กระทรวงศึกษาธิการประกาศคะแนนตอนแปดโมงเช้า ไม่ถึงเก้าโมงข่าวก็แพร่กระจายราวกับติดปีกไปถึงหมู่บ้านตงผิง
ซูอินที่กำลังมีความสุขกับการได้กลับมาอยู่บ้านตัวเองจนลืมไปว่าวันนี้ประกาศผลสอบ เธอตื่นตรงตามเวลาแล้ววิ่งออกกำลังกายสองรอบที่ลานนวดข้าวหลังบ้านตระกูลซู ออกกำลังกายเสร็จจึงอาบน้ำก่อนจะพาเด็กชายตัวน้อยมานั่งอ่านหนังสือยามเช้า
เนื้อหาในหนังสือยามเช้าไม่ใช่วิชาภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษ แต่เป็การท่องบทกลอนราชวงศ์ถัง 300 บท
เธอสอนเด็กชายตัวน้อยท่อง “เ้าห่านเอ๋ย” “แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเหนือูเา” ทำให้เธอได้เรียนรู้บทกลอนโบราณเพื่อเพิ่มพูนความรู้ไปด้วย
ทุกเช้า เธอเริ่มวันใหม่พร้อมกับเสียงน่ารักน่าชังของเ้าตัวน้อย ช่างเป็วันที่สวยงาม
การเรียนควรควบคู่ไปกับการพักผ่อนที่เหมาะสม หลังจากรับประทานมื้อเช้าซูอินจึงอยู่เป็เพื่อนเล่นของเด็กชายตัวน้อยครู่หนึ่ง
วันนี้ก็ยังคงเป็การต่อสู้ของหุ่นยนต์ทรานส์ฟอร์เมอร์สทั้งห้าตัว เด็กชายตัวน้อยเล่นเกมนี้ซ้ำๆ หลายครั้งโดยไม่รู้จักเบื่อ เขาหยิบหุ่นยนต์ทรานส์ฟอร์เมอร์สมาเปลี่ยนร่างเป็รถสปอร์ตก่อนเหาะมาชนรถแบ็กโฮของเธอ
“รถสปอร์ตชนรถแบ็กโฮได้ด้วยหรือ”
เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ถ้างั้นพี่ก็แพ้แล้วสิ มาเริ่มกันใหม่”
ขณะที่กำลังจะเริ่มเล่นกันใหม่ เสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในห้องนอนก็ดังขึ้น
“อันอัน รอแป๊บหนึ่งนะ พี่รับโทรศัพท์ก่อน”
ซูอินเข้าไปในห้อง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโดยมีสายตาประหลาดใจของเด็กชายตัวน้อยที่มองมา เธอดูชื่อ “อวี๋ฉิง” ที่แสดงขึ้นมา หรือว่าเื่กองทุนบริจาคเงินการกุศลที่ช่วยเหลือนักเรียนยากจนจะคืบหน้าแล้ว ในใจของเธอนึกถึงเื่นี้จึงกดรับสายทันที
“คุณหนู มีเื่อะไรจะชี้แนะหรือ”
“ใครจะไปกล้าชี้แนะเธอ ตอนนี้เธอสอบได้อันดับหนึ่งแล้วนะ”
ซูอินััได้ถึงความตื่นเต้นของอวี๋ฉิงผ่านโทรศัพท์ทำให้เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะได้สติและเอ่ยทวนคำพูดนั้นอีกครั้ง “อันดับหนึ่ง”
“ใช่ วันนี้เป็วันประกาศผลสอบนะ”
