ยามอรุณรุ่งเรืองรอง แสงสุริยันแรกผุดพ้นขอบฟ้า สาดส่องสีทองทาบทาทั่วผืนแผ่นดิน ลอดผ่านร่องรอยปริแตกของบานหน้าต่างไม้ ต้องใบหน้าคมสันของอวี้เหวิน เป็สัญญาณแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ ท้องนภาสีครามสดใส ไร้ซึ่งเมฆามาบดบัง หมู่นกเหล่าสกุณาน้อยใหญ่ต่างขับขานเสียงเพลงอันไพเราะ ดังก้องกังวานไปทั่วป่า ระหว่างที่พวกมันโผบินออกหาอาหารในยามเช้า
อวี้เหวินค่อยๆ ลืมตาตื่นจากนิทรา ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามวิถีแห่งผู้ฝึกตน ก่อนที่แสงตะวันจะทอเต็มฟ้า เขาจะฝึกฝนร่างกายเสริมสร้างความแข็งแกร่ง เพื่อเป็รากฐานอันมั่นคงในการบ่มเพาะพลังปราณในภายภาคหน้า วันนี้ก็เช่นเคย ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม "ฟึ่บ! ฟึ่บ!" เสียงหมัดหนักแน่นผสานกับการเคลื่อนไหวที่ว่องไว นี่เป็่ท้ายของการฝึกกายา เหงื่อที่ไหลรินชุ่มโชกอาภรณ์เนื้อหยาบที่สวมใส่ เป็ดั่งเครื่องยืนยันถึงความมานะพากเพียรในการขับพิษและสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย
เมื่อสุริยันเพิ่งจะฉายรัศมีเจิดจ้า อวี้เหวินหลังจากรับประทานอาหารเช้าที่เพียงพอต่อการบำรุงกำลังเสร็จสิ้น จึงเตรียมตัวออกเดินทางสู่พงไพรบนยอดเขา เขาจัดเตรียมธนู คันศร และมีดล่าสัตว์ต่างๆ ใส่ลงในย่ามหนังที่สะพายอยู่ด้านหลัง ขณะที่เขากำลังตรวจตราความพร้อมของสัมภาระ เสียงทุ้มนุ่มแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยก็ดังขึ้น
"เหวินเออร์ เ้าจะไปแล้วหรือ?"
อวี้เหวินหันกายไปยังทิศทางของเสียงนั้น ปรากฏร่างของผู้เป็บิดา ผู้มีใบหน้าคมคายแต่ยังคงปรากฏร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้า ดวงตาของเขาทอประกายแห่งความเมตตาและห่วงใย
"ขอรับท่านพ่อ แสงอรุณเพิ่งจะจับขอบฟ้า ลูกเกรงว่าการเดินทางอาจยาวนาน จึงใคร่ขอออกเดินทางแต่เนิ่นๆ เพื่อมิให้พลบค่ำเสียก่อน"
"ดี...เ้าจงไปเถิด แต่จงจำไว้ อย่าได้ประมาทหรือใจร้อน หากพบพานสิ่งใดผิดปกติ จงรีบถอยกลับมาโดยเร็ว ชีวิตของเ้าสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด" สายตาของผู้เป็บิดามองไปยังบุตรชายด้วยความเป็กังวลอย่างลึกซึ้ง ขุนเขาลูกนี้เป็ที่เลื่องลือถึงความอันตราย เคยกลืนกินชีวิตของผู้คนมามากมาย ั้แ่ยุคโบราณ แม้บริเวณตีนเขาจะมิปรากฏสัตว์อสูรร้ายกาจ แต่ใครเล่าจะหยั่งรู้ถึงภัยซ่อนเร้นที่อาจแฝงตัวอยู่ การระมัดระวังไว้ก่อนย่อมประเสริฐกว่าการแก้ไขเมื่อภัยมาถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของตนเอง
"ขอรับ ข้าจักจดจำคำสั่งสอนของท่านไว้ในใจ ข้าจะไม่ประมาทและจะไม่ทำให้ท่านต้องเป็ห่วง ท่านพ่อโปรดวางใจเถิด" อวี้เหวินรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและแววตาที่แน่วแน่
