ศิษย์น้อยทั้งสองไม่มีเจตนาที่จะปิดบังเื่นี้กับเขา ท้ายที่สุดแล้วชีวิตของจักรพรรดิอู่อาจกล่าวได้ว่าเป็เื่ที่ผู้คนในใต้หล้าล้วนรับรู้ เมื่อถูกถามจึงเล่าอย่างไม่ปิดบัง “จักรพรรดิอู่ โอรสองค์ที่ห้าของจักรพรรดิจวงเซวียน ประสูติในรัชศกหลงชิ่งปีที่ 11 ถูกส่งมาฝึกที่นี่ในรัชศกหลงชิ่งปีที่ 16 ในปีที่ 22 องค์รัชทายาทพระองค์โต องค์ชายเฉินของจักรพรรดิจวงเซวียนย้ายมาที่นี่เพื่อพักฟื้นเช่นกัน ในรัชศกหลงชิ่งปีที่ 25 องค์รัชทายาทได้สิ้นพระชนม์ จักรพรรดิิจงทรงเศร้าโศกเป็อย่างยิ่ง ภายหลังจึงได้ทรงแต่งตั้งรัชทายาทพระองค์ใหม่ และในรัชศกหลงชิ่งปีที่ 31 จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ ทรงมีพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้งองค์ชายสามสืบบัลลังก์ ซึ่งกลายเป็จักรพรรดิไอในภายหลัง แล้วเปลี่ยนชื่อรัชศกเป็เฉิงเซวียน
ในรัชศกเฉิงเซวียนปีที่ 5 ข้าศึกแข็งแกร่งบุกรุกเข้ามาในประเทศ อวี้อิง เสนาบดีกลาโหมกับฉืออิ้งเจิ้นกั๋วกง1 เป็ผู้นำการต่อสู้ บุตรชายทั้งสามของเจิ้นกั๋วกงได้นำกองทัพทั้งหมดออกรบ กลับพ่ายแพ้และถูกสังหาร ข้าศึกทำลายเมืองหลายสิบแห่งจนเกือบมาถึงเมืองโซ่วหลิง จักรพรรดิไอได้หลบหนีไปทางตอนใต้อย่างเร่งด่วน องค์ชายหังทรงออกคําสั่งทางทหารแล้วยึดอํานาจทางทหารในยามวิกฤติ ใช้เวลาสองปีในการรวมกองกําลังต่อสู้อย่างยากลำบากเพื่อขับไล่ข้าศึกจากภายนอก ในรัชศกเฉิงเซวียนปีที่ 8 องค์ชายหังทรงถอนทัพกลับราชสำนัก แต่กลับไม่ได้คืนอำนาจทางทหารตามสัญญา ทั้งยังออกราชโองการเท็จเพื่อแย่งชิงอำนาจจากจักรพรรดิไอด้วยการบีบบังคับให้สละราชบัลลังก์ จักรพรรดิไอทรงเจรจาที่จะสละราชสมบัติ ทว่ายังคงถูกองค์ชายหังตัดศีรษะด้วยพระองค์เองต่อหน้ากองทัพทั้งสามที่ประตูวัง
หลังจากองค์ชายหังทรงขึ้นครองบัลลังก์ เปลี่ยนชื่อรัชศกเป็เสวียนสื่อ ในรัชศกเสวียนสื่อปีที่ 5 องค์จักรพรรดิตรัสด้วยพระองค์เอง ทรงฝันว่าได้รับการเทศนาโดยหงหยวนเทียนจุนจากแดน์ชั้นสูงสุด ตรัสรู้ถึงความเป็และความตาย จึงทรงส่งต่อราชบัลลังก์ให้แก่องค์ชายรอง หลี่อวิ๋นซินของจักรพรรดิจวงเซวียน โอรสพระองค์โตของอัครมเหสีผู้เป็ลูกพี่ลูกน้อง จากนั้นละทางโลกเพื่อบ่มเพาะ ภายหลังหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จักรพรรดิจิ่งทรงสืบทอดบัลลังก์ แล้วเปลี่ยนชื่อรัชศกเป็เหยียนซิ่ง ในรัชศกเหยียนซิ่งปีที่ 49 มีนักพรตเข้าวังมารายงานต่อฝ่าาว่า จักรพรรดิองค์ก่อนได้ผ่านด่านเคราะห์ เลื่อนขั้นเมื่อหลายปีก่อน และได้คารวะเข้าวังหลิงปี้ภายใต้หงหยวนเทียนจุน ซึ่งจัดอยู่ในระดับเซียน จักรพรรดิจิ่งทรงยินดีเป็อย่างยิ่ง ทั้งยังทรงแต่งตั้งจักรพรรดิองค์ก่อนเป็จักรพรรดิเจาอู่เสินเวยเหรินเซี่ยวรุ่ย ภายหลังนั้นผู้คนจึงเรียกโดยย่อจากตัวอักษรสองตัวหน้าว่าจักรพรรดิเจาอู่”
หลังจากเจียงเฉิงเยว่ได้ฟังก็เงียบไปนาน ถามอีกว่า “เช่นนั้นศาลบรรพชนเจาอู่แห่งนี้สร้างขึ้นหลังจากนั้นหรือ?”
