ไฮยาซินท์ตื่นมาแล้วก็ได้พบกับใบหน้าราบเรียบของพระรองแฟนฟิกชั่น อีกฝ่ายนั่งหลังตรง ใบหน้าก้มลงนิด ๆ ส่งผลให้เส้นผมสีบลอนด์ทองปรกลงมาคลอเคลียกับใบหน้าคมคาย ั์ตาสีฟ้าใสกระจ่างภายใต้แว่นสายตาเลนส์บางจับจ้องหน้ากระดาษหนังสือที่ตนประคองเอาไว้ในอุ้งมือ เสียงสายฝนด้านนอกตกกระทบกับกระจกหน้าต่างราวจังหวะดนตรีสร้างบรรยากาศให้ชายหนุ่ม
มีแวบหนึ่งที่ไฮยาซินท์คิดว่าอีกฝ่ายคือเซฟิรอส มือขวาคนสนิทผู้มักเป็คู่สนทนาด้านวรรณกรรมเพียงไม่กี่คนในธานาทอส ไม่ใช่แค่ตัวละครตัวหนึ่งจากปลายปากกาของใครสักคน
ไฮยาซินท์คงจดจ้องใบหน้านั้นนานจนอีกฝ่ายรู้ตัว ดวงตาสีฟ้าเบนมาสบ ก่อนที่เ้าตัวจะลุกขึ้น เดินไปกดน้ำจากเครื่องกรองน้ำมายื่นส่งให้ไฮยาซินท์ดื่ม
“คนอื่นไปไหนหมด”
“ฉันไล่กลับบ้านหมดแล้ว นายตื่นมาเจอคนเยอะ ๆ คงอึดอัด” หยางหลิ่งซือรอคอยจนไฮยาซินท์ดื่มน้ำหมดแก้วจึงรับแก้วกลับไปคืนที่เดิม “ฉันโทรบอกที่บ้านนายแล้ว วันนี้นายกลับกับรถที่บ้านฉันแล้วกัน”
ไฮยาซินท์จ้องมองอีกฝ่ายที่เก็บข้าวของเตรียมเดินนำออกจากห้องพยาบาลด้วยความรู้สึกซับซ้อน ตามต้นฉบับจ้าวเสวี่ยอิงกับหยางหลิ่งซือมีความสัมพันธ์ที่ไม่ได้เรียกว่าสนิทสนมกันมากนัก เพียงแค่จับพลัดจับผลูมาอยู่กลุ่มเดียวกัน เป็เพื่อนของเพื่อน ั้แ่เล็กทั้งสองคนก็มักจะถูกจับมาเปรียบเทียบเสมอ เพราะนอกจากหยางหลิ่งซือแล้วก็อาจเรียกได้ว่าไม่มีใครทัดเทียมเหมาะสมจะเป็คู่แข่งจ้าวเสวี่ยอิง
การที่ไฮยาซินท์ลืมตามาเจอเพื่อนของเพื่อนจึงนับว่าช่างเป็เื่ที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก
ตอนที่ข้าหลับอยู่ ผู้ชายคนนี้ไม่ได้แอบบีบคอหรือมีท่าทีจะเอาหมอนอุดหน้าฆ่าข้าให้ตายหรอกนะ
[นอกจากนั่งมองหน้าท่านจอมมารตอนหลับสลับกับหันไปอ่านหนังสือ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรแล้ว] ระบบ 666 กล่าวตามจริง ส่วนประโยคต่อจากนี้มีการปั้นแต่งเล็กน้อย [แม้ว่าตอนนี้ท่านจอมมารจะอาศัยอยู่ในร่างของเกย์คิงตัวพ่อ ความงดงามดุจหงส์ผู้สูงส่งจึงเปลี่ยนเป็อาชาศึก ทว่าหากนำคนทั้งโลกมาเทียบแล้ว ก็ยังมิอาจมีใครสู้ความงามล้ำของท่านจอมมารได้ หยางหลิ่งซือต้องแอบตกหลุมรักโฮสต์แน่ ๆ !!!]
ไฮยาซินท์ไม่ได้สนใจฟังถ้อยคำพร่ำเพ้ออันยาวเหยียด เขาตัดสินใจเอ่ยถามคำถามอย่างตรงไปตรงมา
“นายชอบหยางเจี๋ย?”
[หา!?! ท่านจอมมารจะถามตรง ๆ แบบนี้เลยงั้นเหรอ รู้มั้ยว่าบางทีมันอาจจะทำให้เกิดเื่ใหญ่เหมือนตอนอันซูฮวาก็ได้!]
