กุ่ยเม่ยกลับมาถึงจวนฉีอ๋องในเวลาเกือบเที่ยงคืน
เดิมทีกุ่ยเม่ยคิดที่จะเข้าไปรายงานมู่จื่อหลิงเกี่ยวกับสถานการณ์ในวังทันทีที่กลับมาถึง แต่เมื่อเห็นว่าตำหนักอวี่หานดับไฟไปแล้ว เขาจึงคิดว่ามู่จื่อหลิงพักผ่อนแล้ว
ดังนั้นกุ่ยเม่ยจึงไม่กล้าเข้าไปรบกวน เขายกมือขึ้นโอบรอบอก ยืนนิ่งนอกตำหนักอวี่หานราวท่อนซุง เฝ้าระวังภัยอย่างเงียบๆ
กุ่ยเม่ยเฝ้าอยู่ั้แ่ยามค่ำมืดจนรุ่งสาง แสงจากทิศตะวันออกเริ่มส่องสว่างจางๆ
แต่กลับเห็นได้ชัดว่าจนถึงเช้าทุกสิ่งยังคงนิ่งสงบดุจเดิม อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่บ่งชี้ถึงอันตรายไม่มีแม้เพียงนิด ไม่มีสิ่งรบกวนในบริเวณโดยรอบ เงียบสงบถึงขีดสุด
แต่ความเงียบงันของค่ำคืนนี้กลับเงียบสงัดอย่างน่าสะพรึงกลัว
น่ากลัวมากจนทำให้กุ่ยเม่ยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขารู้สึกอยู่เสมอว่ากำลังจะมีเื่เลวร้ายเกิดขึ้น
จากลางสังหรณ์ไม่ดีนี้ กุ่ยเม่ยจึงเฝ้าตำหนักอวี่หานในคืนนี้ โดยไม่กล้าพักผ่อนแม้เพียงครู่ ตื่นตัวมากจนไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา
ในท้ายที่สุดเขายังสั่งให้องครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
แต่ใครจะรู้ ยิ่งใกล้เช้า ลางสังหรณ์ร้ายในใจของกุ่ยเม่ยไม่เพียงไม่อ่อนลงเลย แต่ยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งเสี่ยวหานสาวรับใช้ประจำตัวของมู่จื่อหลิงนำน้ำเข้ามาในโถงอวี่หาน
ทันใดนั้น กลับมีเสียงอ่างน้ำตกลงสู่พื้นมาจากข้างใน หัวใจที่กระสับกระส่ายของกุ่ยเม่ยยิ่งเต้นไม่เป็จังหวะ
เขารีบเข้าไปในทันที
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวหานวิ่งโซซัดโซเซออกมาก่อนเขาหนึ่งก้าว
นางะโใส่กุ่ยเม่ยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “นายหญิงอยู่ที่ไหน? เมื่อคืนนางไม่ได้กลับมากับเ้าหรือ? เช่นนั้นนางหายไปไหน? เหตุใดเ้าถึงไม่ติดตามไป? หากนางตกอยู่ในอันตรายเพียงลำพังจะทำอย่างไร?”
โดยปกติแล้วกุ่ยเม่ยจะอยู่เคียงข้างมู่จื่อหลิงเพื่อปกป้องนาง แต่ยามนี้พวกเขาเห็นเพียงกุ่ยเม่ย แต่กลับไม่มีมู่จื่อหลิง เสี่ยวหานรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
เมื่อเผชิญกับคำถามเช่นนี้ของเสี่ยวหานที่กล่าวซ้ำไปซ้ำมา ในขณะที่กุ่ยเม่ยกำลังกระสับกระส่าย หัวใจของเขาก็ไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น
กุ่ยเม่ยพุ่งผ่านนางไปโดยไม่สนใจเสี่ยวหาน พุ่งเข้าไปในห้องโถงอวี่หาน
ประตูห้องโถงด้านในไม่ได้ปิดไว้ เขายืนอยู่นอกห้องโถงด้านใน ด้านในโล่ง มองเห็นทุกซอกทุกมุมได้อย่างชัดเจน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผ้าห่มบนเตียงหยกเหมันต์ถูกพับอย่างเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ถูกแตะต้อง
เมื่อเห็นเช่นนี้ กุ่ยเม่ยก็รู้สึกว่าหัวใจเริ่มตื่นตระหนก
เขารีบวิ่งไปยังคอกม้าโดยไม่ต้องคิดสิ่งใดอีกต่อไป ก่อนจะพบว่าม้าเมฆาไม่อยู่ที่นั่น พื้นคอกสะอาดหมดจดไม่มีแม้แต่รอยกีบม้า
แย่แล้ว!