เพียงชั่วครู่หลังจากนั้น อวี้เหวินจึงก้าวพ้นธรณีประตูเรือนไป แสงสุริยันยามเช้าสาดส่องอบอุ่นลงบนแผ่นหลังของเขา เท้าทั้งสองเหยียบย่ำบนพื้นดินลูกรังที่ขรุขระ มีทั้งส่วนที่เป็ดินแข็งกระด้าง บ้างก็เป็แอ่งน้ำเล็กๆ ที่ยังคงมีน้ำค้างหลงเหลืออยู่ บ้างก็มีก้อนหินน้อยใหญ่โผล่พ้นพื้นดิน
ทุกย่างก้าวของอวี้เหวินเต็มไปด้วยความระมัดระวัง หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว... "กุบกับ...กุบกับ..." เสียงล้อรถม้าไม้เก่าคร่ำคร่า บดเบียดกับพื้นถนนดังสนั่น วิ่งสวนทางกับอวี้เหวินไปด้วยความเร่งรีบ ม้าเทียมสองตัวส่งเสียงฮี้เบาๆ พลางสะบัดแผงคอ ฝุ่นดินสีน้ำตาลฟุ้งกระจายขึ้นสูง ล่องลอยไปตามกระแสลมยามเช้า
"แค่ก...แค่ก..." อวี้เหวินยกแขนเสื้อขึ้นปิดปากพลางไอออกมา ใบหน้าคมสันขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลดมือลงแล้วโบกสะบัดไล่ฝุ่นในอากาศ เขาสั่นศีรษะเบาๆ อย่างระอาใจ ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไป
เมืองที่เขาอาศัยอยู่มิได้โอ่อ่าใหญ่โตนัก แต่กลับมีชีวิตชีวาและคลาคล่ำไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างเร่งรีบเดินขวักไขว่เพื่อหาที่พักพิง บ้างจับจองพื้นที่ริมทางเท้า ตั้งแผงนำสินค้าพื้นเมืองนานาชนิดออกมาวางขาย บ้างเป็พ่อค้าเร่ที่ใช้เส้นทางนี้เพื่อเดินทางไปยังเมืองอื่นที่อยู่ไกลออกไป เสียงพูดคุยต่อรองราคาสินค้าดังเซ็งแซ่ ปะปนกับเสียงร้องขายของของพ่อค้าแม่ค้า
"เ้าหนุ่ม...เข้ามาดูก่อนเถิด" เสียงแหบพร่าของชายชราดังขึ้นจากแผงลอยเล็กๆ ริมทาง อวี้เหวินชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย มองไปยังชายชราผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ิัเหี่ยวย่นราวเปลือกไม้ที่นั่งอยู่หลังแผงที่วางสินค้ากระจุกกระจิก
"ข้าเดาว่าเ้ากำลังจะออกไปล่าสัตว์ นี่คือขนของเสืออัคคี" ชายชรายกแผ่นหนังสีส้มลายดำขึ้นมาโชว์ ดวงตาขุ่นมัวเป็ประกาย "กลิ่นสาปของมันจะช่วยเ้าได้มากทีเดียว เจอกับเ้าในวันนี้ถือเป็โชคชะตา ข้าจะลดราคาให้เ้าเป็พิเศษ เหลือเพียงห้าร้อยเหรียญทองแดงเท่านั้น" ชายชรากล่าวพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันหน้าที่เหลืออยู่เพียงสองซี่ที่ดูคลอนแคลนอย่างจริงใจ
"ขอบคุณท่านมากขอรับ แต่ข้าเกรงว่าจะมิใคร่จำเป็ ท่านเก็บไว้ขายให้ผู้อื่นเถิด" อวี้เหวินประสานมือคารวะเล็กน้อย พร้อมกับส่ายศีรษะและส่งยิ้มสุภาพตอบกลับไป
ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองแผ่นหนังในมือชายชราอย่างพิจารณา เสืออัคคี แม้เขาจะยังไม่เคยพบเห็นด้วยตาตนเอง แต่ก็เคยได้ยินเื่ราวจากนักล่าคนอื่นๆ มาบ้าง ในฐานะนักล่าสัตว์ป่าผู้ช่ำชอง มันเป็อสูรระดับต่ำเฉกเช่นหมาป่าอสูร สิ่งล้ำค่าที่สุดของมันคือเขี้ยวยาวทั้งสองข้าง ซึ่งมีราคาสูงถึงสิบเหรียญเงินในตลาด ขนของมันแม้มิได้มีค่าเท่าเขี้ยว แต่ก็ถือเป็ของจากสัตว์อสูร หากสิ่งที่ชายชราผู้นี้กล่าวเป็ความจริง เหตุใดราคาจึงต่ำถึงเพียงนี้ สุดท้ายคงเป็เพียงอุบายหลอกลวงเพื่อหวังรีดไถเงินจากเด็กหนุ่มเท่านั้น
