เหลยเจิ้นจื่อไม่ได้บอกว่าตนจะทำอะไร เขาทำเพียงยิ้มและเปลี่ยนเื่พูดคุยกับหลัวเลี่ย
คนอื่นมองดูพวกเขาเป็ครั้งคราว
บางคนมองว่าเป็เื่ใหม่ ในขณะที่บางคนรู้จักหลัวเลี่ยอยู่แล้ว พวกเขาค่อนข้างสนใจชายหนุ่มที่เพิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วดินแดนเหยียนหวงคนนี้มาก
แต่แน่นอนว่าย่อมมีคนจำนวนไม่น้อยที่รังเกียจหลัวเลี่ย อย่างเช่นชางจื่อเฟิงและต้วนเหยียนเจี๋ย
ตึง!
มีเสียงตึงดังขึ้น จากนั้นทุกคนก็เงียบเสียงลง
มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งขึ้นมาบนเวที เขายิ้มและพยักหน้าให้กับทุกคน “ข้าเป็ผู้ดำเนินการประมูลในวันนี้ ข้ารู้ว่าเวลาของทุกท่านมีค่า ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็การเสียเวลา ข้าจะไม่กล่าวอะไรมากไปกว่านี้แล้ว”
เขาตบมือ
จากนั้นของประมูลชิ้นแรกก็ถูกนำขึ้นมาบนเวที
มันเป็เสื้อคลุมสีขาวสะอาดปราศจากตำหนิใดๆ
“ต้องมีคนรู้จักของชิ้นนี้แน่ๆ” ผู้ดำเนินการประมูลยิ้ม และเอ่ยต่อ “ของชิ้นนี้เป็ผ้าคลุมที่สามารถกักเก็บไอพลังของผู้ที่สวมใส่ได้ โดยที่แม้แต่ผู้แข็งแกร่งกว่าก็ยากที่จะรับรู้ได้ว่าผู้สวมเป็ใคร ครั้งหนึ่งผ้าคลุมชิ้นนี้เคยถูกใช้โดยผู้แข็งแกร่งที่กอบกู้เมือง” เมื่อผู้ดำเนินการประมูลพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดพูดครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปที่หลัวเลี่ยพร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ อีกครั้ง “ของสิ่งนี้ได้ชื่อว่าเป็ผ้าคลุมวีรชน”
หลัวเลี่ยเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้น
เขาค่อนข้างอ่อนไหวกับคำว่าวีรชนหรือวีรบุรุษ
ชางจื่อเฟิงที่อยู่ข้างหลัวเลี่ยมองไปที่เขาพร้อมกับยิ้มเย็น ราวกับว่าหากหลัวเลี่ยเสนอราคา ตนเองก็จะเสนอราคาตัดหน้าแย่งมันมาจากเขา
หลัวเลี่ยมองชางจื่อเฟิงด้วยหางตา โดยไม่ได้ให้ความสนใจเขานัก
จากนั้นผู้ดำเนินการประมูลก็เสนอราคาเริ่มต้น เป็ราคาหนึ่งร้อยเหรียญจ้าวสมุทร
เหรียญจ้าวสมุทรเป็หินิญญาชนิดหนึ่งที่สามารถใช้เพื่อช่วยในการฝึกฝนวรยุทธ์ได้
“ห้าพันเหรียญจ้าวสมุทร!”
เหลยเจิ้นจื่อเป็คนแรกที่เริ่มเสนอราคา โดยเขาเพิ่มราคาให้ถึงห้าเท่า
ผู้คนรอบข้างต่างมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง เมื่อบรรดาผู้ที่ตั้งใจจะเสนอราคาประมูลเห็นท่าทางที่น่ากลัวและมุ่งมั่นที่จะเอาชนะของเหลยเจิ้นจื่อ พวกเขาก็ไม่กล้าเสนอราคา เพราะกลัวว่าจะทำให้องค์ชายแห่งอาณาจักรใหญ่ขุ่นเคืองใจ
แม้ว่าราคาที่ถูกเสนอขึ้นจะสูงมาก แต่สิ่งของนี้ก็ไม่ได้มีความพิเศษเท่าไรนัก
ดังนั้นเมื่อเหลยเจิ้นจื่อเสนอราคา จึงไม่มีใครเสนอเพิ่มขึ้นไปอีก
เมื่อผู้ดำเนินการประมูลถามสามครั้งติดต่อกันและไม่มีใครตอบ เขาจึงเคาะค้อน เป็อันว่าการประมูลของชิ้นนี้เป็อันเสร็จสิ้น
แต่แทนที่เหลยเจิ้นจื่อจ่ายเงินหลังจบการประมูลแล้วรับของชิ้นนั้นไป เขากลับรับผ้าคลุมวีรชนมาแล้วนำมายื่นให้หลัวเลี่ย “ผ้าคลุมชิ้นนี้เป็สิ่งตอบแทนที่สหายหลัวสอนหลักหยินหยางให้ข้า”
“สหายเหลย...”