ในยามนี้ ในที่สุดกุ่ยเม่ยก็รู้ว่าเหตุที่เขาไม่สบายใจตลอดทั้งคืน ความรู้สึกแย่ที่เกิดขึ้นมาจากสิ่งใด...เมื่อคืนหวางเฟยไม่ได้กลับมา แต่เขากลับทำแค่ยืนเฝ้าอยู่นอกห้องโถงตลอดทั้งคืน
ในยามนี้กุ่ยเม่ยผู้สงบนิ่งต่อทุกสถานการณ์อยู่เสมอตื่นตระหนกอย่างสมบูรณ์แล้ว
หนึ่งคืน! หวางเฟยของพวกเขาไม่ได้กลับมาทั้งคืน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสถานที่สุดท้ายที่เขาแยกจากหวางเฟยคือเขาโฮ่วซานแห่งเมืองหลงอัน
ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาออกมาก่อน แต่ยามนั้นเป็่ใกล้มืดแล้ว เขาโฮ่วซานอันตรายมาก หากหวางเฟยตกอยู่ในอันตรายเพียงลำพัง...
เหตุใดเขาโง่เช่นนี้ กล้าปล่อยให้หวางเฟยอยู่เพียงลำพังแล้วออกมาก่อนได้อย่างไร?
เมื่อนึกถึงเื่นี้ กุ่ยเม่ยรู้สึกหงุดหงิดจนแทบจะทุบตีตนให้ตาย
เสี่ยวหานวิ่งตามกุ่ยเม่ยไปที่คอกม้า เมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเขา นางก็รู้ว่าแม้แต่กุ่ยเม่ยก็ไม่รู้ว่ามู่จื่อหลิงหายไปไหน
เมื่อรู้ว่ามู่จื่อหลิงไม่ได้กลับมาทั้งคืน สีหน้าของเสี่ยวหานก็แย่ลงไม่ต่างจากกุ่ยเม่ย แต่ในขณะนี้นางไม่ได้ร้องไห้ ทั้งยังได้สติกลับคืนมาก่อนกุ่ยเม่ยหนึ่งก้าว
นางหันหลังกลับ วิ่งออกจากจวนอ๋องโดยไม่พูดอะไร มุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง ร่างนางหายไปอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้ากุ่ยเม่ยได้สติคืนมา
เขาส่งทหารยามและองครักษ์เงาทั้งหมดของจวนอ๋องออกตามหาในทันที
หลังจากที่ส่งทหารออกไปแล้ว กุ่ยเม่ยพุ่งตัวออกไปเช่นกัน...
ในระยะไกล หลงเซี่ยวเจ๋อกับเล่อเทียนกำลังเดินไปพูดคุยยิ้มแย้มกันมาตลอดทาง
ดวงตาเฉียบคมของหลงเซี่ยวเจ๋อเป็คนแรกที่เห็นกุ่ยเม่ยพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
่นี้หลงเซี่ยวเจ๋อได้เริ่มเรียนรู้วิชาตัวเบาจากเล่อเทียน ความสามารถของเขาจึงเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย เมื่อเห็นกุ่ยเม่ยวิ่งเร็วมาก เท้าของเขาก็คันขึ้นทันที
เหอะ
ต้องรู้ว่าจุดประสงค์หลักของหลงเซี่ยวเจ๋อในการฝึกวิชาตัวเบาคือการเอาชนะกุ่ยเม่ยกุ่ยหยิ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกพวกเขาพาตัวไปลงโทษที่อวี่กง
ยามนี้ในที่สุดเขาก็มีโอกาสไล่ตามกุ่ยเม่ยได้ หลงเซี่ยวเจ๋อจะปล่อยไปได้อย่างไร?