ไฮยาซินท์ครุ่นคิดมาเป็อย่างดีเกี่ยวกับอุปสรรคความรักระหว่างร่างนี้กับตัวเอกฝ่ายรับ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือความรักของพระรอง
ตอนนี้ความรักของพระรองไม่น่าผลิดอกออกผล ดังนั้นไฮยาซินท์จึงคิดจะใช้คำว่า‘เพื่อน’ กดดันให้หยางหลิ่งซือล่าถอยออกไป
ใน่เวลาที่ตนแกล้งเป็ลมก่อนจะเผลอหลับไปจริง ๆ ไฮยาซินท์ทบทวนถึงเหตุการณ์แกล้งทำร้ายตัวเองของอันซูฮวาที่เร็วขึ้นแล้วก็พบว่ามันไม่ได้เลวร้ายจนรับมือไม่ไหว ตนเพียงแค่ต้องอ่านเหตุการณ์ที่จะเกิดให้ถี่ถ้วนแล้วเตรียมรับมือทุกเวลาก็เท่านั้น
ท่านจอมมารไม่ได้คิดจะเสียเวลากับการทำภารกิจพวกนี้นานนัก ต่อให้การใช้ชีวิตะโไปแต่ละโลกจะทำให้มีระยะเวลาชีวิตนับอนันต์ ไม่ได้ส่งผลต่ออายุขัย แต่อย่างไรมันก็ยังสามารถบั่นทอนสภาพจิตใจได้
ไฮยาซินท์ไม่ได้มีความมั่นใจว่าจะยังคงสามารถรักษาสภาพจิตใจได้อย่างมั่นคง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการทำภารกิจที่ไม่รู้จุดหมาย
หยางหลิ่งซือที่กำลังเดินนำอยู่ชะงักไป ก่อนจะหันมามองสบตาไฮยาซินท์ด้วยสีหน้าราบเรียบ
“แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ”
“ฉันต้องคิดกังวลอยู่แล้วหากนายชอบหยางเจี๋ย” ฝ่ามือล้วงกระเป๋ากางเกง แสร้งทำเป็ยืนด้วยท่าทางสบาย ๆ ที่สุด “เพราะฉันก็ชอบหยางเจี๋ย”
ั์ตาสีฟ้ามีร่องรอยของความตกตะลึง ก่อนที่มันจะกลับไปเป็ดวงตาราบเรียบเช่นเดิมแทบจะในทันที
“ฉันเองก็ชอบหยางเจี๋ย”
“หยางหลิ่งซือ” ไฮยาซินท์กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ทว่าเย็นเยียบ “อย่ามากวนประสาทกันให้มาก”
เสียงฟ้าผ่าดึงกึกก้องทะลุเข้ามาภายในอาคาร แสงจ้าสว่างวาบตกกระทบเข้ากับใบหน้าของคุณชายสกุลจ้าวที่มีรอยยิ้มบาง ๆ ประดับใบหน้า จังหวะหนึ่งทั่วทั้งบริเวณเหลือเพียงเงามืด ทว่าั์ตาสีแดงก่ำนั้นก็ยังคงเรืองรองวาววับ ส่องลอดออกมาท่ามกลางความมืด
“ั้แ่ชุดนักเรียนของหยางเจี๋ยที่นายถือดีมาสวมรอย จนกระทั่งเมื่อตอนกลางวัน คุณชายน้อยหยางถือว่าฉันเตือนนายแล้ว อย่าทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราต้องมาจบกันเพียงแค่นี้เลย”
มิตรภาพระหว่างจ้าวเสวี่ยอิงกับหยางหลิ่งซือมีค่าเพียงน้อยนิด ต่อให้พวกเขาเลิกเป็เพื่อนกัน หยางหลิ่งซือก็คงไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ
มูลค่าที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือความสัมพันธ์ระหว่างสกุลจ้าวและสกุลหยางที่มีมาอย่างยาวนาน ในนิยายต้นฉบับจ้าวเสวี่ยอิงเป็คนมีจริยธรรมมากพอจะไม่ใช้อำนาจเื่ตระกูลมากดข่มให้หยางหลิ่งซือยอมแพ้ในเกมรัก
แต่ไฮยาซินท์ไม่ใช่ เขาคือจอมมารชั่วช้าอย่างที่ระบบ 666 เคยกล่าว และตอนนี้ไฮยาซินท์ก็ไม่ได้กำลังใช้จริยธรรมในเกมแห่ง
ความรักนี้
ความวูบไหวปรากฏบนใบหน้าของคู่สนทนา หยางหลิ่งซือก็คงไม่คาดคิดว่าเขาจะเอ่ยขู่เช่นนี้
“ทั้งเื่ชุดนักเรียนกับเมื่อตอนบ่าย…”
“หลิ่งซือ” ไฮยาซินท์พูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแต่ลงน้ำหนัก เน้นย้ำราวกับเป็หมุดเหล็กที่ตอกตรึงลงไปในใจของหยางหลิ่งซือ
“...”