เดิมทีหลัวเลี่ยอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นแววตาที่จริงใจของเหลยเจิ้นจื่อ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับผ้าคลุมวีรชนมา
เหลยเจิ้นจื่อประสานมือคารวะหลัวเลี่ยและถอยหลังไป “ขอให้สหายหลัวประสบความสำเร็จ ข้าขอลา!”
เขาไม่พูดอะไรมาก ะโออกจากห้องไปเบาๆ จากนั้นก็มีนกอินทรีบินมาใช้ขาเกี่ยวหลังของเขาแล้วบินออกไป
หลัวเลี่ยเอ่ยอย่างแ่เบาว่า “สหายเหลย ขอบคุณเ้ามาก!”
ในฐานะบุคคลที่เป็จุดสนใจของทุกคน หลัวเลี่ยก็ค่อยๆ เริ่มเข้าใจเื่หลายเื่มากขึ้น
ในฐานะที่เหลยเจิ้นจื่อเป็องค์ชายแห่งอาณาจักรโจว อีกทั้งยังเป็ตัวแทนของชาวอาณาจักรโจว ทุกการเคลื่อนไหวของเขาจึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ดังนั้นการที่เหลยเจิ้นจื่ออยากช่วยเหลือหลัวเลี่ยหรือแสดงความจริงใจนั้น เขาจึงต้องเอ่ยเื่การทดแทนบุญคุณในเื่หลักหยินหยางขึ้นมา
การประมูลยังคงดำเนินต่อไป
สิ่งของชิ้นที่สองคือสนับมือหนึ่งคู่
ผู้ดำเนินการประมูลยังคงทำหน้าที่แนะนำสิ่งของต่อไป “สนับมือคู่นี้มีชื่อว่าสนับมือยุวราช เป็สิ่งที่องค์จักรพรรดิหวงมอบให้โอรสของพระองค์เป็ของขวัญในตอนที่เขายังเป็เด็ก แม้ว่าของสิ่งนี้จะเป็สมบัติวิเศษ ทว่ามันได้ซึมซับกลิ่นอายขององค์จักรพรรดิหวงเอาไว้ ทำให้มันพิเศษมากกว่าสมบัติวิเศษทั่วไป นอกจากนี้มันยังสามารถเติบโตได้อีกด้วย ราคาเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยเหรียญจ้าวสมุทร”
กึก!
เมื่อผู้ดำเนินการประมูลพูดจบ ประตูก็เปิดออกทันที
เดิมทีนี่เป็งานประมูลขนาดเล็กจึงไม่มีข้อกำหนดบางประการที่เป็เื่ปกติของการประมูล ดังนั้นจึงไม่ใช่เื่แปลกที่คนนอกจะสามารถเข้ามาได้
หลัวเลี่ยรู้จักคนที่เพิ่งเข้ามา
เขาคือหยางเสี้ยวเสีย ผู้มากฝีมือจากสำนักบรรพชนหรานเติง!