หลงเซี่ยวเจ๋อมองร่างของกุ่ยเม่ยที่วิ่งเร็วราวสายฟ้าฟาด ยกมือขึ้นไปแตะคาง มุมปากสีแดงสดยกขึ้นยิ้มอย่างซุกซน
จากนั้นเขาก็ไม่แม้แต่จะบอกกล่าว เร่งฝีเท้าทิ้งเล่อเทียนไว้ตรงนั้น
ในเวลาต่อมา หลงเซี่ยวเจ๋อะโลอยตัวเข้าหากุ่ยเม่ยโดยใช้วิชาเท้าทะยานคลื่น [1] ที่เพิ่งฝึกได้ไม่นาน
“เฮ้! เ้าคนเลินเล่อ ข้าผู้นี้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว มาประลองฝีเท้ากับข้าเร็วเข้า...” หลงเซี่ยวเจ๋อวิ่งมาหาอย่างรวดเร็ว โบกมือให้กุ่ยเม่ยเพื่อโอ้อวด
แต่ใครจะรู้ กุ่ยเม่ยที่กำลังวิ่งเร็วมากราวแมลงวันหัวขาด [2] ที่รีบไปเกิดใหม่ ไม่สนใจแม้แต่จะทักทายหลงเซี่ยวเจ๋อที่วิ่งเข้ามา
ไม่สำคัญว่าเ้าสนใจหรือไม่ ที่สำคัญที่สุดคือ กุ่ยเม่ยถึงกับกระแทกร่างหลงเซี่ยวเจ๋อที่พุ่งมาขวางทางเขาโดยตรง
ดังนั้น หลงเซี่ยวเจ๋อผู้เคราะห์ร้ายจึงถูกกุ่ยเม่ยพุ่งเข้าชนโดยตรงจนเห็นดาวในดวงตา ชนแรงจนเขาต้องถอยกลับไปสองสามก้าว
ในท้ายที่สุดก็ยังไม่สามารถต้านทานแรงที่กระแทกมาได้ หลงเซี่ยวเจ๋อทำเสียง ‘ตึงตัง’ ก่อนล้มลงกับพื้นจนบั้นท้ายกระแทก
“อุ๊ย!” การล้มลงครั้งนี้ทำให้หลงเซี่ยวเจ๋อกัดฟัน กรีดร้องด้วยความเ็ป
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนกุ่ยเม่ยจะไม่รู้ว่าเขาชนเข้ากับใครบางคน เขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกรีดร้องแห่งความเ็ปที่อยู่ข้างหลัง นับประสาอะไรกับหยุดมอง เขาไม่หยุดด้วยซ้ำ
โชคดีที่เล่อเทียนผู้ซึ่งตามหลังมามองเห็นความผิดปกติของกุ่ยเม่ย
สิ่งที่สามารถทำให้กุ่ยเม่ยผู้สงบนิ่งตื่นตระหนกเช่นนี้ได้ สัญชาตญาณบอกกับเล่อเทียนว่าต้องมีเื่ใหญ่เกิดขึ้นเป็แน่
เล่อเทียนเบี่ยงตัวหลบทันที ก่อนหยุดกุ่ยเม่ยที่พุ่งด้วยความเร็วเอาไว้ ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น เ้าตื่นตระหนกกับสิ่งใด?”
ก่อนที่กุ่ยเม่ยจะตอบ
หลงเซี่ยวเจ๋อลูบบั้นท้าย หอบหายใจ ะโเสียงดังว่า “โอ๊ย! เจ็บ...เจ็บเจียนตาย”
ขณะกรีดร้องด้วยความเ็ป หลงเซี่ยวเจ๋อก็เดินกะโผลกกะเผลกจับบั้นท้ายที่ปวดเมื่อยของตนเข้ามา
เขาอดไม่ได้ที่จะพูดตำหนิกุ่ยเม่ย “เ้าคนบ้าระห่ำ ตาของเ้าอยู่ที่ไหน? คนตัวใหญ่เพียงนี้เ้ามองไม่เห็นหรือ! จะรีบไปตายหรือไร...โอ๊ย แต่เ้าเกือบทำข้าตายแล้ว”
หลงเซี่ยวเจ๋อที่ปวดตูด โกรธจนกัดฟัน
ก่อนฝึกวรยุทธ์โดนกุ่ยเม่ยรังแกก็คงไม่เป็ไร แต่ยามนี้ได้ฝึกวรยุทธ์แล้ว นี่เป็ครั้งแรกที่พบเขา เ้าคนบ้าระห่ำนี้แทบจะทำให้ิญญาเขากระเด็นออกจากร่าง
ชนกับเ้าเหนือหัวตัวน้อยที่ชอบสร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผล ถือเป็อาชญากรรมครั้งใหญ่จริง
แต่ในยามนี้กุ่ยเม่ยไม่มีเวลาขอโทษ เขาพูดด้วยความตื่นตระหนก “หวางเฟย หวางเฟยหายไป!”
