พวกเขาแต่ละคนใช้เวลานานพอสมควรในการเขียนราคาออกมา เกาเหรินรับไปดู จากนั้นะโว่า “ใครคือเถ้าแก่หยางซาน”
“ข้าเอง” ชายชราอายุห้าสิบกว่ารูปร่างท้วมน้อยๆ เดินหัวเราะแหะๆ ออกมา
“เ้าให้ราคาดีที่สุด เป็เงินรวม...อืม สี่ร้อยสิบตำลึง รีบส่งเงินมาแล้วก็นำเหยื่อพวกนี้ไปได้”
เกาเหรินกลัวว่าตัวเองจะคำนวณผิด พอกลับไปแล้วก็ไม่รู้จะอธิบายกับเสี่ยวหมี่อย่างไร เขาแบมือทั้งสิบออก เอียงศีรษะที่ผูกจุกชี้ฟ้าไปมา ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูจนทุกคนพากันหัวเราะออกมา
เถ้าแก่หยางเองก็คิดไม่ถึงว่าตนจะเป็ผู้ชนะในครั้งนี้ สีหน้ายิ้มแย้มประสานมือคารวะสหายร่วมวิชาชีพทุกคน เมื่อมอบตั๋วเงินแล้วจึงเรียกพวกเด็กรับใช้มาลากทั้งเสือทั้งหมาป่าอะไรพวกนี้ไปอย่างรวดเร็ว
เถ้าแก่คนอื่นพากันกระทืบเท้าอย่างคับแค้นใจ เสียใจที่ตัวเองไม่เขียนราคาเพิ่มไปอีกสักยี่สิบสามสิบตำลึง เหยื่อชุดแรกในฤดูกาลล่าสัตว์ ทั้งยังมีเสือถึงสองตัวกลับถูกคนอื่นฉกฉวยไปเช่นนี้เอง
บางคนนึกไปถึงจิ้งจอกขาวที่เกาเหรินแบกเข้าไปก่อนหน้านี้ รีบะโว่า “น้องชาย เ้าขายจิ้งจอกขาวให้ข้าเถอะ ข้าให้ราคา...หกสิบตำลึง”
“ไม่ ขายให้ข้าดีกว่า ข้าให้เจ็ดสิบตำลึง”
ครั้นเห็นว่าพวกเขาเริ่มทะเลาะกัน เกาเหรินก็โบกมืออย่างรำคาญ “เท่าไหร่ก็ไม่ขาย จะเอากลับไปให้เสี่ยวหมี่ทำเสื้อตัวใหม่ คุณชายของเรายังกลัวว่าจะไม่พอด้วยซ้ำ พวกเ้าก็เลิกคิดได้แล้ว”
“นี่มัน...” พวกเขาอยากจะบอกว่าสิ้นเปลืองนัก แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าที่แท้หมายถึงแม่นางเสี่ยวหมี่คนนั้น จึงรีบพากันหุบปาก จากนั้นสบตากันไปทีหนึ่งแล้วก็แยกย้ายกันไป
ไม่ใช่ว่าพวกเขาขี้ขลาดหวาดกลัวหมู่บ้านเขาหมีเล็กๆ นั่น หรือหวาดกลัวสกุลลู่ที่เป็กึ่งพรานกึ่งชาวนาพวกนั้น แต่เพราะผู้ตรวจการมณฑลที่ก่อนหน้านี้สกุลลู่ชักนำมาทำให้ท่านเ้าเมืองใเป็อย่างมาก ที่ปรึกษาสุยก็ถึงกับถูกจับเข้าคุกไปด้วยซ้ำ ส่วนคุณชายเสเพลแซ่ตู้คนนั้นจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้ออกจากคุกเลย
พวกเขาจึงเลือกที่จะไม่หาเื่สกุลลู่เป็การดีที่สุด
เกาเหรินไม่เห็นพ่อค้าเหล่านี้อยู่ในสายตา แต่นายพรานคนอื่นๆ กลับถูกตั๋วเงินบางๆ ทำเอาใจนแทบเป็ลม นี่มากกว่าปีที่แล้วเท่าหนึ่งเลยนะ
เฝิงเจี่ยนแลกเศษเงินกับเด็กรับใช้ผู้ดูแลร้าน จากนั้นก็จ่ายค่ายา และให้เงินพิเศษไปอีกสองตำลึง เ้าของโรงหมอและเด็กรับใช้ต่างพากันดีอกดีใจ
เงินที่เหลือ เฝิงเจี่ยนเอาไปสองร้อยตำลึง ที่เหลือก็แบ่งให้พวกนายพรานทั้งหมด