ศิษย์น้อยตอบ “ใช่แล้ว สร้างขึ้นในรัชศกซู่ตี้ปีที่ 21 ห่างจากรัชศกเหยียนซิ่งปีที่ 49 ของจักรพรรดิจิ่งอยู่ยี่สิบกว่าปี!”
“ถูกต้อง” ศิษย์น้อยอีกคนตอบ “จักรพรรดิเจาอู่เป็หนึ่งในผู้ปกครองประเทศของราชวงศ์นี้ หลังจากที่พระองค์เลื่อนขั้น ไม่ต้องกล่าวเลยว่าทั้งราชวงศ์ต่างลุกขึ้นสร้างศาลบรรพชนเจาอู่เพื่อบูชา ราชสำนักยังกําหนดให้วันที่จักรพรรดิอู่ทรงคารวะเพื่อเข้าฝึกฝนที่เขาหลิงซานเป็พระราชพิธีหมื่นพรรษา2 ทุกคนต้องอาบน้ำและอดอาหารเพื่อบูชาสามวันทั้งก่อนและหลังพิธี พิธีครึกครื้นเป็อย่างยิ่ง ภายหลังมาถึงรัชศกซู่ตี้ได้แสดงความศรัทธาต่อคนรุ่นหลัง ทรงรับสั่งให้บูรณะสถานที่ซึ่งมีพลังิญญาอุดมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศจงซานที่ซึ่งจักรพรรดิอู่เคยฝึกฝนเมื่อปีนั้น เตรียมที่จะสร้างศาลบรรพชนเจาอู่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งสร้างได้เพียงไม่กี่วัน จักรพรรดิกลับทรงฝันในเวลากลางคืนว่าทรงถูกจักรพรรดิเจาอู่ตำหนิ แล้วตื่นบรรทมด้วยความตื่นตระหนก จึงไม่กล้าที่จะสร้างอีกต่อไป หลังจากนั้นจึงหยุดการก่อสร้างอย่างเร่งด่วน มีรับสั่งไม่ให้แตะต้องต้นไม้ ใบหญ้า อิฐและกระเบื้องทุกชิ้นในศาลบรรพชนเจาอู่”
เจียงเฉิงเยว่ฟังจบ ครั้งนี้เงียบไปนานมากขึ้น
ศิษย์น้อยทั้งสองไม่รู้อะไรเลยจึงได้แต่เงียบไปด้วยกันกับเขา
ผ่านไปเป็เวลานาน หนึ่งในนั้นทนไม่ไหวกับบรรยากาศที่เงียบงันอย่างแปลกประหลาด จึงถามอย่างระมัดระวัง “ผู้าุโ...ท่านนี้...เคยมาที่นี่มาก่อนหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงก่อนกลับมามีสติ เขาลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ใช่...เคยมา แต่ว่า อยู่แค่่เวลาสั้นๆ ก็จากไป” เขาพลันรู้สึกหดหู่ขึ้นมาอีกครั้งจึงก้มศีรษะแล้วโบกมือเพื่อเก็บบ่วงพันธนาการเซียนที่มัดไว้ บอกกับศิษย์น้อยทั้งสองที่ยังนอนอยู่บนพื้น “รอเวลาน้ำชาอีกถ้วย ชีพจริญญากับจุดฝังเข็มของน้องชายทั้งสองจึงจะคลาย ลำบากทั้งสองต้องนอนบนพื้นต่อไปอีกสักพัก” พูดจบก็ไม่สนใจทั้งสองคนอีกต่อไป เขาจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เจียงเฉิงเยว่ออกจากศาลบรรพชนเจาอู่ เขารีบไปที่เชิงเขาอย่างลุกลี้ลุกลนเกือบจะเหมือนแมลงวันหัวขาด ย่างก้าวช่างยุ่งเหยิง ภายในใจวุ่นวายมากขึ้น
อาหังเลื่อนขั้น! อาหังเลื่อนขั้นสู่แดน์แล้ว!!!