“หน้าที่ของนายตอนนี้คือแค่ฟังและทำตาม”
ฟางเสี่ยวิเพิ่งเปิดร้านคาราโอเกะกึ่งบาร์ ในฐานะเ้าของกิจการที่แม้จะไม่ทำอะไรเลยนอกจากออกเงิน ส่วนหน้าที่บริหารร้านให้เป็ของลูกน้อง แต่ฟางเสี่ยวิก็ภาคภูมิใจอย่างมาก อาสาเป็เ้าภาพพาเพื่อนในห้องไปเลี้ยงฉลองการเปิดกิจการวันแรกของอีกฝ่าย
“ฉันรู้ว่านายไม่ชอบที่เสียงดังแต่นี่คือความสำเร็จอีกก้าวของเพื่อนเชียวนะ” ฟางเสี่ยวิโน้มตัวลงมาโอบไหล่ไฮยาซินท์ที่กำลังนั่งทำสีหน้าเบื่อหน่าย
“รู้แล้ว”
เขาตอบรับอย่างขอไปที ในหัวนึกทบทวนฉากคาราโอเกะที่ว่าภายในแฟนฟิกชั่นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดูเหมือนตามเนื้อเื่เดิมหยางเจี๋ยจะไม่มีโอกาสได้ไป แต่เพราะเพิ่งกลับมาจากพาร์ตไทม์จึงเจอกับเพื่อนร่วมห้อง
ไฮยาซินท์กระดิกนิ้วชี้เป็สัญญาณให้ฟางเสี่ยวิขยับเข้ามาใกล้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยกระซิบบางอย่าง
ฟางเสี่ยวิดวงตาเป็ประกาย รีบกระวีกระวาดไปหาหยางเจี๋ย
“เด็กทุน คืนนี้นายต้องไปร้านฉันด้วยนะ”
จางหนิงเหอที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มองฟางเสี่ยวิสลับกับจ้าวเสวี่ยอิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“นี่นายเอาจริงเหรอ”
“เอาจริงอะไร?” ไฮยาซินท์เลิกคิ้ว
“นึกว่านายจะเป็พวกพูดว่าความรักคือเื่ไร้สาระ”
จ้าวเสวี่ยอิงยกยิ้มมุมปาก หันกลับไปมองหยางหลิ่งซือที่นอนฟุบกับโต๊ะนักเรียน คล้ายไม่ได้ยินเสียงบทสนทนาเมื่อครู่
ตอนนี้กลุ่มจตุรมารต่างรู้ถึงความสนใจที่จ้าวเสวี่ยอิงมีต่อหยางเจี๋ยแล้ว เขานับว่าถือไพ่เหนือกว่าพระรองผู้นี้ทุกใบ หากอีกฝ่ายยังคิดจะขึ้นมาสู้ในเกมครั้งนี้ก็เรียกว่ากล้าหาญแต่ไร้สมอง
ได้ยินเสียงผู้หญิงในห้องโอดครวญ พยายามพูดหาเหตุผลที่หยางเจี๋ยไม่ควรมาเข้าร่วมในงาน
“นี่ร้านของฉัน ฉันจะเชิญใครก็ได้ อีกอย่างอิงอิงก็อนุญาตแล้วด้วยว่าให้เด็กทุนไปได้”
แค่เหตุผลอย่างจ้าวเสวี่ยอิงอนุญาตก็เพียงพอจะทำให้ทุกคนหุบปากฉับ
“ต่อไปพวกเธอห้ามรังแกเขาอีก ต่อไปนี้หยางเจี๋ยนับเป็ทรัพย์สินของจตุรมาร”
เสียงผู้ชายในห้องผิวปากแซว บ้างก็เอ่ยคำหยาบโลนอาทิให้แบ่งปันกันบ้างหลังเบื่อหน่าย แต่หลังจากถูกฟางเสี่ยวิจ้องด้วยสีหน้าราบเรียบ เหล่านักเรียนชายต่างพากันหุบปากฉับอีกกลุ่ม
ฟางเสี่ยวิสมเป็เพื่อนที่แสนดีตามบทละคร ตอนที่สองเพื่อนรักจ้าวเสวี่ยอิงและหยางหลิ่งซือไม่ลงรอยในความรัก อีกฝ่ายก็คอยเป็ตัวกลางประสานใจให้กลุ่มจตุรมารไม่แตกคอกัน ในขณะที่จางหนิงเหอ สมาชิกในกลุ่มอีกคนเพียงแค่มองเหตุการณ์ทะเลาะเบาะแว้งนั้นอย่างไม่ยินดียินร้าย