"จะไม่รับไว้จริงๆ หรือพ่อหนุ่ม?" ชายชราเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองอวี้เหวินด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความสงสัยระคนผิดหวัง
"ของดีหายากเช่นนี้ ต่อให้เ้าใช้เวลาทั้งชีวิตตามหา ก็มิอาจพบเจอโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว หรือว่ายังคงเเพงไป? เช่นนั้นพ่อหนุ่ม ข้าจะลดให้เ้าพิเศษสุดๆ เหลือเพียงสามร้อยเหรียญทองแดงเท่านั้น จะเอารึไม่?" ชายชราโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงเริ่มเปลี่ยนเป็คะยั้นคะยอแกมข่มขู่เล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอวี้เหวินมิได้แสดงความสนใจในสินค้าของตนแม้แต่น้อย
แต่อวี้เหวินก็ยังคงก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน สายตามองตรงไปข้างหน้า โดยมิได้หันกลับไปสนใจเสียงของชายชราผู้นั้นแม้แต่คำเดียว ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด
"หึ...เด็กสมัยนี้ช่างเฉลียวฉลาดนัก ผิดกับข้าเมื่อเยาว์วัยราวฟ้ากับดิน" ชายชรามองตามแผ่นหลังของอวี้เหวินที่เดินห่างออกไป ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางสบถในใจและหวนรำลึกถึงเื่ราวในอดีตเมื่อครั้งยังเป็เด็กหนุ่ม นึกถึงเื่ที่ตนเองเคยถูกหลอกลวงด้วยอุบายเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็พลันปรากฏร่องรอยแห่งความละอายใจ เขาจึงรีบสงบจิตใจ ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็ปกติ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลซึมตามไรผม ครู่นึง เขาก็เริ่มกล่าวเชิญชวนผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้มาซื้อสินค้าของตนอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิม
ในแคว้นตงชิงอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เงินตราที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนนั้นมีอยู่สี่สกุลหลัก เรียงตามลำดับค่าจากน้อยไปมาก ได้แก่ เหรียญทองแดงอันเป็หน่วยต่ำสุด เหรียญเงินที่สูงค่าขึ้นมา เหรียญทองอันล้ำค่า และเหรียญเพชรซึ่งเป็ดั่งอัญมณี โดยมีอัตราส่วนในการแลกเปลี่ยนอันเป็ที่เข้าใจโดยทั่วกันคือ หนึ่งเหรียญเงินมีค่าเท่ากับหนึ่งพันเหรียญทองแดง หนึ่งเหรียญทองมีค่าเท่ากับหนึ่งพันเหรียญเงิน หรือเทียบเท่าหนึ่งล้านเหรียญทองแดง และหนึ่งเหรียญเพชรนั้นเลอค่าถึงหนึ่งพันเหรียญทอง หรือคิดเป็จำนวนมหาศาลถึงหนึ่งพันล้านเหรียญทองแดง