ราคาเสือสองตัวก็เกือบสามร้อยตำลึงแล้ว เฝิงเจี่ยนแบ่งเงินเช่นนี้เรียกได้ว่าขาดทุน เป็พวกนายพรานที่ได้ผลประโยชน์ พวกเขาจึงคิดจะปฏิเสธ แต่เฝิงเจี่ยนโบกมือและพาเกาเหรินเดินออกไป ชัดเจนว่าจะไปหาซื้อของกลับหมู่บ้าน
พวกนายพรานจับกลุ่มคุยกัน สุดท้ายก็ตัดสินใจรับเงินไว้ จะอย่างไรก็อยู่ด้วยกัน วันคืนยังอีกยาวไกล อย่างไรก็คงมีโอกาสได้ตอบแทนน้ำใจในครั้งนี้ อีกอย่าง ยังมีเวลาอย่างน้อยก็อีกหนึ่งเดือนในการล่า ถึงตอนนั้นล่าหนังสัตว์ดีๆ ได้แล้วส่งไปให้เสี่ยวหมี่ ก็นับว่าใช้ได้เช่นกัน
คิดได้ดังนั้น พวกนายพรานก็เหลือพรานหนุ่มน้อยสองคนไว้คอยดูแลเสี่ยวเตาจนกว่าไข้จะลด ส่วนคนที่เหลือก็ออกไปเลือกซื้อข้าวของ
นี่คือการล่าสัตว์ครั้งแรกของปี คนที่บ้านต่างรอคอยกันอย่างใจจดใจจ่อ ทางด้านภรรยายังพอทำเนา แต่กับญาติผู้ใหญ่อย่างน้อยก็จำเป็ต้องซื้อของกินเล่นดีๆ สักห่อสองห่อไปฝากเพื่อแสดงความกตัญญู และซื้อน้ำตาลแท่งกลับไปฝากเด็กๆ ที่บ้าน
เฝิงเจี่ยนเดินนำเกาเหรินมุ่งหน้าไปยังตลาดที่พลุกพล่าน แต่กลับรู้สึกสับสนเล็กน้อย บ้านของเขาร่ำรวยอย่างยิ่ง โดยปกติแล้วเขาไม่เคยต้องใช้เงิน ของที่ดีที่สุดในใต้หล้าก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ยามนี้ได้เงินก้อนแรกจากน้ำพักน้ำแรงของตนเอง แต่ก็เป็จำนวนน้อยจนน่าสงสาร จึงไม่รู้จะเอาไปใช้อย่างไร
ควรซื้ออะไรถึงจะทำให้เสี่ยวหมี่ดีใจ และยังเป็การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าคนสกุลลู่?
บนถนนมีแม่นางคนหนึ่งกำลังยืนเลือกซื้อน้ำตาลปั้นอยู่กับสาวใช้คนหนึ่ง นางยิ้มแย้มหัวเราะสนุกสนาน เฝิงเจี่ยนเห็นว่านางอายุพอๆ กับเสี่ยวหมี่ จึงเดินเข้าไปถามว่า “แม่นาง หากจะมอบของขวัญให้เ้า ของขวัญแบบใดที่เ้าจะชอบ”
แม่นางคนนั้นจู่ๆ ถูกถามก็ใดึงเสื้อขึ้นมาปิดหน้าอย่างขัดเขิน เมื่อเห็นหน้าเฝิงเจี่ยนชัดๆ ก็ยิ่งเขินอายหนักเข้าไปอีก เอาเสื้อที่ปิดบังใบหน้าลง กล่าวอย่างเอียงอายว่า “อืม ตอบคุณชายท่านนี้ แน่นอนว่าเป็...เครื่องประดับอย่างไรเล่าเ้าคะ ขอแค่สวมใส่ไว้บนร่างกาย ทุกครั้งก็จะทำให้นึกถึงคุณชาย...หา นี่ คุณชาย ท่านจะไปไหนเ้าคะ”
แม่นางคนนั้นเพิ่งพูดได้ครึ่งเดียว เฝิงเจี่ยนก็พยักหน้าเดินจากไป ทำให้นางร้อนใจหมายจะเอื้อมมือไปรั้งไว้ เกาเหรินถึงกับหัวเราะขบขันห้ามปรามนางเอาไว้ “นายท่านของเรากำลังลังเลว่าจะซื้อหาของขวัญเช่นไรกลับไปให้นายหญิง ขอบคุณแม่นางที่ชี้แนะ”
“อะไรนะ เขาแต่งภรรยาแล้วหรือ?”