ห้องวีไอพีถูกเปิดเพื่อต้อนรับสมาชิกห้องเรียนของฟางเสี่ยวิ นี่เป็ประสบการณ์ครั้งแรกในการมาคาราโอเกะของท่านจอมมาร ห้องขนาดใหญ่พอบรรจุคนได้เกือบสามสิบคน ฝั่งหนึ่งเป็หน้าจอและลำโพงที่มีหน้าที่บรรเลงดนตรีใดก็ได้จากตัวเลือกที่ร้านมี ส่วนหน้าที่ร้องก็เป็ของลูกค้า
ท่านจอมมารแอบจดนวัตกรรมดังกล่าวไว้ในใจเงียบ ๆ แม้ว่าที่ธานาทอสจะยังไม่มีเทคโนโลยีจำพวกนี้ แต่ก็มีนักดนตรีคุณภาพมากมายให้จ้างมาบรรเลง จากนั้นจึงเก็บค่าบริการลูกค้าที่อยากจะเข้ามาร้องเพลง
บรรยากาศรื่นเริงจากเสียงดนตรีเคล้าคลอไปกับอาหารและเครื่องดื่ม แม้ไฮยาซินท์จะไม่ได้ลุกขึ้นไปร้องเพลงสนุกเฉกเช่นคนอื่น ทว่าแค่เพียงได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศก็พลอยอารมณ์ดีไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
สมัยที่เป็จอมมาร หลังจากบุกยึดหัวเมืองต่าง ๆ ได้ ไฮยาซินท์และเหล่าลูกน้องในสังกัดก็มักจะมาสังสรรค์กันเช่นนี้ บนโต๊ะอาหารขนาดยาว มีจอมมารและเหล่าขุนพลทั้งหกนั่งเรียงราย กินดื่มพลางคุยเื่สัพเพเหระ แล้วเมื่อเมามายด้วยน้ำเมาจนสติล่องลอย มารบางตนก็จะเริ่มลุกขึ้นเต้นแร้งเต้นกาอย่างสนุกสนาน บางตนฟุบหลับไปท่ามกลางกองอ้วก และบางตนก็หัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจขณะดูสหายทำตัวเพี้ยน
ด้วยบรรยากาศเช่นนั้นจึงทำให้ไฮยาซินท์เปิดเผยบรรยากาศผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว
เส้นผมสีเงินเรียบลื่นที่ยามปกติมักถูกจัดแต่งเป็ทรงเวลานี้คลายออก เส้นผมด้านหน้าตกลงมาตามแรงโน้มถ่วง ปิดหน้าผาก พาดผ่านคิ้วเรียว ไปจบที่ดวงตาสีแดงซึ่งกำลังหรี่ลงครึ่งหนึ่งจากความเกียจคร้าน ม่านน้ำตาบาง ๆ ปกคลุมั์ตาสีทับทิมเป็ประกายวิบวับ ริมฝีปากหยักขึ้นเล็กน้อย บางครั้งก็จะหาวหวอดออกมา
เสื้อคลุมขนสัตว์ถูกถอดไปคลุมไว้ที่พนักพิง เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบางยับย่น กระดุมปลดออก เนกไทถูกรูดลงต่ำไม่เรียบร้อยนัก คอเสื้อกว้างและลึกเปิดเผยไหปลาร้าและแผ่นอกขาวผ่องจนแทบจะเป็สีเดียวกับเสื้อวับแวม ดึงดูดสายตาหลายต่อหลายคนภายในห้องคาราโอเกะ ท่อนแขนแกร่งโผล่พ้นออกมานอกแขนเสื้อที่ถูกถกขึ้นจนถึงข้อศอก มองเห็นสายเส้นเืปูดออกมาน้อย ๆ ั้แ่่หลังมือไปจนถึงท่อนแขน
