตัวมาก เ้าพวกนี้ยังเลี้ยงยากกว่าพวกเด็กๆ ที่วิ่งเล่นในเมืองแซมบอร์ดเสียอีก ลูกสัตว์อสูรพวกนี้ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเขา มิหนำซ้ำยังกางเล็บข่วนหัวเขาอีก
“มาให้ข้าลองหน่อย”
ซุนเฟยคิดว่ามันน่าสนใจจึงรับจานในมือโอเลเกร์มา เขาหัวเราะพลางเดินไปให้อาหารตรงหน้าเ้าโห่วขนทอง ใครจะรู้ว่าเ้าตัวเล็กนี่จะไม่ไว้หน้าองค์าาสักนิด ดวงตากลมโตเบิกตากว้าง แยกเขี้ยวเล็กๆ ของมัน ร่างกายอวบอ้วนสั่นเล็กน้อย จากนั้นหันหลังให้อย่างดูถูก การกระทำแบบนี้ของมันช่างเหมือนกับการกระทำของมนุษย์อย่างมาก มันกระดกตูดขึ้น ยกขาหลังขึ้นมาเตะจานสีเงินจนกระเด็น นมแพะสีขาวก็กระเซ็นเปื้อนร่างของซุนเฟย
แม้แต่ช่างตีเหล็กและพวกทหารที่กำลังยุ่งอยู่ เมื่อเห็นฉากนี้ก็พากันหัวเราะออกมา
ซุนเฟยทั้งโกรธทั้งอาย เขายกมือขึ้น คิดจะตีเ้าตัวเล็กแสนพยศนี่...
แต่หลังจากที่เห็นเ้าตัวเล็กหมอบกับพื้น ก้มหน้า หูลู่ลงแล้วหลั่งน้ำตาออกมาอย่างน่าสงสารก็ตีไม่ลง เขาถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ถูก ได้เก็บจานเหล็กบนพื้น มองไปยังเ้าตัวเล็กตัวอื่นที่อยู่รอบๆ
ต้องยอมรับว่ารูปลักษณ์ภายนอกของลูกสัตว์อสูรมันน่ารักจริงๆ ช่างเป็ ‘พลังทำลายล้าง’ ที่น่ากลัวเสียจริง
แล้วยังมีเ้าเสือปลาตัวอ้วนกลมเหมือนลูกชิ้นที่หรี่ตากลมโตใสแป๋วนั่นอีก คาดว่าเมื่อสัตว์อสูรตัวนี้โตเต็มวัยคงมีรูปร่างเหมือนแมว ขนาดตัวก็น่าจะสูงประมาณครึ่งเมตร สามารถดำน้ำลึกได้หลายร้อยเมตรเพื่อจับปลาั์ เรียกได้ว่าเป็าาสัตว์อสูรประเภทใต้น้ำ ส่วนอีกตัวดูเหมือนจะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากนกแก้วธรรมดา แต่มันกลับมีสี่ขา ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยขนที่มีสีสันสดใส จะงอยปากยาวเป็ตะขอดูแหลมคม คาดว่าน่าจะเป็สัตว์อสูรที่มีความฉลาดมาก หลังจากโตเต็มที่เพียงฝึกอบรมมันอย่างถูกวิธี มันก็อาจเข้าใจภาษาทุกเชื้อชาติบนโลกก็ได้...