“หายก็หายไปแล้ว เ้าจะวิ่ง…” เมื่อเห็นว่ากุ่ยเม่ยไม่สนใจเสียงกรีดร้องของเขา หลงเซี่ยวเจ๋อก็กำลังจะะเิ
แต่เวลาถัดมา นับประสาอะไรกับความหยาบคาย เขาลืมความเ็ปที่บั้นท้ายไปเลย
“อะไรนะ เ้า...” หลงเซี่ยวเจ๋อชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง เขารีบยืดตัวขึ้น คว้าคอเสื้อกุ่ยเม่ย ถามอย่างโเี้ว่า “พูดอีกครั้ง ใครหายไป?”
หัวใจของเล่อเทียนสั่นสะท้าน เขารู้สึกกระวนกระวาย “เกิดอะไรขึ้น? อธิบายให้ชัดเจน!”
“พูดเร็วเข้า!” หลงเซี่ยวเจ๋อจ้องกุ่ยเม่ยอย่างแน่วแน่ ดวงตาดอกท้อที่ปกติยิ้มแย้ม ในยามนี้กลับฉายแสงเย็นดุดันออกมา
ความแข็งแกร่งในมือของหลงเซี่ยวเจ๋อยังคงไม่ลดลง ถ้าไม่ใช่เพราะความสูงที่เท่ากันของพวกเขา เขาคงยกร่างกำยำล่ำสันนี้ขึ้นมาแล้ว
องครักษ์ส่วนพระองค์ของฉีอ๋องถูกคนยกขึ้นเช่นนี้ได้ั้แ่เมื่อใดกัน?
หากเป็เวลาปกติ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็ใครก็ตาม กุ่ยเม่ยคงสู้กลับไปนานแล้ว
แต่ในขณะนี้ กุ่ยเม่ยไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะสู้กลับ นับประสาอะไรกับการตอบโต้กลับ
เขาดูกระวนกระวายและหนักใจ “เมื่อวานนี้เราเข้าไปในเขาโฮ่วซานแห่งเมืองหลงอัน ก่อนที่ข้าจะกลับมาก่อน หวางเฟยอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง และไม่ได้กลับมาทั้งคืน! ข้าส่งคนออกไปตามหาแล้ว...”
ก่อนที่คำพูดน่ากลัวจะจบลง หลงเซี่ยวเจ๋อก็เพิ่มกำลังของเขายกอีกฝ่ายขึ้น “อยู่คนเดียว ทั้งยังไม่กลับมาทั้งคืนหรือ? เ้าทิ้งพี่สะใภ้สามไว้คนเดียวที่เขาโฮ่วซาน ให้ตายเถอะ! เ้ากล้าดีอย่างไร...”
ในขณะนี้หลงเซี่ยวเจ๋อโกรธมากจนมีควันออกมาจากรูจมูก เขายกมือขึ้นโดยไม่รู้ตัว ปล่อยกำปั้นหนักใส่กุ่ยเม่ย
แม้เล่อเทียนจะตื่นตระหนก แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีเหตุผลมากกว่าหลงเซี่ยวเจ๋อ
เขาหยุดกำปั้นของหลงเซี่ยวเจ๋อ ด้วยสายตาที่เฉียบคมและมือที่ว่องไว หยุดเขาด้วยเสียงอันดังว่า “เอาล่ะ อย่าเสียเวลาที่นี่ สิ่งสำคัญคือต้องรีบตามหาคนก่อน! หากมีเื่ใดที่ต้องคุยกัน ค่อยคุยระหว่างทาง”
“หาคน...” หลงเซี่ยวเจ๋อพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “ใช่ ใช่ หาคน ต้องรีบตามหาคนก่อน!”
จากนั้นเขาก็โยนกุ่ยเม่ยทิ้งไป ทั้งยังมองด้วยสายตาดุร้าย เขาเตือนอย่างดุดัน “เ้าคนเลินเล่อ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับพี่สะใภ้สาม ข้าจะทุบเ้าให้ตาย...”