ถ้อยคำของศิษย์น้อยสองคนนั้นยังคงปรากฏอยู่ในความคิด จักรพรรดิไอเจรจาที่จะสละราชสมบัติ แต่องค์ชายหังยังคงตัดศีรษะด้วยตนเองต่อหน้ากองทัพทั้งสามบริเวณประตูพระราชวัง...
ตัดด้วยตนเองต่อหน้ากองทัพทั้งสาม...
นอกจากการแย่งบัลลังก์แล้ว ดูเหมือนว่าจะมีองค์ประกอบความรู้สึกโกรธเคืองอยู่ในนั้นด้วย ขณะมีชีวิตสิ่งที่หลี่อวิ๋นอี้สนใจมากที่สุดคือชีวิตกับบัลลังก์ ทว่าสุดท้ายกลับถูกบังคับให้สละราชสมบัติ และยังไม่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่มีโทษ ในความทรงจำอันยาวนานของเจียงเฉิงเยว่ เมื่อปีนั้นที่เขาจากไปหลี่อวิ๋นหังยังไม่บรรลุนิติภาวะ หลี่อวิ๋นหังที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนอกเหนือจากความหยิ่งยโสแปลกๆ ชอบน้อยใจแล้ว ยังนุ่มนวลและน่ารักอย่างเห็นได้ชัด! ยามโกรธ อย่างมากที่สุดคือทำเป็ไม่สนใจผู้อื่น อีกทั้งไม่ว่าจะโมโหแค่ไหน ตราบใดที่ง้ออย่างสุดชีวิตก็จะกลับมาปกติดังเดิม...เขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายมีด้านที่โหดร้ายและเืเย็นเช่นนี้?
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลี่อวิ๋นอี้จะเป็ญาติทางสายเืของหลี่อวิ๋นหัง แต่เจียงเฉิงเยว่กลับค่อนข้างเข้าใจเขา ถึงอย่างไรก็เป็หลี่อวิ๋นอี้เองที่ทำชั่วก่อน
หลังจากหลี่อวิ๋นหังขึ้นครองบัลลังก์ เพียงห้าปีกลับสละราชบัลลังก์และฝึกฝนต่อไป หากเป็เช่นนั้น ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายใช้เวลาเจ็ดปีในการเดินทางเพียงเพื่อการแก้แค้นเท่านั้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ภายในใจของเจียงเฉิงเยว่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทั้งอบอุ่นและขมขื่น นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ที่แปลกประหลาด ทั้งสุขและเศร้า แก้แค้นเพื่อใครกัน? เพื่อเสด็จพี่หรือ? อาหัง อาหัง...ยังคงจำข้าได้...
เจียงเฉิงเยว่จับอกเสื้อไว้แน่นด้วยมือที่สั่นเทา อารมณ์ในใจแทบจะควบคุมไม่ได้ เกือบจะสาดซัดออกมา เพียง้าหาสถานที่ที่ไม่มีใครอยู่ ต่อจากนั้นร้องไห้และหัวเราะเพื่อระบายออก
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ฉิงชางจวินจะย่อยข้อมูลเหล่านี้เสร็จสิ้นด้วยความเศร้าโศกและยินดี ฉับพลันเขาฉุกคิดได้ถึงบางอย่าง จึงรู้สึกเย็นะเืไปทั้งร่าง
ในสายตาของหลี่อวิ๋นหัง ั้แ่แรกผู้ที่อาศัยอยู่กับเขาในวิหารหลิงเซียวบนเขาฉีหวนเป็เวลาสามปีคือเสด็จพี่ของเขา นั่นคือหลี่อวิ๋นเฉิน! สิ่งที่เขามองคือใบหน้าของเสด็จพี่ สิ่งที่พึ่งพิงคือร่างของเสด็จพี่ ความเคารพ ความพึ่งพาไปจนถึงออดอ้อน ล้วนมีต่อเสด็จพี่ผู้มีตัวตนและบทบาทเช่นนั้น...การแก้แค้นของหลี่อวิ๋นหัง อาจเพื่อเสด็จพี่ของเขา...คงเพื่อ...พี่ชายของเขาเท่านั้น
เกี่ยวอะไรกับฉิงชางจวินอย่างเ้าด้วยเล่า?