เ้าตัวน้อยพวกนี้ต่างมีสีสันสดใส แต่ละตัวมีขนปุกปุย และท่าทางของมันยังคงแสดงอาการหิวกระหายอยู่ แต่ด้วยความขลาดกลัวมันจึงหดตัวเป็ก้อนกลมๆ เฝ้าดูทุกคนด้วยความระมัดระวังและสงสัย ไม่ว่าจะทำอย่างไรพวกมันก็ไม่ยอมเลียนมตรงหน้านี้เด็ดขาด
ซุนเฟยคิดจะง้างปากพวกมันออกแล้วกรอกนมลงไปทีละตัว
ตอนนี้เองก็มีความคิดหนึ่งแล่นผ่านเข้ามาในหัว เขารีบเปลี่ยนเป็ ‘โหมดดรูอิด’ ในตำนานเคยเล่าขานกันว่า ดรูอิดมีพลังแห่งธรรมชาติและเข้าใจธรรมชาติ ทั้งยังสามารถสนิทสนมใกล้ชิดกับพวกสัตว์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ไม่แน่ว่าอาจจะปลอบโยนเ้าตัวน้อยพวกนี้ได้
หลังจากที่ซุนเฟยเปลี่ยนเป็ ‘โหมดดรูอิด’ ทันใดนั้นก็เกิดเื่มหัศจรรย์ขึ้น
ซุนเฟยรู้สึกราวกับว่าตัวเองหลอมรวมในอากาศ รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเ้าพวกตัวน้อยได้ชัดเจน เ้าโห่วน้อยขนสีทองเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็ศัตรู ทั้งยังมีร่องรอยความกลัวเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังมองหาแม่ เสือปลาเต็มไปด้วยอารมณ์หวาดระแวงตื่นตัว ส่วนสัตว์อสูรนกแก้วกำลังคิดจะประท้วงอดอาหารตาย นกฮูกที่แม่ชีอาคาร่าชอบดูเหมือนนักปราชญ์ มันใช้สายตาเ็าสำรวจทุกสิ่งทุกอย่าง...
นี่เป็ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน
ลูกสัตว์อสูรเหล่านี้พูดไม่ได้ แต่ซุนเฟยก็สามารถจำแนกความรู้สึกของพวกมันออกได้อย่างง่ายดาย เหมือนกับว่าจิตสำนึกของเขาได้เปิดกว้าง ซุนเฟยเหมือนกลายเป็พวกเดียวกับพวกมัน หลอมรวมเข้ากับพวกมัน
ซุนเฟยลองใช้ความรู้สึกจริงใจของตัวเองสื่อสารกับเ้าตัวน้อยเหล่านี้
วินาทีต่อมาก็ทำให้พัศดีโอเลเกร์และทหารคนอื่นๆ ต่างพากันตาค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เ้าตัวน้อยที่ขลาดกลัวก่อนหน้านั้น จู่ๆ ก็ทำเหมือนกับว่าได้พบบิดามารดาของตัวเอง พวกมันต่างร้องออกมาแล้วพุ่งเข้าไปหาซุนเฟยด้วยท่าทีสนิทสนม สัตว์อสูรนกฮูกสีขาวและนกแก้วต่างพากันบินไปเกาะไหล่ซ้ายขวาของซุนเฟย ส่วนเ้าเสือปลากางกรงเล็บแหลมคมออกพยายามตะกายขากางเกงปีนขึ้นไปบนหัวของซุนเฟย แล้วนั่งบนหัวซุนเฟย แม้แต่โห่วขนทองที่แสนพยศตัวนั้นที่แทบจะเป็ลมเพราะหิวก็ยังเดินโซซัดโซเซมางับกางเกงซุนเฟย ประมาณว่าถึงตายก็ไม่ปล่อยเด็ดขาด
ไม่ถึงสองนาที อาหารที่ส่งมาให้เ้าตัวน้อยกินอีกครั้งก็เกลี้ยง ดูเหมือนว่าพวกมันจะเข้าใจในสิ่งที่ซุนเฟยพูด ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูผิดปกติ กระทั่งทะเลาะกันเพื่อแย่งขึ้นมานอนบนตัวซุนเฟยในจุดที่สบาย เรียกได้ว่าสัตว์อสูรน้อยทั้งสี่ตัว ‘ตีกันอย่างนัวเนีย’
นี่คือความสามารถพิเศษของดรูอิด
พัศดีโอเลเกร์และคนอื่นๆ ต่างมองอย่างเหม่อลอย
การค้นพบที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้ซุนเฟยดีใจมาก
การฝึกสัตว์อสูรมันมีประโยชน์ต่อซุนเฟยมาก หากใช้อย่างถูกต้องและมีโอกาสเหมาะสม เขาก็สามารถลองสร้างกองทัพสัตว์อสูรหรือจะสร้างกองทัพอัศวินอสูร หากเป็แบบนั้น ความแข็งแกร่งของเมืองแซมบอร์ดคงก้าวะโ และอาจได้ปกครองใต้หล้าก็ได้
ซุนเฟยจึงหยอกล้อเ้าตัวเล็กอย่างสนุกสนาน ตอนนี้เอง ดร็อกบากับคนอื่นๆ และองค์รักษ์ข้างกายอย่างเฟร์นันโด ตอร์เรสที่่นี้กำลังฝึกอบรมแบบปีศาจเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน พลางะโเสียงดังปนหอบมาแต่ไกล “ฝ่าา รีบเสด็จ...ในราชวังเกิดเื่ขึ้น ท่านเบสท์ได้รับาเ็ ส่วนท่านแองเจลา นาง...”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มผมสีบลอนด์ตื่นตระหนก
……