แม่นางคนนั้นทั้งผิดหวังทั้งอับอาย นำสาวใช้จากไปทันที
เกาเหรินหัวเราะร่าอย่างเบิกบาน รีบสาวเท้าตามเฝิงเจี่ยนที่เดินไปยังร้านเครื่องประดับแล้ว
เถ้าแก่ร้านเครื่องประดับมีสายตาเฉียบแหลมทั้งยังเฉลียวฉลาด เขาแนะนำปิ่นหยกไปสองเล่ม เมื่อเห็นว่าเฝิงเจี่ยนส่ายศีรษะไม่คล้อยตาม ก็เดาได้ว่าตนคงจะเจอคนรู้จริงเข้าให้แล้ว เขาจึงนำกำไลหยกคู่หนึ่งออกมา สีเขียวมรกตสดใสราวกับหญ้าสดใหม่กลางฤดูร้อน ทั้งยังใสกระจ่าง ดึงดูดสายตาไม่น้อย
เฝิงเจี่ยนยกมุมปากขึ้นน้อยๆ เถ้าแก่คนนั้นบอกราคาสองร้อยตำลึง แต่เฝิงเจี่ยนโยนเงินให้เขาแค่หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง ซึ่งเถ้าแก่คนนั้นก็รับไว้ด้วยรอยยิ้ม
เฝิงเจี่ยนปฏิเสธกล่องไม้แกะสลักสวยงาม แต่นำกำไลหยกที่ห่อเรียบร้อยแล้วใส่เข้าไปในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เข้าไปที่ร้านเสื้อผ้าข้างๆ เพื่อซื้อผ้า...
หลังจากที่พวกนายพรานเข้าป่าไป หมู่บ้านเขาหมีก็เงียบเชียบจนน่าใ นี่เป็การออกล่าครั้งแรกของปีนี้ พวกผู้ชายไม่อยู่บ้าน บรรดาสตรีและคนเฒ่าคนแก่นั่งเฝ้าประตูอย่างใจจดใจจ่อ ส่วนเด็กๆ นอกจากครึ่งวันเช้าที่ต้องไปเรียนหนังสือที่สกุลลู่แล้ว เวลาที่เหลือก็ถูกสั่งให้อยู่แต่ในบ้านไม่ให้ออกไปเถลไถลที่ไหน
ส่วนทางบ้านสกุลลู่ เมื่อเฝิงเจี่ยนนายบ่าวไม่อยู่ก็ราวกับขาดอะไรไป ตอนที่รับประทานอาหารร่วมกันเห็นที่นั่งว่างเปล่าสองที่นั่น เสี่ยวหมี่ก็ยากจะกลืนข้าวลงคอ
แน่นอนว่าที่นั่งของพี่รองและเสี่ยวเอ๋อเองก็ว่างเช่นกัน แต่นางทำเป็ลืมๆ ไปเสีย
เสี่ยวหมี่คำนวณเวลา คิดว่าวันนี้พวกนายช่างหม่าน่าจะกลับมากันแล้ว จึงคิดจะลงไปตรวจดูว่าเสบียงที่เพิงทำกับข้าวเพียงพอหรือไม่ พอดีกับที่ซูอีลากม้ากลับมาที่บ้าน ยามนี้ม้าเหล่านี้สูงใหญ่กำยำกว่าตอนที่เพิ่งซื้อมามาก
เสี่ยวหมี่อดตบไหล่ซูอีเบาๆ ไม่ได้ ชมเปาะว่า “ลำบากซูอีแล้ว ม้าพวกนี้พ่วงพียิ่งนัก เดี๋ยวข้าจะทำของอร่อยๆ ให้เ้าเป็รางวัล”
เหมือนว่าซูอีจะฟังไม่เข้าใจแต่เขาก็ชอบอยู่ใกล้ชิดกับเสี่ยวหมี่ จึงคลี่ยิ้มเจิดจ้า เผยให้เห็นฟันขาวสว่างน่าอิจฉานั่น “เ้าน่ะ ควรจะไปถ่ายโฆษณายาสีฟันจริงๆ”
“ยาสีฟันคืออะไร อร่อยหรือไม่?”