ด้วยอัตราส่วนดังกล่าว หากขนของเสืออัคคีแท้ๆ มีราคาสูงล้ำถึงหนึ่งเหรียญเงิน นั่นย่อมหมายถึงมันมีมูลค่าหนึ่งพันเหรียญทองแดง การที่ชายชราผู้นั้นเสนอขายในราคาเพียงสามร้อยเหรียญทองแดง มิใช่เป็การลดทอนคุณค่าจนน่าขันหรอกหรือ? ทั้งยังส่อเจตนาอันไม่สุจริตอีกด้วย คงมิมีผู้ใดที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดคิดกระทำการอันไร้เหตุผลเช่นนั้นเป็แน่
เมื่ออวี้เหวินเหยียบย่างเข้าสู่ตีนเขา ไออุ่นจากผืนดินและกลิ่นหอมของใบไม้ใบหญ้าก็โชยมาแตะต้องประสาทัั เขาทอดถอนลมหายใจยาว คลายความตึงเครียดจากบรรยากาศในเมืองลงเล็กน้อย ทว่าในขณะเดียวกัน สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอดก็ทำงานอย่างเข้มข้นขึ้น ทุกท่วงท่าจึงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง
พลันสายตาคมกริบดุจเหยี่ยวของเขาก็จับจ้องไปยังพุ่มไม้รกทึบเบื้องหน้า เห็นกระต่ายป่าตัวหนึ่งกำลังนั่งแทะเล็มหญ้าอ่อนอย่างเพลิดเพลิน ใกล้กับโคนต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านร่มรื่น อวี้เหวินย่างก้าวเข้าไปอย่างเชื่องช้า แ่เบาราวกับิญญาที่ล่องลอยในสายลม เพื่อป้องกันมิให้กระต่ายตื่นตระหนกและหลบหนี เมื่อเข้าสู่ระยะที่มั่นใจ เขาก็หยิบหน้าไม้ออกมาจากย่ามหนังที่สะพายอยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วแข็งแรงแต่คล่องแคล่วดึงสายหน้าไม้ให้ขึ้นลำอย่างเงียบเชียบ จากนั้นวางลูกศรที่เหลาจากไม้เนื้อดีอย่างประณีตบรรจงตรงกลางราง อวี้เหวินใช้สายตาอันเฉียบคมดุจอินทรีเล็งไปยังกระต่ายตัวนั้น ลมหายใจถูกกลั้นไว้ชั่วขณะ ราวกับเวลาหยุดนิ่ง
"ฉึก!" เสียงลูกศรแหวกอากาศดังแ่เบา ราวกับเสียงกระซิบ พุ่งตรงเข้าปักที่ลำคอของกระต่ายตัวนั้นอย่างแม่นยำราวกับจับวาง เมื่อแน่ใจว่าเหยื่อสิ้นลมแล้ว เขาก็เดินเข้าไปจับที่หูยาวนุ่มของมันแล้วดึงขึ้นมาใส่ในย่ามด้วยท่าทางคล่องแคล่ว เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่พบพานสัตว์ที่สามารถนำมาทำเป็อาหารได้ โดยมิได้เสียเวลาแม้แต่น้อย
เมื่อถึงยามเที่ยงวัน แสงสุริยาส่องตรงลงมายังกลางศีรษะ อวี้เหวินจึงหยุดพักใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มเย็น สายลมพัดโชยมาเบาๆ พัดพาเอาความเหนื่อยล้าให้จางหายไป เขานั่งลงบนพื้นหญ้านุ่ม หยิบเอาอาหารแห้งและน้ำสะอาดที่เตรียมมาออกมาเติมพลังให้กับร่างกาย
หลังจากการพักผ่อนอันสั้นๆ ที่ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้น สิ้นสุดลง เขาก็เริ่มออกล่าสัตว์และหาของป่าอีกครั้ง ตระเวนไปทั่วบริเวณรอบนอกของขุนเขาได้พักใหญ่ ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจีและเสียงนกร้องขับขาน จึงพลันพบเข้ากับกระบือป่ารูปร่างอ้วนพีตัวหนึ่ง กำลังเล็มหญ้าอยู่อย่างสบายอารมณ์