อีกฝ่ายนั่งเท้าคาง ใบหน้าหล่อเหลานุ่มนวลติดจะง่วงงุนเล็กน้อย บางครั้งก็หาวหวอดออกมา ท่าทางคล้ายแมวเปอร์เซียจอมขี้เซาเช่นนั้นดึงดูดสายตาใครต่อใครหลายคนภายในห้อง ผู้หญิงบางคนหน้าแดงก่ำ ท่าทางเสียอาการจนอันซูฮวาต้องแอบหยิกพวกเธอเพื่อเรียกสติ ส่วนผู้ชายก็มีอาการไม่ต่างกันนัก เผลอจับจ้องมองค้างอยู่อย่างนั้น มีหลายครั้งที่พยายามถอนสายตาออกไป แต่สุดท้ายก็ต้องเผลอกลับมาลอบมองอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
ท่านจอมมารไม่ได้รู้ตัวว่าตนเองตกเป็เป้าสายตาของใครหลายคน แต่เพราะรู้ว่าตอนนี้ตนกำลังลดการ์ดป้องกัน แทบจะหลับอยู่รอมร่อจึงเอ่ยบอกเพื่อนร่วมโต๊ะว่าตนจะออกไปสูดอากาศข้างนอก ก่อนที่คนร่างสูงจะเดินจากไป
ทุกสายตามองตามแผ่นหลังของคุณชายสกุลจ้าว ภายในใจล้วนเกิดความคิดอยากลุกตามไปเอาอกเอาใจอีกฝ่าย ทว่าก็ยังลังเลและสงวนท่าทีเนื่องจากไม่อยากเปิดเผยเจตนาการเข้าไปประจบอย่างโจ่งแจ้ง
แต่ในตอนนั้นก็พลันมีเสียงขาเก้าอี้ครูดกับพื้น หยางเจี๋ยลุกขึ้นเดินตรงออกไปจากห้องอย่างไม่ลังเล ทิ้งให้เหล่าเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นได้แต่มองตาเหลือกเนื่องจากพลาดโอกาสการเป็คนแรกเสียแล้ว
ยกเว้นอันซูฮวา เธอรีบลุกขึ้นทำท่าจะพุ่งออกไปจากห้องเป็ลำดับถัดมา แต่ก็ถูกใครบางคนคว้ารั้งเอาไว้
“จะไปไหน” ฟางเสี่ยวิถามยิ้ม ๆ
“ฉันแค่อยากคุยกับอิงอิง”
“ซูฮวาจ๋า โอกาสของเธอน่ะไว้รอบหน้าเถอะ”
“ทำไมนายถึง…”
ฟางเสี่ยวิไม่ได้ตอบ ฝ่ามือที่จับข้อมือบีบแน่นขึ้นจนอันซูฮวานิ่วหน้าไป จำต้องยอมแพ้เดินกระฟัดกระเฟียดกลับไปนั่งที่เดิม
ไฮยาซินท์เดินมายืนหลบอยู่ข้างตัวอาคารร้าน เสียงอึกทึกครึกโครมจากคาราโอเกะตอนนี้เหลือเพียงเสียงแ่เบาราวกับวิทยุที่ถูกหรี่เสียง
ฝ่ามือเรียวยาวหยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมาจุด สูดควันเย็น ๆ วิ่งพล่านเข้าปอด ควันสีเทาถูกพ่นออกมาลอยอ้อยอิ่งไปในอากาศราวกับหมอกควัน ก่อนที่จะสลายเจือจางหายไปกับอากาศ
แม้จะไม่ได้ถึงขั้นเป็สิงห์อมควัน ทว่าท่านจอมมารก็มีรสนิยมชมชอบการเสพยาสูบไม่ใช่น้อย ในโลกของลูเซียโน่ ไฮยาซินท์ไม่ได้ทำเนื่องจากกฎเกณฑ์ความเป็โอเมก้า พอมาโลกนี้แล้วพบว่าเ้าของร่างเป็พวกเสพติดบุหรี่ ไฮยาซินท์จึงถือโอกาสดื่มด่ำกับยาสูบต่างโลก มันไม่ได้นุ่มนวลเท่ายาสูบในโลกเดิมแต่รสชาติก็ดีไม่ใช่น้อย
[อุตส่าห์ชวนหยางเจี๋ยมาด้วย นึกว่าท่านจอมมารจะทำเื่ชั่วช้าอะไรเสียอีก แต่กลับเอาแต่นั่งกินดื่มเฉย ๆ เสียอย่างนั้น… หรือว่าแบดบอยจะกลับใจแล้ว]
นั่นสิ เดี๋ยวกลับเข้าไปหาเื่มอมเหล้าสักหน่อยดีมั้ยนะ
[…]