คะแนนออกแล้วหรือ
ซูอินเดินออกจากห้องนอนมายังห้องรับแขก ก่อนจะมองปฏิทินที่แขวนอยู่บนผนัง บนนั้นมีตัวอักษรสีแดงเขียนไว้ ใช่จริงๆ ตามที่คุณครูเคยบอกในพิธีจบการศึกษาว่าวันนี้คือวันประกาศผลสอบ
แต่…เธอมองนาฬิกาเรือนเก่าซึ่งบอกว่ายังไม่ถึงเวลาเก้าโมง
“ไม่ใช่ว่าโทรศัพท์ไปสอบถามได้ตอนสิบโมงหรือ”
“นี่เธอโง่หรือเปล่า ทุกปีกระทรวงศึกษาธิการจะติดประกาศที่หน้ากระทรวง แม่ของฉันเพิ่งไปดูมา เธอเป็นักเรียนที่ทำคะแนนได้เป็อันดับหนึ่งของปีนี้ คะแนนรวม 575 รวมทุกวิชาแล้วขาดไปแค่ 5 คะแนน ทิ้งห่างจากอันดับสองตั้ง 20 คะแนน”
ซูอินถือโทรศัพท์มือถือค้างไว้และชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงจะค่อยๆ เข้าใจเนื้อหาประโยคที่อวี๋ฉิงกล่าว
คะแนนออกแล้ว
เหมือนว่าเธอจะทำคะแนนสอบได้ดี ได้คะแนนสูงและเป็อันดับหนึ่งของปีนี้
ซูอินคาดเดาไว้แล้วว่าการสอบครั้งนี้เธอน่าจะทำคะแนนออกมาได้ไม่เลว แต่คิดไม่ถึงว่าคะแนนจะสูงขนาดนี้
นี่ไม่ใช่แค่ไม่เลว แต่มันดีมากๆ
แม้ว่าผลคะแนนนี้เป็เพราะเธอฉวยโอกาส แต่เมื่อตระหนักว่าตัวเองสอบได้อันดับหนึ่ง ความตื่นเต้นก็แผ่ไปทั่วร่างซูอิน
“กรี๊ด! ฉันสอบได้อันดับหนึ่งหรือ”
“ใช่ๆๆ! เธอสอบได้อันดับหนึ่ง”
“กรี๊ด!!! ฉันสอบได้อันดับหนึ่งจริงหรือ”
“ใช่ๆๆ! เธอสอบได้อันดับหนึ่ง อันดับหนึ่งของเมือง!”
ใช้เวลาสนทนาผ่านโทรศัพท์ไม่นาน แต่กลับทำให้ทั้งสองคนพัฒนาความสนิทสนมมากขึ้นกว่าเดิม ปากอ้ากว้างพร้อมกับเสียงที่ดังราวกับคนไข้ในโรงพยาบาลจิตเวช
ซูอันที่เห็นพี่สาวคนใหม่แสดงอาการบ้าคลั่ง : …
ะโอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดซูอินก็ดึงสติกลับมาจากความดีใจ เธอหันไปดูดวงตากลมของเด็กชายตัวน้อยที่มองมา เขาเอียงศีรษะพร้อมเอานิ้วแตะริมฝีปาก เธอลูบศีรษะของเขาด้วยความอ่อนโยน
เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เธอจึงถามถึงคะแนนของอวี๋ฉิง
“ลำดับที่ 520 หรือ ก็น่าจะติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของห้องเราน่ะสิ”
“ใช่ พวกเราสามารถสอบเข้าโรงเรียนเดียวกันได้ด้วย”
อวี๋ฉิงดีใจก่อนจะให้คำมั่นสัญญาด้วยความภาคภูมิใจ “ขึ้นมัธยมปลาย ฉันจะดูแลเธอเอง!”
“ขอบคุณนะคุณหนู!”