เพียงแค่เห็นรูปร่างที่สมบูรณ์และแข็งแรงนั้น ในความคิดของอวี้เหวินก็พลันปรากฏภาพรสชาติอันโอชะของเนื้อกระบือ ย่างหอมกรุ่น อีกทั้งเดิมทีเขาตั้งใจจะหาสัตว์ใหญ่สักตัวเพื่อนำกลับไปเป็อาหารให้กับบิดาผู้เป็ที่รัก เขาจึงย่องตามกระบือตัวนั้นไปอย่างเงียบเชียบ ระมัดระวังทุกฝีก้าว มิให้ส่งเสียงใดๆ รบกวน
กระบือตัวนี้กลับมีความประหลาดอย่างยิ่ง แม้รูปร่างของมันจะอ้วนกลมและท่าทางการเคลื่อนไหวจะดูเนิบนาบเชื่องช้า ราวกับมิมีพิษสงใด แต่ไม่ว่าอวี้เหวินจะเร่งฝีเท้าวิ่งไป หรือย่องตามอย่างระมัดระวังเพียงใด มันก็สามารถหลุดรอดจากการจับกุมของเขาไปได้ทุกครั้ง สิ่งนี้สร้างความฉงนให้กับอวี้เหวินเป็อย่างมาก ราวกับกระบือตัวนี้มีญาณวิเศษ หรือมีผู้ใดคอยชี้แนะแนวทางให้มันหลบหนีก็มิปาน
"กระบือป่าตัวนี้น่าประหลาดพิกล ด้วยทรวดทรงอ้วนพีกลมกลึงราวกับโอ่งดินเผาของมัน เหตุใดจึงสามารถเคลื่อนกายได้ว่องไวนัก! ช่างเป็เื่ที่น่าโมโห ข้ายิ่งทุ่มเทกำลังติดตาม มันกลับยิ่งทิ้ง่ห่างออกไป!" อวี้เหวินคำรามในลำคอด้วยความขุ่นเคือง โลหิตในกายสูบฉีดแรงขึ้นจนรู้สึกได้ เขาฝืนเร่งฝีเท้า หมายจะย่นระยะห่างให้ใกล้เคียง
เวลาล่วงเลยไปอีกพักใหญ่ แสงสุริยาเริ่มทอประกายสีส้มทอง บ่งบอกถึงยามบ่ายคล้อย อวี้เหวินรู้สึกถึงลมหายใจที่เริ่มหอบกระชั้นถี่รัว ราวกับปอดจะฉีกขาดด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการไล่ล่ากระบือน้อยตัวนั้นจนต้องหยุดยืนพักชั่วครู่ หยาดเหงื่อไหลรินอาบแก้มคมสัน ทว่าเ้ากระบือน้อยกลับยังคงโลดแล่นวิ่งเต้นไปมาอย่างสบายอารมณ์ มันชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย หันศีรษะมาทางอวี้เหวิน ดวงตากลมโตสีดำขลับดูราวกับกำลังท้าทายและเยาะเย้ยในความไร้สามารถของเขา พลางกระดิกหางสั้นๆ ไปมาอย่างยียวนกวนโทสะ
"ฮึ่ม! เ้ากระบือน้อย เ้ามีสิ่งใดให้ข้าต้องอับอายขายหน้ากัน!" อวี้เหวินกำมือแน่น เขาเข้าใจในท่าทีที่ยั่วยุของมัน จึงรู้สึกราวกับถูกดูแคลนเหยียดหยาม เขากัดฟันกรอด รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ทั้งหมด ออกวิ่งไล่ตามมันอีกครั้ง
ฝ่ายเ้ากระบือน้อย บางคราก็หยุดฝีเท้าลงเล็มหญ้าอ่อนอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับมิได้มีสิ่งใดน่ากังวล บางคราก็ส่ายบั้นท้ายกลมกลึงไปมาอย่างยั่วเย้า บางคราก็จงใจรอให้อวี้เหวินใกล้เข้ามาจนแทบจะคว้าถึง แล้วจึงออกวิ่งนำไปอีกครั้ง ทว่ายิ่งอวี้เหวินทุ่มเทกำลังไล่ตาม เขากลับยิ่งรู้สึกเหมือนระยะห่างระหว่างเขากับมันนั้นถ่างกว้างออกไปเรื่อยๆ พลังกายที่สะสมมาเริ่มจางหาย ลมหายใจถี่กระชั้นราวกับจะขาดห้วง ความฉงนในใจก็ยิ่งทวีคูณจนแทบคลั่ง