ในร้านคาราโอเกะไฮยาซินท์ปล่อยให้หยางเจี๋ยได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเกินไปจริง ๆ ขณะกำลังคิดว่าพอกลับเข้าไปจะกลั่นแกล้งตัวเอกของโลกอย่างไรดี คนที่กำลังคิดถึงก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเสียอย่างนั้น
ไฮยาซินท์มองคนที่มาหยุดยืนพิงผนังตึกฝั่งตรงข้าม เลิกคิ้วน้อย ๆ เป็เชิงถาม ไม่คาดคิดเลยว่าตัวเอกจะกล้ามาปรากฏตัวต่อหน้าเขาแบบนี้ แถมยังเป็สองต่อสอง หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้คิดหยิบมีดนั่นมาแทงกะซวกไส้ตน
“ทำไมตอนนั้นนายถึงช่วยฉัน” หยางเจี๋ยเม้มริมฝีปาก ั์ตาสีอำพันกระจ่างที่จับจ้องไฮยาซินท์กำลังวูบไหว “ตอนที่อันซูฮวาใส่ร้ายฉันในโรงยิม”
ไฮยาซินท์อัดควันบุหรี่เข้าปอด ขยับเดินเข้าไปใกล้หยางเจี๋ย ส่วนสูงที่แตกต่างทำให้ตนต้องก้มหน้าลงน้อย ๆ ก่อนพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าอีกฝ่ายจนไอคอกแคก
“จินตนาการเก่งดี” ไฮยาซินท์ดับบุหรี่ หยิบสเปรย์น้ำหอมขึ้นมาฉีดตามตัวเพื่อดับกลิ่น
“ที่นั่นไม่ได้อากาศร้อนขนาดจะทำให้ใครหน้ามืด อีกอย่างนายก็ไม่ใช่สาวน้อยบอบบางที่จะเป็ลมล้มไปเสียหน่อย”
[ว้าวว สมเป็ตัวเอกของโลก ผมนึกว่าจะโง่งมหลงเชื่อท่านจอมมารเหมือนตัวละครอื่นเสียแล้ว]
ไฮยาซินท์เลิกคิ้วน้อย ๆ ไม่ใช่เพราะประหลาดใจเื่ที่ตัวเอกไม่เชื่อ แต่เป็เื่ที่ตัวประกอบดันเชื่อว่าตนเป็ลมจริง ๆ เขานึกว่าที่ผ่านมาที่เ้าพวกนั้นไม่พูดเป็เพราะตนคือคุณชายสกุลจ้าว จึงไม่มีใครกล้าแสดงอาการเคลือบแคลง
ดูท่าข้าจะมีพร์ในการเป็นักแสดงไม่ใช่น้อย
“ทำไมนายถึงทำแบบนั้น นาย้าอะไรกันแน่!” หยางเจี๋ยเห็นว่าไฮยาซินท์เอาแต่เงียบจึงเอ่ยขึ้น ใบหน้าปรากฏความรู้สึกหลากหลายจนไม่อาจแยกได้ “นายทำทุกอย่างนี่ก็เพื่อปั่นหัวฉันเหรอ ทำให้ฉันต้องตกอยู่ในนรกที่นายสร้าง แล้วสุดท้ายก็มาแสร้งทำดี!”
“ไม่รู้สิ อาจจะเป็เพราะฉันรักเธอมั้ง”
ไฮยาซินท์ยักไหล่ หมุนตัวเตรียมจะเดินกลับเข้าไปในร้าน ทว่าจู่ ๆ ฝ่ามือกลับถูกอีกคนคว้าจับ กระชากให้หันหน้ากลับมาอย่างรุนแรง
“นายจะมารักฉันได้ยังไง! พวกนายพูดเองว่าฉันมันคนชั้นต่ำ คนละระดับกับพวกนาย แล้วฉันก็ยัง…” ในทีแรกมันคือความโกรธเกรี้ยว แต่ราวกับว่ายิ่งพูด ความโกรธเกรี้ยวก็จะยิ่งจางหายไป หลงเหลือเพียงความรู้สึกสับสน…
และสุดท้ายคือความรู้สึกผิด
ไฮยาซินท์มึนงงเล็กน้อยกับการจู่โจมที่ไม่คาดคิด ตอนนั้นระบบ 666 ก็โหวกเหวกขึ้นมาดังลั่น
[ท่านจอมมาร! ผมััได้ว่าจิตใจของตัวเอกกำลังสั่นไหว ตอนนี้แหละแผนการเปลี่ยนฝ่ายรับตัวน้อยให้กลายเป็ฝ่ายรุกตัวพ่อ!]