หลงเซี่ยวเจ๋อยังพูดคำว่า ‘ตาย’ ไม่ทันจบ เขาก็ยื่นมือออกตบปากตัวเองสองครั้งด้วยความรำคาญ ถ่มน้ำลายอีกสองสามครั้ง ปลอบตนเอง “ถุ่ยถุ่ยถุ่ย! พี่สะใภ้สามของข้าไม่มีทางเกิดเื่ใดได้ ไม่มีทาง...”
ในท้ายที่สุด เขาก็เอ่ยอย่างรีบเร่ง “ไป! เร็วเข้า ไปกันเถอะ!”
ก่อนพูดจบหลงเซี่ยวเจ๋อก็หายไปในพริบตา
เล่อเทียนกับกุ่ยเม่ยต่างมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก แล้วรีบติดตามโดยไม่หยุดแม้เพียงครู่
—
ยามที่พวกหลงเซี่ยวเจ๋อทั้งสามคนรีบเดินทางไปเขาโฮ่วซาน
องครักษ์เงาที่ไปถึงเขาโฮ่วซานแห่งเมืองหลงอัน รีบเร่งทำตามคำสั่งของกุ่ยเม่ยออกตามหาคนในทิศทางของถ้ำศพ ในไม่ช้าพวกเขาก็พบเบาะแสนอกถ้ำศพ
ในเวลานี้ หัวหน้าองครักษ์เงาคนหนึ่งรีบกลับมารายงาน “ผู้คุมกุ่ยเม่ย ข้าน้อยค้นหาจนสุดทาง ต่อมาจึงพบสิ่งหนึ่งที่ปากทางเข้าถ้ำศพ...”
สีหน้าขององครักษ์เงาแย่มาก เขาลังเลที่จะพูด
หลงเซี่ยวเจ๋อพุ่งไปตรงหน้าเขา คว้าตัวองครักษ์เงาที่คุกเข่าลงข้างหนึ่ง จ้องมองเขาอย่างเ็า “เ้าพบอะไร?”
“ศพผู้หญิง” องครักษ์เงาพูดอย่างไร้ความรู้สึก
หากองครักษ์เงาไม่พูดก็ไม่เป็ไร แต่เมื่อเขาพูด พวกหลงเซี่ยวเจ๋อทั้งสามที่ตื่นตระหนกและรีบเร่งมาตลอดทาง จึงหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่อาจตอบสนองต่อสิ่งใดได้
เมื่อครู่ระหว่างทางกุ่ยเม่ยได้อธิบายเื่ราวทั้งหมดแล้ว ยิ่งหลงเซี่ยวเจ๋อกับเล่อเทียนฟังก็ยิ่งลุกลี้ลุกลน
และยามนี้ สิ่งที่องครักษ์เงารายงานมาไม่ต่างจากะเิ ที่พุ่งเข้ามาะเิพวกเขาจนสลายเป็ชิ้นๆ
ต้องรู้ว่าเขาโฮ่วซานแห่งเมืองหลงอันเป็สถานที่ที่ไก่ไม่วางไข่นกไม่ทิ้งอึ [3] หากพูดเกี่ยวกับคน เมื่อไม่นานมานี้พวกเขาเป็เพียงกลุ่มเดียวที่ถูกส่งมาตรวจสอบโรคระบาด ศพผู้หญิง จะมีใครได้อีกนอกจากมู่จื่อหลิง?
ที่สำคัญคือพบที่ปากทางเข้าถ้ำศพ เช่นนี้จะหมายความว่าอย่างไร? กุ่ยเม่ยรู้ดีที่สุด
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] วิชาเท้าทะยานคลื่น (凌波微步) เป็วิชาตัวเบาที่มีความรวดเร็วมากเป็พิเศษ ถือว่าเป็วิชาตัวเบาที่ค่อนข้างเหนือชั้น มีความรวดเร็วกว่าวิชาตัวเบาทั่วไป
[2] แมลงวันหัวขาด (无头苍蝇) เป็สำนวน มีความหมายว่า วิ่งไปมาอย่างลนลาน
[3] สถานที่ที่ไก่ไม่วางไข่นกไม่ทิ้งอึ (鸡不生蛋鸟不拉屎的地方) เป็วลี มีความหมายว่า พื้นที่ห่างไกล รกร้างในเขตทุรกันดาร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้