ซูอินตอบอย่างนอบน้อม จากนั้นก็นึกเื่หนึ่งขึ้นได้พร้อมถอนหายใจ “ไม่รู้ว่าตอนนี้สวีเหวินเหวินเป็ยังไงบ้าง พ่อแม่ของเธอหย่ากัน คุณป้าหยางพาเธอย้ายออกไป เบอร์โทรศัพท์ที่ทิ้งไว้ในหนังสือรุ่นก็เป็เบอร์บ้าน ตอนนี้ฉันติดต่อเธอไม่ได้เลย”
อวี๋ฉิงนึกไถึงพิธีจบการศึกษาเมื่อครั้งก่อน สวีเหวินเหวินพูดถึงเื่ที่บ้านไม่มีเงินด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ทำให้แม่ของเธอไม่สามารถเข้าร่วมโอกาสที่นานๆ จะมีสักครั้งอย่างการเข้าร่วมการศึกษาหลักสูตรระยะสั้นในตัวมณฑล
จากการสอบถามซูอินทางโทรศัพท์ ทำให้อวี๋ฉิงได้รู้เื่ที่น่าหดหู่ และสถานการณ์ปัจจุบันเพิ่มขึ้น
“แม่ของสวีเหวินเหวินทำถูกแล้ว ไม่จำเป็ต้องเก็บผู้ชายเฮงซวยแบบนั้นไว้ ตอนนี้เธอคงกลับไปอยู่บ้านคุณยาย ฉันจำได้ว่าหมู่บ้านคุณยายของสวีเหวินเหวินอยู่ใกล้บ้านเกิดของพ่อฉันมาก เดี๋ยวฉันจะไปถามเื่นี้ให้”
เมื่อได้ข้อสรุป ซูอินจึงวางโทรศัพท์ ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไร โทรศัพท์อีกสายหนึ่งก็โทรเข้ามา
คนที่โทรมาคือหลินเฉวียน เขาแสดงความยินดีที่เธอสอบได้อันดับหนึ่ง
“คุณอาหลินก็ไปดูประกาศเหมือนกันหรือคะ”
ซูอินแอบรู้สึกละอายใจ ทุกคนต่างจำได้ แต่เธอที่เป็คนสำคัญในเื่กลับลืมเสียเอง
หลินเฉวียนเป็ชายโสดไม่มีบุตร ที่ไปดูประกาศก็เพื่อซูอิน อีกฝ่ายนึกถึงเธอ ตื่นแต่เช้าเพื่อไปดูประกาศผลสอบ ทำให้ซูอินอดประทับใจไม่ได้
“ขอบคุณค่ะคุณอาหลิน อันที่จริงการที่ฉันได้คะแนนสูงเช่นนี้ก็ต้องขอบคุณคุณด้วย หากไม่มีโรงแรมสบายๆ ให้พัก และอาศัยอยู่กับตระกูลหลิงต่อ ฉันคงทำได้ไม่ดีเท่านี้ รบกวนคุณอาหลินช่วยขอบคุณทุกๆ คนแทนฉันด้วยนะคะ”
ซูอินกล่าวออกมาจากใจจริง
ตอนที่เธออยู่กับตระกูลหลิง ทุกครั้งที่ลืมตาก็จะเห็นภาพสองแม่ลูกตระกูลหลิงคอยหาเื่ หากตื่นเช้าก็บอกว่ารบกวนคนอื่น หากตื่นสายก็บอกว่าไม่มีมารยาท หากปริมาณอาหารมากไปก็จะดูหยาบกระด้าง…ตลอดเวลาทั้งหมดนั้นก็เพื่อคอยหาเื่ ทั้งๆ ที่มันไม่มีอะไร
เมื่อชาติก่อนเธออาศัยอยู่กับตระกูลหลิงมาตลอด การสอบขึ้นมัธยมปลายเธอทำคะแนนได้ไม่ดี เข้าโรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่งของเมืองด้วยคะแนนต่ำที่สุด แล้วยังถูกหลิงเมิ่งสวมรอยเข้าเรียนที่นั่นแทนอีก
