ตอนที่อ๋าวหรานและจิ่งฝานไปถึงหน้าประตูหมู่บ้านสกุลจิ่งนั้น ที่นั่นมีคนมารวมตัวกันอยู่หลายคนแล้ว
จิ่งเซียงที่อยู่ตรงนั้นก็มองเห็นพวกเขาทั้งสองแล้ว นางโบกมือมาจากที่ไกลๆ ก่อนจะตโกนว่า “ท่านพี่! อ๋าวหราน!”
อ๋าวหรานเองก็โบกมือตอบ รีบเดินเข้าไป
จิ่งจื่อเหมือนจะมาถึงนานแล้ว เมื่อเห็นว่าจิ่งฝานเองก็มาด้วย หนุ่มน้อยมอสองดีใจแต่ก็ยังสงวนท่าทีเรียกออกไปเสียงหนึ่งว่าพี่จิ่งฝาน
วันนี้จิ่งฉีเองก็มาด้วย มองเห็นจิ่งฝานก็ตื่นเต้นจนแทบจะวิ่งเข้ามาหา แต่ถูกจิ่งเคอเอารั้งไว้ นางเผยสีหน้าเศร้าสร้อย แทบจะรอไม่ไหว จนกระทั่งจิ่งฝานเดินเข้ามาใกล้ ในที่สุดนางก็สามารถสลัดตัวออกมาจากจิ่งเคอได้ มือเรียวขาวยื่นออกไปหมายจะลากแขนของจิ่งฝาน แต่เพราะจิ่งฝานหันตัวไปตอบรับจิ่งจื่อพอดีจึงหลบพ้น มองไม่ออกว่าว่าตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ
นอกจากสองสามคนนี้ จิ่งรุ่ยเองก็มาด้วย นางยิ้มทักทายกับอ๋าวหราน นอกนั้นยังมีอีกคนของตระกูลจิ่งอีกเจ็ดถึงแปดคน โดยส่วนมากอ๋าวหรานเคยเจอหน้าพวกเขามาก่อนแล้ว แต่ก็ยังจำชื่อบางคนไม่ได้
พวกเขาทักทายกันเสร็จ ก็ตัดสินใจออกเดินทาง
พวกเขาออกเดินทางอย่างยิ่งใหญ่ลงเขาไป
อ๋าวหรานเห็นพวกเขาไม่ขี่ม้ากันก็ถามว่า “ไกลหรือไม่?”
จิ่งเซียงตอบว่า “ก็ประมาณหนึ่ง แต่ว่าคืนนี้เราจะไม่ต้องรีบกลับมา จึงไม่รีบร้อนนัก ค่อยๆ เดินลงไป พอดีเลยเ้าจะได้ดูทิวทัศน์ระหว่างทางด้วย”
อ๋าวหรานพยักหน้า เป็เช่นนี้ก็ดี การตัดสินใจเช่นนี้ เขาพอใจเป็อย่างมาก
ระยะทางค่อนข้างไกลจริงๆ ยังดีที่พวกเขาล้วนเป็ผู้มีวรยุทธ์ เดินได้เร็ว ระยะทางที่คนทั่วไปใช้เวลาสี่ห้าชั่วโมงในการเดิน พวกเขาใช้เวลาเดินเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม [1] เท่านั้น นอกจากจิ่งฉีที่เอาแต่กระเง้ากระงอดบอกจิ่งฝานว่าเหนื่อย คนอื่นที่เหลือไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วด้วยซ้ำ จิ่งเซียงกับจิ่งรุ่ยยังะโโลดเต้นไปมาตลอดทาง มีความสุขกันเป็อย่างยิ่ง
เส้นทางลงเขาค่อนข้างเปลี่ยว ไม่พบผู้อื่นเลย อ๋าวหรานคาดว่านี่เป็พื้นที่ของตระกูลจิ่ง คนทั่วไปน่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาและไม่มีคนค้าขายรายทาง แต่ทิวทัศน์ระหว่างทางนั้นงดงามมาก ตระการตาจนทำให้ยากจะตัดใจจากไป อ๋าวหรานมองจนตาลายมาตลอดทาง