'ข้าไล่ตามมันมาตลอดเส้นทาง กลับมิได้พบพานสัตว์อื่นแม้แต่เงา เหตุใดป่าแห่งนี้จึงเงียบสงัดผิดปกติเช่นนี้?' อวี้เหวินขมวดคิ้วมุ่นเป็ปม คิดอย่างหนักหน่วง เขาพลันชะลอฝีเท้าลงอีกครั้ง แล้วหันไปสำรวจป่าโดยรอบอย่างละเอียด
ต้นไม้แต่ละต้นสูงเสียดฟ้า ลำต้นใหญ่โตจนต้องใช้คนหลายคนโอบ ใบไม้สีเขียวเข้มหนาทึบจนแสงสุริยาแทบส่องลอดลงมาไม่ถึง พื้นป่าเต็มไปด้วยพุ่มไม้รกครึ้มและเถาวัลย์พันเกี่ยว ราวกับเป็ป่าดึกดำบรรพ์ที่มิเคยมีผู้ใดรุกล้ำ ความหนาแน่นของพืชพรรณนั้นแตกต่างจากป่าโปร่งที่เขาเดินผ่านมาเมื่อตอนเช้าอย่างสิ้นเชิง ป่าแห่งนี้ดูแปลกตาและไม่คุ้นเคยสำหรับเขาแม้แต่น้อย ราวกับเขาหลงเข้ามาในอีกโลกหนึ่ง
'เเย่แล้ว! หรือว่า...' ความคิดอันน่าสะพรึงกลัวสายหนึ่งแล่นปราดเข้ามาในสมองของอวี้เหวิน ทำให้โลหิตในกายเย็นเยียบไปจนถึงกระดูกสันหลัง เส้นผมทั่วศีรษะลุกชันขึ้นมาทันที
'ทุกสิ่งทุกอย่างดูผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม ขนาดใหญ่โตเกินกว่าปกติ สภาพแวดล้อมอุดมสมบูรณ์จนน่าประหลาด ข้าได้ย่างก้าวล่วงล้ำเข้ามาในดินแดนของสัตว์อสูรแล้วหรือนี่!' เขาหยุดวิ่งโดยพลัน ยืนตระหง่านอยู่กับที่ ราวกับถูกตรึงด้วยมนต์สะกด เร่งความคิดอย่างหนักหน่วงเพื่อหาทางออกจากสถานที่แห่งนี้ หากสิ่งที่เขาสันนิษฐานเป็ความจริง การเข้ามาในเขตแดนของสัตว์อสูรเช่นนี้ ย่อมกล่าวได้ว่าหายนะอันยิ่งใหญ่ได้มาเยือนแล้ว เพราะเขาเป็เพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง แม้จะต้องเผชิญหน้ากับอสูรชั้นต่ำที่สุด ก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอคอยเขาอยู่เบื้องหน้า ความหวาดหวั่นกัดกินหัวใจของเขาจนแทบจะแหลกสลาย
ทางด้านเ้ากระบือน้อย เมื่อเห็นอวี้เหวินหยุดยั้งการไล่ล่าลงโดยฉับพลัน ใบหน้าเล็กๆ ที่เคยตื่นตระหนกกลับปรากฏร่องรอยแห่งความพึงพอใจปนเย้ยหยัน ราวกับจะส่งคำพูดออกมาว่า 'สมน้ำหน้าคิกๆๆ' พร้อมกับะโโลดเต้นอย่างร่าเริง หายลับเข้าไปในดงพุ่มไม้หนาทึบที่อยู่เบื้องหน้าในชั่วพริบตา ทิ้งไว้เพียงร่องรอยการเคลื่อนไหวบนพื้นดิน
อวี้เหวินที่กำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดอันหนักอึ้ง ใบหน้าคมสันปรากฏร่องรอยแห่งความเคร่งเครียด ดวงตาเข้มดุจเหยี่ยวจับจ้องไปยังผืนดินเบื้องหน้า ราวกับกำลังคำนวณหาทางออก จึงมิได้ใส่ใจต่อการกระทำอันแสนยียวนของเ้ากระบือน้อย
"มีเพียงต้องหันหลังกลับ และมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดิมที่ข้าจากมาเท่านั้น" เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ราวกับเป็การให้สัตย์ปฏิญาณแก่ตนเอง พร้อมกับค่อยๆ หมุนกายกลับไปอย่างช้าๆ ทว่าในเสี้ยววินาทีที่สายตาของเขาปะทะเข้ากับทิวทัศน์เื้ั แสงสว่างเรืองรองผิดปกติพลันวาบเข้ามาในม่านตาของเขา...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้