เจียงเฉิงเยว่หยุดกะทันหัน ทั้งร่างราวกับถูกน้ำแข็งผนึกไว้ เืบนใบหน้าจางหายไป
เช่นนั้นแล้ว ิญญาในเปลือกเสด็จพี่ของเขายามนี้คืออะไร? เป็เพียงสิ่งชั่วร้ายที่พรากเสด็จพี่ของเขาไปหรือ
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกเ็ปอย่างรุนแรง เขาไม่เพียงไม่ควรแอบคาดหวังว่าจะได้พบกับอาหังอีกครั้ง ในความเป็จริงแล้ว...สิ่งที่เขาควรทำคือภาวนาอย่าให้ตนเองได้พบกับหลี่อวิ๋นหังอีก
เนื่องจากเมื่อปีนั้น หลี่อวิ๋นหังซึ่งเป็เพียงผู้ฝึกฝนธรรมดาอาจตรวจสอบไม่ได้ ทว่าตอนนี้หลี่อวิ๋นหังซึ่งเป็เซียนจวินแห่งแดน์แล้วไม่มีทางที่จะดูไม่ออก...เสด็จพี่ของเขาถูกใครบางคนร่าง! ด้วยความเคารพและความรักที่มีต่อเสด็จพี่ ยามนี้จะเกิดอะไรขึ้นหากสิ่งชั่วร้ายที่ร่างเสด็จพี่ของเขาถูกค้นพบ?...จุดจบของหลี่อวิ๋นอี้คือบทเรียนของตน!!!
เมื่อคิดถึงเื่นี้ เจียงเฉิงเยว่อดไม่ได้ที่จะขนลุกชัน เมื่อครู่เขายังรู้สึกยินดีกับความโชคร้ายของหลี่อวิ๋นอี้ แต่เวลานี้กลับเหลือเพียงอกสั่นขวัญแขวนพอๆ กับหลี่อวิ๋นอี้เท่านั้น!
ฉิงชางจวินเดินไปข้างหน้า ย่างก้าวของเขาเลื่อนลอยราวกับเหยียบฝ้าย
กว่าหนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น เขาถึงได้ค้นพบสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง...
เขาหลงทาง
แม้ว่าเขาจะอาศัยอยู่ที่เขาฉีหวนระยะหนึ่ง แต่ก็ขึ้นและลงูเาเพียงครั้งเดียว ซึ่งเวลาผ่านมาหลายปีแล้ว ทางบนูเาซับซ้อนเช่นนี้ เขาจะจำทางลงูเาได้อย่างไร? เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตายามขึ้นเขาก่อนหน้านี้เกือบจะทำให้พลังิญญาที่เขาฟื้นฟูอย่างยากลำบากในสองวันหมดลง จะให้เคลื่อนย้ายลงเขาอีกช่างเป็ไปได้ยากเสียจริง
เขาเดินเป็เวลานาน ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทิวทัศน์รอบข้างแม้จะบอกว่าไม่ว่าจะไปที่ใดต่างก็คล้ายกันไปหมด แต่ว่า...นี่มันคล้ายกันเกินไปหน่อยกระมัง?! จู่ๆ กลับพบวัตถุที่คุ้นตาอยู่ตรงหน้า เขาเบิกตากว้าง พุ่งไปอย่างเร่งรีบแล้วหยิบขึ้นมาดู หลังจากนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ เกือบจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น
แม้ว่าตาบอดแล้วใช้มือัั เขาไม่มีทางจำไม่ได้แน่นอน ที่เขาเพิ่งหยิบมาบนมือคือถุงผ้าของเขาเอง!!!
ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่รู้ว่าควรดีใจหรือกังวลดี
ที่น่าดีใจคือถุงผ้าที่เขาพกมานานหลายปี แม้ว่าเกือบสูญหายแต่ท้ายที่สุดกลับพบ ส่วนที่น่ากังวลคือ ณ ตอนนี้สามารถยืนยันได้แล้วว่าเขาหลงทางแล้วจริงๆ!!!
ไม่มีพลังิญญา ไม่มีพลัง...อย่างน้อยเราก็ยังเหลือพลังกายอยู่ใช่หรือไม่? ช่างไม่เสียเปล่า โชคดีที่วันนี้กินดื่มมาอิ่มแล้วจึงไม่จำเป็ต้องอดอาหาร กินอิ่มนอนหลับสบาย กำลังวังชากระปรี้กระเปร่าโดยธรรมชาติ เมื่อนึกถึงเื่นี้ เขาส่งเสียงเพ้อกับฝ่ามืออยู่สองคำ หลังจากนั้นพบต้นสนสูงตระหง่าน เขาปีนขึ้นไปบนยอดอย่างทุลักทุเล หลังยืนยันทิศทางที่จะไปได้แล้วจึงเดินต่อไปในทิศทางนั้นโดยไม่หยุดพัก
อีกหนึ่งชั่วยามต่อมา เขารู้สึกว่าพลังกายที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยของตนเองกำลังจะหมดลง ถึงค่อยพบกับปัญหาที่น่าสยดสยอง...เขายังคงวนเวียนอยู่ที่ไหล่เขาใช่หรือไม่?!