เมื่อทั้งหมดเดินมาได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม ทางเดินก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็ทางราบ ไม่มีเนินใดๆ บริเวณใกล้เคียงมีบ้านกระจัดกระจายอยู่ไม่กี่หลัง อ๋าวหรานแหงนมองไปเบื้องหน้า มองเห็นหลังคากระเบื้องสีเทาดำสลับซับซ้อน เหมือนกับเกล็ดปลาที่ซ้อนกัน
จิ่งเซียงพูดอย่างดีใจ “ตอนนี้ไม่มีคบไฟ รอถึงเวลากลางคืนมองออกไปไกลๆ จะงดงามยิ่งนัก”
อ๋าวหรานพยักหน้า เขาสามารถจินตนาการถึงความงดงามนั้นได้
———
เมื่อใกล้ถึงประตูหมู่บ้าน อ๋าวหรานก็สามารถได้ยินเสียงคนพูดคุยคึกคักออกมาจากในหมู่บ้าน จิตใจของเขาสั่นไหว หัวใจเต้นตึกตักไม่หยุด
ก้าวเข้าไปในประตูถึงค้นพบว่าเสียงคึกคักที่ได้ยินตอนอยู่นอกประตูหมู่บ้านนั้นเทียบไม่ได้กับหนึ่งในสิบของภายในหมู่บ้านด้วยซ้ำ โลกสมมตินี้นับว่าค่อนข้างเปิดกว้าง แิชายสูงศักดิ์หญิงต่ำต้อยไม่ค่อยชัดเจนนัก เป็เพราะไม่มีประเทศไม่มีเขตแดนแบ่งแยกชัดเจน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็วัฒนธรรมก็ดี การค้าขายก็ดีล้วนไม่มีกฎหรือข้อห้ามอะไรมากมาย
ความอิสระเสรีและครึกครื้นอย่างไม่ธรรมดาเช่นนี้มองเห็นได้อย่างชัดเจนตามถนนหนทางที่พวกเขาย่างเท้าก้าวผ่าน
จิ่งรุ่ยถอนหายใจพูดว่า “คึกคักมากเลย”
ั้แ่ลงเขามาอ๋าวหรานก็ได้กลิ่นอะไรบางๆ มาตลอด ทั้งไม่หอมและไม่เหม็น บอกไม่ถูกว่าเป็กลิ่นอะไร เมื่อเข้ามาในหมู่บ้าน กลิ่นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น อีกทั้ง เขามักจะรู้สึกว่าคุ้นเคยเป็อย่างยิ่ง เหมือนเคยได้กลิ่นนี้มาจากที่ไหน
จิ่งฝาน “ไปกันเถิด ไปดูร้านยาของตระกูลจิ่งกันก่อน”
ทั้งหมดตอบรับ
คนตระกูลจิ่งล้วนมีหน้าตางดงาม มีบุคลิกโดดเด่นกว่าคนทั่วไป เสื้อผ้าอาภรณ์ถึงแม้ว่าจะไม่ได้งดงามเป็พิเศษแต่คนที่เห็นก็จะทราบว่าเป็ของมีราคาไม่ธรรมดา คนสิบกว่าคนที่มีรูปลักษณ์โดเด่นนี้ ั้แ่เดินเข้ามาก็ดึงดูดสายตาจากคนรอบข้าง ทำให้ละสายตาไปจากพวกเขาไม่ได้
พวกจิ่งเซียงมาบ่อยๆ คนในเมืองก็ไม่รู้สึกว่าแปลกหน้า ทยอยกันเข้ามาทักทาย ถามสารทุกข์สุขดิบ แววตานับถือนอบน้อมชัดเจนไม่ต้องสงสัย พวกจิ่งเซียงก็ล้วนแต่ยิ้มแล้วตอบคำ
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งชั่วยาม เท่ากับ สองชั่วโมง