“…” ตอนนี้เนี่ยนะ!?!
แล้วข้าต้องทำอย่างไร…
[ทำตัวเป็โอเมก้าคนสวยผู้น่าทะนุถนอมไง เร็ว!]
ภายในหัวของท่านจอมมารจำต้องรีบเร่งคิดอย่างรวดเร็ว การกลายเป็ฝ่ายรับตัวน้อยสุดอ่อนแอ ตอนนั้นภาพเหตุการณ์ตอนที่ตนพบกับดีเลียนฉากแรกก็ปรากฏแจ่มชัดขึ้นมาในหัว
แทบจะในทันทีทันใด จู่ ๆ ไฮยาซินท์ก็เกิดอาการเสียหลัก ล้มลงไปใส่ยังทิศทางที่หยางเจี๋ยยืนอยู่อย่าง ‘พอดิบพอดี’
“โอ๊ย!”
แม้ส่วนสูงของไฮยาซินท์จะสูงโปร่งกว่าหยางเจี๋ยมาก ทว่าคนตัวเล็กก็รับเขาเข้าสู่อ้อมกอดได้อย่างพอดิบพอดี แผ่นหลังหยางเจี๋ยชนเข้ากับกำแพงด้านหลัง ในขณะที่ทั้งตัวของไฮยาซินท์เทน้ำหนักแนบชิดไปกับร่างกายของหยางเจี๋ย
ระยะห่างของพวกเขาถูกลดลงในฉับพลัน มันใกล้เสียจนไฮยาซินท์สามารถมองเห็นตนเองจากเงาสะท้อนภายในดวงตาสีอำพันที่กำลังสั่นไหวอยู่ กลิ่นหอมหวานของคนตัวเล็กกำลังโอบล้อมรอบกาย
เสียงหัวใจใครสักคนกำลังเต้นดังโครมครามจนราวกับจะหลุดออกมาจากอก
แล้วในตอนนั้นก็พลันมีเสียงดนตรีดังขึ้น
ฟ้าที่ว่างเปล่ากับเช้าที่โหดร้าย
ฝันที่แสนไกลกับใจที่อ่อนล้า [1]
[สนับสนุนโดยกลุ่มเทคโนโลยีจ้าว] เสียงยานคางของระบบ 666 ดังขึ้นไปพร้อมกับเสียงเพลง
ทางที่ต้องเดินกับเท้าที่ต้องฝ่า
ทุกวันฉันเฝ้ามองเธอ
ไฮยาซินท์ผละตัวออกจากอ้อมกอดของหยางเจี๋ย หันซ้ายหันขวาอย่างงุนงง
“เมื่อกี้นายได้ยินเสียงอะไรมั้ย”
[ไม่ได้ยินหรอกครับ ผมเปิดแผ่นเสียงแค่ในหัวของท่านจอมมารเพื่อสร้างบรรยากาศ]
“...”
[เป็ไงครับ! เริ่มรู้สึกอินไปกับความรักโรแมนติกในรั้วโรงเรียน เด็กสาวบ้านจนกับคุณชายเศรษฐีหรือยัง เฮ้อ… พล็อตรักยอดนิยมแบบนี้ย่อมไม่คณามือโฮสต์ของผมหรอก]
“จ้าวเสวี่ยอิง”
เสียงเรียกของหยางเจี๋ยทำให้ไฮยาซินท์ดึงความสนใจกลับมาที่อีกฝ่าย
ขณะเรียกหยางเจี๋ยไม่ได้มองเขาแม้แต่น้อย เ้าตัวก้มหน้า เส้นผมสีดำสนิทตกลงตามแรงโน้มถ่วงปกคลุมใบหน้าจนไม่อาจคาดเดาถึงอารมณ์อีกฝ่ายได้ โทนเสียงเมื่อครู่ที่ใช้เรียกชื่อเต็มเ้าของร่างนี้ก็แปร่งไป
เป็ระยะเวลาเนิ่นนานที่ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างทั้งสอง
[…] ระบบ 666 ที่มองดูภาพนั้นก็ใจสั่น นึกไปถึงฉากหนังสยองขวัญฉากหนึ่งขึ้นมา นี่แฟนฟิกชั่นเื่นี้คงไม่ได้เปลี่ยนหมวดกะทันหันใช่มั้ย ทำไมหยางเจี๋ยจู่ ๆ ก็…
หยางเจี๋ยค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ั์ตาสีอำพันมองลึกเข้ามาในดวงตาเขา