ไม่รู้เกาเหรินโผล่มาจากไหน เอ่ยถามออกมา “ข้าหิวมากเลย เสี่ยวหมี่กินข้าวได้หรือยัง”
เสี่ยวหมี่ยกมือขึ้นดีดหน้าผากเขาตามความเคยชิน “เอาแต่บ่นหิวทั้งวัน เ้านี่มันผีตะกละกลับชาติมาเกิด...อ๊า ไม่ใช่ เ้ากลับมาแล้วหรือ?”
เสี่ยวหมี่เพิ่งดึงสติกลับมาได้ เกาเหรินเข้าป่าไปกับเฝิงเจี่ยน ยามนี้เกาเหรินกลับมาแล้ว เช่นนั้น...
แสงแดดอันอบอุ่นยามบ่ายสาดลงมายังประตูเรือนสกุลลู่ คนผู้หนึ่งก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้ามาในธรณีประตู อีกข้างยังอยู่ด้านนอก คนคนนั้นมิใช่บุรุษที่นางภาวนาให้ชนะ ‘การพนัน’ แล้วรีบกลับมาหรอกหรือ
“ข้ากลับมาแล้ว”
เฝิงเจี่ยนยิ้มกว้าง เขาชูจิ้งจอกขาวในมือ “ดูสินี่อะไร”
“ดีจังเลย พี่ใหญ่เฝิงท่านชนะแล้ว”
เสี่ยวหมี่ดีใจจนเลอะเลือนไปแล้ว คิดจะวิ่งเข้าไปกอดเฝิงเจี่ยน แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่านางในฐานะ ‘ของพนัน’ แสดงท่าทางดีใจอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้ เหมือนจะไร้ยางอายเกินไปหน่อย จึงหน้าแดงเอามือปิดหน้าแล้วเสเดินเข้าเรือนไปแทน
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่ใหญ่เฝิงกลับมาแล้ว”
เฝิงเจี่ยนเห็นแม่นางน้อยตรงหน้ามีชีวิตชีวาดวงหน้าแดงก่ำก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม
ชั่วขณะนั้นเขาเชื่ออย่างสนิทใจว่า วันเวลาที่เหลืออยู่ในอนาคตของเขาจะไม่มีผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ เช่นนั้นเื่บางเื่ก็ควรดำเนินการได้แล้ว
บิดาลู่และพี่ใหญ่ลู่ได้ยินก็ออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นจิ้งจอกขาวที่แขวนไว้บนต้นไม้ก็พากันยิ้มเจิดจ้า ถึงแม้การที่เสี่ยวหมี่กลายเป็ของพนันของบุรุษสองคนจะทำให้สกุลลู่โมโหอย่างยิ่ง สองพ่อลูกต่างตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าหากเสี่ยวเตาชนะ ก็ไม่มีทางยกเสี่ยวหมี่ให้แต่งกับเขา แต่ตอนนี้ผู้ชนะคือเฝิงเจี่ยน เป็คนในครอบครัวกันเอง แน่นอนว่าย่อมมีสีหน้ายินดี
ไม่อาจไม่กล่าวได้ว่าสองพ่อลูกคู่นี้ช่างมีความคิดแปลกประหลาด แต่ก็ออกจะน่ารักไม่น้อย
พี่ใหญ่ลู่รับหน้าที่เป็คนเลาะหนังจิ้งจอก อากาศ่นี้เย็นลงเรื่อยๆ รีบเลาะหนังออกมาจะได้รีบเอาไปทำเสื้อคลุมให้น้องหญิง
เกาเหรินเห็นบิดาลู่ลากเฝิงเจี่ยนไปถามเื่ที่เกิดขึ้นบนูเา เสี่ยวหมี่เองก็อาศัยข้ออ้างในการรินชาให้พวกเขาเดินเข้าไปร่วมวงด้วย เมื่อเขารู้สึกถูกละเลยก็เริ่มหาเื่สร้างความวุ่นวาย