เสียงลมที่พัดอยู่กลางอากาศส่งเสียงหวีดหวิว ประหนึ่งท้องฟ้าจะฉีกออก มีอะไรบางอย่างพุ่งออกมาจากูเาด้านหลังเมืองแซมบอร์ดมุ่งไปทางราชวัง ซึ่งมันดึงดูดความสนใจของทุกคนได้เป็อย่างดี
ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้น
เห็นเพียงเงาร่างคนเลือนรางในลมหมุนเหมือนมีแสงกะพริบอยู่ท่ามกลางอากาศ เพียงชั่วพริบตาก็เข้าสู่ราชวัง ร่างเงาที่เห็นเพียงแวบเดียวก็หายไป คนคนนั้นได้ทิ้งกลิ่นอายที่น่าเกรงขามไว้ทุกที่ที่เขาผ่าน แรงกดดันนั้นกว่าจะจางหายไปก็ใช้เวลานาน และมันทำให้ทุกคนในเมืองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นกลัว
ในมุมที่มืดของเมืองแซมบอร์ด มีร่างเงาคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีดำทั้งร่างที่ซ่อนตัวอยู่ที่นั่น เขามองขึ้นไปที่บรรยากาศอันทรงพลังในท้องฟ้า ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วจมลงสู่ห้วงความคิด “เป็เขา เป็เขาแน่ๆ สมควรตาย เด็กปัญญาอ่อนคนนี้มันมีพลังแข็งแกร่งจริงๆ ดูเหมือนว่าแผนการของข้าจะต้องเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย...”
……
ในขณะเดียวกัน คฤหาสน์ของตุลาการคอนก้า
ใต้ต้นไม้หอม สายลมพัดเส้นผมยาวสลวยอ่อนนุ่มของสตรีที่สง่างามนางหนึ่งพลิ้วไหวตามแรงลม นางนั่งอยู่บนเก้าอี้หินเหม่อมองบนท้องฟ้า ดวงตาก็พลันมีประกายชื่นชอบจางๆ ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระซิบพูดเสียงเบาว่า “โรมัน กลิ่นนี้มัน...”
“เป็ผู้ชายคนนั้น พลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว ความเร็วขนาดนี้เป็เื่เหลือเชื่อจริงๆ” ด้านล่างของต้นไม้มีเถาวัลย์กระจายตัวอยู่มากมายที่ด้านหลังของสตรีผู้นั้น ใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยยิ้มชวนหลงใหล แม้ไม่ได้แสดงท่าทางตื่นเต้นมากนัก แต่ก็ยังมีร่องรอยตื่นใ
เวลานี้เอง นักรบสาวก็เดินเข้ามาลานกว้าง เอนตัวกระซิบข้างหูของสตรีคนนั้นสองสามประโยค
“โอ้ ปีศาจพวกนั้นก็มาด้วย? ดีมาก พวกเราไปเตรียมตัวกันเถอะ” เมื่อสตรีคนนั้นได้ฟังจนจบก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพูดด้วยท่าทางมีแผนการในใจว่า “คราวนี้ให้หักแขนของเขาเสีย”
“รับคำสั่ง ฝ่าา”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะออกไปทำตามคำสั่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของสตรีคนนั้นพูดขึ้นว่า “จริงสิ อย่าลืมบอกองค์ชายน้อย ไม่ให้เขาออกไปไหนใน่สองสามวันนี้จะดีกว่า ให้อยู่ในคฤหาสน์เงียบๆ...ยังมีอีก ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ให้ชายคนนั้นมาหาข้า นานขนาดนี้แล้ว ในฐานะที่เป็ขุนนาง เขาควรจะมาทำความเคารพนายของตัวเองได้แล้ว”
“รับคำสั่ง ฝ่าา”
นักรบสาวและอัศวินผมทองก็พากันออกจากลานไป
สตรีคนนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่าเงียบๆ รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่คลุมเครือในอากาศ เวลาผ่านไปนาน ไม่มีใครรู้ว่าในหัวของนางเต็มไปด้วยแผนการที่น่ากลัวถึงขนาดที่ทำให้เหล่าขุนนางในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจะต้องใกลัว พายุอะไรที่จะก่อตัวขึ้นอีก
ใบไม้สีเหลืองสองสามใบต่างถูกแรงลมพัดตกจากต้นไม้ ลอยไหวๆ อยู่ตรงหน้า
“เวลาข้ามีไม่มาก พี่ใหญ่ ให้ข้าช่วยท่านอีกสักครั้งแล้วกัน”
……
ขณะเดียวกัน
ที่สถานที่รับรองแขกของเมืองแซมบอร์ด
ในลานอันเงียบสงบ องค์ชายโอบินนาแห่งเธรซ มองขึ้นไปบนฟ้าอย่างใที่ลมหายใจอันทรงพลังอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ ในใจก็พลันตื่นตระหนก “มันเป็ใคร? ช่างทรงพลังยิ่ง อย่างน้อยพลังก็ใกล้จะสี่ดาว...เขามุ่งไปทางราชวัง หรือว่าจะเป็ยอดฝีมือของราชวงศ์เมืองแซมบอร์ด?”