เขาเป็คนที่ทำให้หลัวเลี่ยระแคะระคายเื่ที่สมบัติรูปัมีความเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิประจิมไท่อี
“หนึ่งพันห้าร้อยเหรียญจ้าวสมุทร”
ในขณะที่หยางเสี้ยวเสียเดินเข้ามา เขาก็เริ่มประมูลทันทีโดยเพิ่มราคาขึ้นถึงห้าเท่า
ประวัติของหยางเสี้ยวเสียนั้นไม่ธรรมดาเลย สถานะของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าเหล่าองค์ชาย ส่งผลให้ไม่มีใครกล้าเสนอราคาสู้ ไม่มีใครคิดว่าหยางเสี้ยวเสียจะเดินเข้ามาเพราะสนับมือยุวราช
ส่วนชางจื่อเฟิงที่คิดจะประมูลในตอนแรกขมวดคิ้วและไม่ได้เพิ่มราคาสู้
ต้วนเหยียนเจี๋ยก็สับสนเช่นกัน
เมื่อผู้ดำเนินการประมูลเห็นเช่นนี้ เขาก็รู้สึกหมดหนทาง และทำเพียงถามอีกสามครั้งติดต่อกัน เมื่อไม่มีใครเสนอราคาสู้ เขาก็เคาะค้อนเพื่อแสดงออกว่าการซื้อขายนี้สำเร็จแล้ว
หยางเสี้ยวเสียเดินไปทำการซื้อขายด้านหน้า รับสนับมือยุวราชมาแล้วยื่นให้หลัวเลี่ย เขาทำเช่นเดียวกับการกระทำของเหลยเจิ้นจื่อเมื่อครู่
“สหายหยาง นี่คือ?” หลัวเลี่ยััได้ถึงบางอย่าง
หยางเสี้ยวเสียกล่าวว่า “ขอบคุณพี่หลัวมากสำหรับคำแนะนำเกี่ยวกับหลักหยินหยาง ข้าขอขอบคุณท่านด้วยสนับมือคู่นี้”
หลัวเลี่ยยังคงเงียบ
“สหายหลัวรับสิ่งของจากเหลยเจิ้นจื่อได้ แต่จะไม่รับสิ่งของจากข้าหรือ ท่านไม่คิดว่าข้า...” ก่อนที่หยางเสี้ยวเสียจะพูดจบหลัวเลี่ยก็เอื้อมมือไปหยิบมันแล้ว
เมื่อหยางเสี้ยวเสียยกเื่นี้ขึ้นมาพูด ดังนั้นหลัวเลี่ยจะไม่รับก็ไม่ได้
หยางเสี้ยวเสียประสานมือคารวะหลัวเลี่ยเช่นเดียวกับเหลยเจิ้นจื่อพร้อมกับถอยหลังไป “ขอให้สหายหลัวทำสำเร็จ ข้าลาก่อน!"
ทันใดนั้นเขาก็ะโออกจากห้องและลอยออกไปทันที
หลัวเลี่ยมองไปยังผ้าคลุมและสนับมือที่อยู่ในมือของเขา พร้อมนึกถึงการประมูลเมื่อครู่ และทันใดนั้นเขาก็เริ่มเข้าใจบางอย่าง
พวกเขาทั้งหมดล้วนเสนอราคาเพิ่มขึ้นห้าเท่า
ห้าในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่าข้า หรือก็คือหมายถึงความจริงใจของข้า!
ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงเกือกม้าดังมาจากข้างนอก
มีคนนำม้าเข้ามาในงานประมูลโดยไม่สนใจผู้ที่จัดประมูล
“ตระกูลข่ง ข่งเหรินเจี๋ย!”
เมื่อชางจื่อเฟิงเห็นคนคนนี้ รูม่านตาของเขาก็หดตัวลง
ข่งเหรินเจี๋ยโด่งดังมาก กล่าวกันว่าสติปัญญาของเขานั้นไม่มีใครเทียบได้และเป็รองเพียง ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ แต่วรยุทธ์ของเขากลับย่ำแย่มาก แต่หลังจากได้รับหยาดจันทร์นิรวานจากหลัวเลี่ยไป วรยุทธ์ของเขาก็มีพัฒนาการแบบก้าวะโขึ้นมาทันที
คนผู้นี้ได้รับการยอมรับจากข่งเซวียน และจะต้องได้รับการฝึกฝนวิชาทั้งหมดของข่งเซวียน เขาถูกกำหนดให้เป็บุคคลที่ทรงพลังในอนาคตอันใกล้
สิ่งที่ข่งเหรินเจี๋ยนำมาคือม้าตัวหนึ่งที่มีสีขาวราวกับหิมะ ดูแปลกตาและมีกลิ่นอายของั
เขาจูงมันเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าหลัวเลี่ย
“ข้าคือข่งเหรินเจี๋ยจากตระกูลข่ง ข้าสามารถเริ่มเส้นทางวรยุทธ์ได้เพราะหยาดจันทร์นิรวานของสหายหลัว ดังนั้นข้าจึงอยากจะตอบแทนท่าน นี่คืออาชาเดือนดารัญ ข้าขอมอบมันให้สหายหลัว” ข่งเหรินเจี๋ยยื่นสายบังเหียนของอาชาเดือนดารัญให้หลัวเลี่ย
อาชาเดือนดารัญเป็หนึ่งในอาชาที่งดงามที่สุดในปัจจุบัน
สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดคืออาชาเดือนดารัญไม่เพียงขึ้นชื่อว่าเดินทางได้สามพันลี้ต่อวัน มันยังสามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้า และยังสามารถดำลงไปในน้ำได้อีกด้วย กล่าวกันว่ามันมีศักยภาพมากที่สุดในบรรดาอาชาจนเทียบได้กับัเืบริสุทธิ์
แม้หลัวเลี่ยจะไม่รู้ว่าข่งเหรินเจี๋ยรู้เื่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลข่งหรือไม่ แต่เขาก็เข้าใจว่านี่คือลักษณะของคนในตระกูลข่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้เขารับสิ่งของจากเหลยเจิ้นจื่อและหยางเสี้ยวเสียมาแล้ว ดังนั้นจะไม่รับสิ่งของจากตระกูลข่งก็ไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อในสายตาของคนนอกเขาเป็คนล้างแค้นให้กับข่งเยวี่ยเจินโดยการสังหารไก้อู๋ซวง
“ขอบคุณมาก” หลัวเลี่ยรับสายบังเหียน
ข่งเหรินเจี๋ยยิ้มเล็กน้อย “ข้าขอให้สหายหลัวประสบความสำเร็จ ลาก่อน!"