เธออยากขอบคุณโรงแรมแห่งนี้สำหรับที่พักสะอาดและสะดวกสบาย แต่เมื่อคำพูดนี้เข้าหูของหลินเฉวียน มันก็เปลี่ยนเป็อีกความหมายหนึ่งทันที
ยึดตามธรรมเนียมไว้ ผู้คนล้วนไม่ติติง[1]
แค่คำพูดแสดงความยินดีหนึ่งคำ ไม่เพียงทำให้เด็กสาวมองว่าเขาตื่นแต่เช้าเพื่อไปตรวจสอบคะแนนให้เธอ ยังช่วยเธอกล่าวขอบคุณพนักงานคนอื่นๆ ในโรงแรมด้วย
ในจิตใจของเด็กคนนี้นึกถึงคนอื่นเสมอ ไม่ว่าจะเป็การช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย แต่เธอก็จำใส่ใจ ถึงแม้เป็เพียงคำขอบคุณประโยคเดียว แต่ก็ทำให้หลินเฉวียนยินดีช่วยเหลือเธออย่างจริงใจจากก้นบึ้งของหัวใจ
หลังจากวางโทรศัพท์เขาตรงไปยังบ้านที่เด็กสาวซื้อที่หมู่สาม ถนนฟาง ไหนๆ ตอนนี้เขาก็ว่าง จึงพาเหล่าหลิวไปตรวจสอบดู
จบการสนทนาทางโทรศัพท์กับหลินเฉวียนได้ไม่นาน ซูอินก็ได้รับโทรศัพท์สายที่สาม
คราวนี้เป็ทางโรงเรียนที่โทรมา ครูใหญ่กล่าวแสดงความยินดีด้วยตนเอง ชื่นชมเธอที่ยกย่องเชิดชูเกียรติให้กับโรงเรียน จากนั้นจึงให้ครูที่ปรึกษาชั่วคราวอย่างหลินซิ่วเชิญเธอไปร่วมถ่ายภาพที่โรงเรียน และ้าให้รางวัลผู้สำเร็จการศึกษาดีเด่นแก่เธอ
ระดับการศึกษาและความแตกต่างด้านหลักสูตรต่างๆ ทำให้เด็กที่สอบได้อันดับหนึ่งมักจะมาจากโรงเรียนมัธยมทดลอง และทุกปีหลังจากประกาศผลสอบก็จะมีการทำบอร์ด “นักเรียนที่สอบได้อันดับหนึ่ง” เมื่อทำติดต่อกันมาหลายปีจึงกลายเป็ธรรมเนียมปฏิบัติ
หากเป็ซูอินในชาติก่อนที่มีนิสัยเก็บตัวและขี้อาย เธอคงลังเลแล้วลังเลอีก แต่ตอนนี้เธอไม่ต่อต้านเื่แบบนี้ เธอได้ชื่อเสียง โรงเรียนได้หน้า ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แล้วทำไมต้องปฏิเสธ
“ขอบคุณครูใหญ่และคุณครูนะคะ แต่ว่าตอนนี้หนูกลับมาอยู่ที่บ้านพ่อแม่ที่ชนบท ที่นี่ไกลจากโรงเรียนสิบกว่ากิโลเมตร หากกลับไปเกรงว่าคงไม่ค่อยสะดวก เอาแบบนี้ได้ไหมคะ เรานัดเวลากัน หนูจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า”
เหมือนว่าการคุยโทรศัพท์ครั้งนี้จะมีการเปิดลำโพงไว้ ไม่นานนักเสียงของครูใหญ่ก็ดังขึ้น
“ไม่ต้องหรอกนักเรียนซูอิน เดี๋ยวทางโรงเรียนจะส่งรถไปรับเธอเอง”
เื่นี้จึงได้ข้อสรุปเช่นนี้
--------------------------------------------------------------------
[1] ยึดตามธรรมเนียมไว้ ผู้คนล้วนไม่ติติง หมายถึง เป็คนมีมารยาทกับผู้อื่นให้มากย่อมไม่มีใครตำหนิ