ก่อนที่อีกฝ่ายจะล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบมีดผีเสื้อขึ้นมา เพียงสะบัดมือเบา ๆ คมมีดวาววับก็ปรากฏขึ้น
ใบหน้าเหี้ยมเกรียมของผู้กล้าปรากฏต่อสายตา พร้อมดาบเอกซ์คาลิเบอร์ขนาดย่อส่วน ท่านจอมมารขมวดคิ้วมุ่น ถอยหลังไปสองถึงสามก้าวเพื่อถอยห่างอีกฝ่าย
“นายเลิกใช้มีดนั่นมาขู่ฉันได้แล้ว ขนาดแค่นั้นไม่ได้แทงให้ใครตายได้หรอก” น้ำเสียงและสีหน้าดูคล้ายสงบนิ่ง ทว่าภายในใจของท่านจอมมารกำลังตาเหลือก ฝ่ามือยกขึ้นกอบกุมหน้าท้องตนเองราวเป็ปฏิกิริยาอัตโนมัติ
หยางเจี๋ยเดินตรงเข้ามาหาไฮยาซินท์โดยไม่ได้พูดสิ่งใด แสงไฟถนนส่องสะท้อนเข้ากับคมมีดในมือ
เม็ดเหงื่อผุดพราย หัวใจภายในอกเต้นไม่เป็ส่ำ ดวงตาของไฮยาซินท์จับจ้องมองคนตรงข้ามที่เดินมาหยุดประชิดตัวเขา เตรียมรับมือกับสถานการณ์อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น
คนที่กำลังจะถูกแทงอยู่รอมร่อประคองสติได้อย่างมั่นคง ส่วนระบบ 666 ที่มีตัวตนอยู่ในหัวเขานั้น...
[อ๊ากกกกกกโฮสต์หลบเร็ว!!!]
[อันตรายย!!!]
“...”
ในชั่วขณะที่คิดว่าอีกฝ่ายจะขยับมีดเข้าแทง กลับกลายเป็ว่าจู่ ๆ หยางเจี๋ยก็ยกมือข้างที่ว่างอยู่กอบกุมแก้มของไฮยาซินท์อย่างแ่เบา
“ขอโทษนะ
“...”
กระเป๋าเสื้อของเขาพลันหนักอึ้ง หยางเจี๋ยพับมีดเล่มนั้นหย่อนใส่กระเป๋าเสื้อเขา
“กลัวมากเลยเหรอ ต่อไปจะไม่ทำแล้ว”
น้ำเสียงที่เคยใสกระจ่างแปรเปลี่ยนกลายเป็ทุ้มนุ่ม จังหวะการพูดเนิบนาบ ราวสายน้ำเย็น ๆ ที่กำลังไหลไปตามลำธาร
ฝ่ามือเรียวของคนตัวเล็กบรรจงช่วยติดกระดุมเสื้อไฮยาซินท์จนมิดชิด ปกปิดไหปลาร้าและแผ่นอกขาวผ่อง
“และก็จะไม่มีวันทำอีก”
ใบหน้านี้ยังคงเป็ใบหน้าหวานของหยางเจี๋ย แต่กลับมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบางอย่างที่ไฮยาซินท์สามารถสังเกตเห็นมันได้
ดวงตาสีอำพันที่เคยกระจ่างใสกลายเป็สีทองเรืองรองราวกับแสงตะวัน กลิ่นหอมหวานกลับกลายเป็กลิ่นสดชื่นของผืนป่าบนยอดูเาในฤดูหนาว ความเย็นเยียบอันไม่รู้ที่มากำลังโอบล้อมบรรยากาศ
ราวกับทุกอย่างรอบกายกำลังถูกแช่แข็ง
ยกเว้นก็แต่พื้นที่บริเวณไฮยาซินท์ ดวงตะวันอันอบอุ่นจากั์ตาอีกฝ่ายกำลังอาบไล่โลมเลียไปทั่วร่างเขา
รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยางเจี๋ย
“อิงอิง อย่ากลัวฉันเลย”
วินาทีหนึ่งรอยยิ้มนั้นก็ทำให้ไฮยาซินท์นึกถึงดีเลียน ลูเซียโน่
สามีคนแรกที่ตนแต่งงานจากเจตจำนงของตัวเอง
#จุดจบของวายร้ายคือต้องกลายเป็นายเอกนิยายแฟนฟิก
เชิงอรรถ