เมื่อเขาให้ของแล้วเรียบร้อย เขาก็ลอยออกไป
แต่เมื่อผู้คนคิดว่าถึงเวลาประมูลแล้ว ก็มีคนเดินเข้ามาอีกครั้ง
คนที่เข้ามาคือชายหนุ่มที่มีลักษณะค่อนข้างธรรมดา เขาไม่รู้จักชางจื่อเฟิงและข่งเหรินเจี๋ย
ชายหนุ่มเดินตรงไปหาหลัวเลี่ย “ข้าคือเหวินทิงอวี่ศิษย์จากสำนักบรรพชนลู่ยา คารวะสหายหลัว”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นใ
บรรพชนที่ลึกลับที่สุดคือบรรพชนลู่ยา บางคนที่ประเมินความแข็งแกร่งของเหล่าบรรพชนไม่ได้พูดถึงบรรพชนลู่ยาเพราะเขาลึกลับเกินไป ลึกลับจนไม่มีใครรู้ที่มาและรู้ว่าความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับใด
หลังจากที่ไก้อู๋ซวงเกิดได้มีการจัดลำดับความแข็งแกร่งของเหล่าบรรพชนขึ้น ซึ่งเมื่อผลออกมาทุกคนก็ต้องแปลกใจ เพราะบรรพชนลู่ยามีความแข็งแกร่งเป็ลำดับที่สอง สุดท้ายทุกคนก็คิดว่าการจัดลำดับนี้มีที่มาจากบรรพชนอูอวิ๋นเซียน เพราะไก้อู๋ซวงเป็ผู้เอ่ยถึงเื่นี้
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ นั่นคือความลึกลับของสำนักของบรรพชนลู่ยา และศิษย์ในสำนักนี้ก็มีความลึกลับเช่นกัน มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักพวกเขา
“ที่แท้ก็เป็สหายเหวิน” หลัวเลี่ยกล่าวอย่างสุภาพ
เหวินทิงอวี่หยิบกระบี่ด้ามยาวออกมาแล้วเอ่ยว่า “ผ้าคลุมสีขาว ม้าสีขาว สนับมือสีขาว หลัวเลี่ยเ้าเป็ดั่งองค์ชายขี่ม้าขาว ในเมื่อเป็องค์ชายจะขาดกระบี่ได้อย่างไร ข้าขอมอบกระบี่องค์ชายให้เ้า ขอให้เ้าเดินทางราบรื่น และขอให้เ้าได้พบกับลูกปัดูเา แม่น้ำ สายลม และสายฝนอย่างรวดเร็ว” เขาวางกระบี่ลงไปในมือของหลัวเลี่ยแล้วก้าวถอยหลัง “ลาก่อน!”
จากนั้นเหวินทิงอวี่ก็จากไปเช่นกัน
เมื่อเทียบกับคำพูดสละสลวยของสามคนแรก คนคนนี้กล่าวได้ตรงไปตรงมากว่ามาก เขาไม่ได้คำนึงถึงคำพูดของบรรพชนอูอวิ๋นเซียน และยังบอกให้หลัวเลี่ยตามหาลูกปัดูเา แม่น้ำ สายลม และสายฝนให้เจอโดยเร็วอีกด้วย
หลัวเลี่ยมองไปที่สิ่งของทั้งสี่ ทั้งอาชาดารัญ สนับมือยุวราช ผ้าคลุมวีรชน และกระบี่องค์ชาย ในใจของเขาได้แต่คิดว่า ที่แท้โลกใบนี้ก็ไม่ได้หนาวเหน็บอีกต่อไปแล้ว