เขาวางห่อผ้าห่อใหญ่ลงบนโต๊ะ “ขายหนังเสือได้เงินมา นี่คือผ้าพับใหม่ที่ซื้อมาฝากทุกคน คุณชายเป็คน...ไม่ใช่ กว่าครึ่งข้าเป็คนเลือกเอง”
เสี่ยวหมี่เห็นผ้าแวววาวล้อแสงในห่อผ้าก็รู้ว่าคงมีพวกผ้าไหมด้วย จึงยื่นมือไปพลิกดูถามว่า “เหตุใดพี่ใหญ่เฝิงถึงซื้อผ้าไหมมาด้วย จ่ายเงินไปไม่น้อยเลยสินะเ้าคะ”
เฝิงเจี่ยนจิบชา แววตาเ้าเล่ห์ตอบสั้นๆ ว่า “ทำเสื้อคลุม”
ไม่ผิดคาด เสี่ยวหมี่ที่สีหน้าเพิ่งกลับมาเป็ปกติ กลับมาแดงเรื่ออีกครั้ง
บิดาลู่ถึงกับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าบุตรสาวของตนถูกบุรุษหยอกเอินอยู่ใต้จมูก กลับบ่นเบาๆ ว่า “คนกันเองทั้งนั้น เงินที่ได้มาจากการล่าสัตว์เ้าก็เก็บไว้เองเถอะ จะอย่างไรก็คงมีโอกาสได้ใช้ หากขาดเสื้อผ้าหรือของกินของใช้อะไรก็บอกเสี่ยวหมี่ก็ใช้ได้แล้ว”
เสี่ยวหมี่อยากจะกลอกตามองบนจริงๆ ในสายตาบิดา นางคงเป็คนที่ทำได้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้สินะ
เฝิงเจี่ยนอดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ ที่เขายังรั้งอยู่ที่หมู่บ้านเขาหมีนี้เพราะ หนึ่ง ถูกความสามารถในการหาเงินอันพิสดารของเสี่ยวหมี่ดึงดูด สองก็เพราะชอบบรรยากาศสมัครสมานสามัคคีรักใคร่กลมเกลียวกันของคนสกุลลู่ ถึงแม้บ้านนี้คนเป็พ่อจะถูกบุตรสาว ‘สั่งสอน’ คนเป็พี่ชายถูกน้องหญิงชี้นิ้วสั่ง อาจจะผิดธรรมเนียมไปบ้าง แต่เทียบกับสถานที่ที่เขาเติบโตมา ถึงแม้จะเคร่งครัดในธรรมเนียมและมารยาท แต่ก็ไม่อาจหาความอบอุ่นแบบนี้ได้
อยู่ที่บ้านสกุลลู่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นทั้งกายและใจ จนอยากนอนตื่นสาย บิดี้เีอย่างสบายอุรา...
“นายน้อยกลับมาแล้วหรือขอรับ?”
ผู้เฒ่าหยางได้ยินเสียงก็รีบมา มองพิจารณาเ้านายของตนว่าไม่าเ็ที่ตรงไหนแล้วจึงยิ้มแย้ม “นอกประตูมีพวกหนุ่มๆ ขนข้าวของลงมาจากรถม้า นายน้อยเป็คนซื้อมาหรือขอรับ”
เกาเหรินะโจนตัวลอย ะโว่า “แย่แล้ว ข้าลืมไปเลยว่ายังมีอย่างอื่นอีก เสี่ยวหมี่ มานี่เร็ว ข้าล่าหมูป่ากลับมาด้วยนะ”
“จริงหรือ?” เสี่ยวหมี่ดีใจมาก วางผ้าในมือลงแล้วรีบวิ่งออกไป ก่อนจะหันกลับมากำชับว่า “พี่ใหญ่เฝิง ท่านช่วยเอาผ้าใหม่พวกนั้นเข้าไปเก็บให้ข้าที อย่าให้เปื้อนน้ำมัน ประเดี๋ยวจะซักออกยาก คืนนี้เรามาเฉลิมฉลองชัยชนะของพวกท่านกัน”
“ได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้