“โอโคชา เ้ารีบไปตรวจสองประวัติของคนผู้นี้เสีย” โอบินนาหันไปสั่งผู้คุ้มกันข้างกาย
ผู้คุมกันที่ชื่อโอโคชาก็รีบรับคำสั่งแล้วเดินออกจากลานกว้าง
“ท่านอาจารย์ ท่านว่ายอดฝีมือลึกลับคนนี้จะส่งผลกระทบกับแผนการของพวกเราหรือไม่?” เขาโบกมือให้พวกผู้คุ้มกันทั้งหมดถอยออกจากลาน โอบินนานึกอะไรบางอย่างออกแล้วก็หันไปถามอย่างสงสัยกับอากาศเบื้องหน้า
วินาทีต่อมา ก็มีการกระเพื่อมในอากาศอย่างเห็นได้ชัด ร่างผอมบางจนเหมือนจะปลิวไปตามลมก็ค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาเบื้องหน้าของโอบินนา
ทั่วร่างของชายคนนี้สวมด้วยชุดสีขาว ชายลึกลับคลุมผ้าสีขาวบนใบหน้า พลางตอบเสียงแหบแห้งว่า “ยอดฝีมือลึกลับระดับสี่ดาวคนนั้น แน่นอนว่ามันอาจเป็ตัวแปรก็เป็ได้ ตรวจสอบความเป็มาของเขาให้ชัดเจน หากจำเป็ ก่อนที่เื่นั้นจะมาถึง ให้สังหารเขาก่อน”
“ยอดฝีมือลึกลับที่เผยพลังแข็งแกร่งออกมาคนนี้ ข้าเองก็ไม่แน่ใจเต็มร้อยนักว่าหลังจากตรวจสอบความเป็มาแล้วข้าจะสังหารมันได้ หวังว่าท่านอาจารย์จะลงมือจัดการมันด้วยตัวเอง” โอบินนาแสดงความระมัดระวังตลอดเวลา
“ได้”
คำพูดที่มีค่าดั่งทองคำ หลังจากพูดประโยคสั้นๆ จบ ก็เกิดระลอกคลื่นในอากาศอีกครั้งก่อนร่างสีขาวนี้หายไปในอากาศ แม้กระทั่งกลิ่นอายที่ทรงพลังแปลกประหลาดก็ไม่เหลือร่องรอย
วิธีการนี้ช่างน่ากลัวนัก
……
ภายในสวนอันเงียบสงบด้านหลังโบสถ์เมืองแซมบอร์ด
เด็กหนุ่มผมบลอนด์ทองก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังในอากาศ เขาขมวดคิ้ว “ใครกัน? อย่างแรกเลย กลิ่นอายนี้มาจากูเาด้านหลัง หรือว่า...”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มผมบลอนด์ทองก็พลันตื่นตระหนก
บรรยากาศพลันเงียบงัน
ราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
……
เมืองแซมบอร์ดยังคงคึกคัก
แต่พายุที่มองไม่เห็นกลับค่อยๆ คืบคลานเข้ามาปกคลุม
พายุกำลังจะมา
--------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้