ขณะนี้เขาเห็นภาพหลอน รู้สึกว่าตนเองได้ยินเสียงราวกับเสียงเกือกม้า เสียงดัง ‘ตาๆๆ’ แม้จะเดินเยื้องย่าง ทว่าเจียงเฉิงเยว่ไม่อาจรอคอยได้อีกต่อไป เขาะโขึ้นพร้อมไล่ตามเสียง
ดังที่คาดคิด ไม่นานเขาหอบหายใจ เห็นเงาแผ่นหลังร่างหนึ่งควบม้าอยู่ไกลๆ บนเส้นทางูเาเบื้องหน้า
“เฮ้! พี่ชายที่อยู่ข้างหน้า...รอก่อน!!!” เจียงเฉิงเยว่เทพลังิญญาเล็กน้อยที่ฟื้นคืนหลังจากหนึ่งชั่วยามไปที่ขาทั้งสองข้าง จากนั้นะโเบาๆ ไปหาคนผู้นั้น เอียงตัวเล็กน้อยเพื่อติดตาม
ผู้ที่อยู่บนม้าเป็ชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ อาภรณ์ค่อนข้างหรูหรา แผ่นหลังเหยียดตรง หลังจากได้ยินเสียงจากด้านหลัง คนผู้นั้นค่อยๆ หันหน้ามา
เมื่อเจียงเฉิงเยว่พบหน้าอีกฝ่ายกลับผงะไปชั่วครู่
เห็นเพียงคนผู้นั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวพรรณผ่องใส ใบหน้างดงาม คิ้วยาวจรดขมับ ดวงตาเป็ประกายด้วยดวงดาวที่หนาวเหน็บ ริมฝีปากสีแดงชาด ข้างในสวมชุดบางๆ ปกเสื้อปักด้วยด้ายสีเขียวเข้ม ด้านนอกคลุมด้วยชุดคลุมปักลายนกกระเรียนสีทองที่ไหล่ทั้งสองข้าง มีผ้าคาดเอว เอวบางกับบั้นท้ายแคบที่ผูกไว้อย่างพิถีพิถันด้วยเครื่องหยกจิ้นปู้3 และดาบสีขาวสลักลายดอกไม้ห้อยลงมาบริเวณเอว หากคิดดูแล้วกลับไม่ดูล้าสมัย...คนผู้นี้มีทั้งความงามอันน่าทึ่งที่ดึงดูดสายตาของผู้คน นำมาซึ่งความงดงามต้องห้ามเล็กน้อยที่ทำให้ผู้คนพร้อมอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ ไม่อาจเทียบเคียง
ขณะที่เจียงเฉิงเยว่กำลังตกตะลึง คนผู้นั้นหรี่ตาที่เรียวบางและงดงามเล็กน้อย ถามด้วยรอยยิ้มที่มีความใจดีอยู่หลายส่วน “มีเื่อันใดหรือ?”
แม้เจียงเฉิงเยว่จะรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่ารอยยิ้มนั้นไม่มีความอบอุ่นมากนัก แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านั้นดูดีมากจริงเชียว รอยยิ้มนั้นทำให้เจียงเฉิงเยว่ลอบคิด ราวกับน้ำแข็งและหิมะที่หลอมละลายกับดอกไม้ที่กำลังบานในฤดูใบไม้ผลิ
ฉิงชางจวินไม่เคลื่อนไหวเพราะตกตะลึงจนเหม่อลอยอยู่ที่เดิม ชายหนุ่มผู้นั้นรออยู่เป็เวลานานยังไม่ได้รับคำตอบ จึงถามอีกครั้งอย่างอดทน “ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้?”
น้ำเสียงที่ไพเราะลอยเข้ามาในหู เจียงเฉิงเยว่ถูกปลุกขึ้นมา เขารีบยิ้มแล้วประสานมือให้อย่างเคารพ “พี่ชายท่านนี้...ข้าหลงทางบนูเาลูกนี้เสียแล้ว พี่ชายจะลงเขาหรือไม่? ไม่ทราบว่า...จะได้หรือไม่หาก...” เขามองไปที่ใบหน้าของคนผู้นั้นซึ่งงดงามมีอำนาจเหนือกว่า จึงถ่อมตัวอย่างอดไม่ไหว เมื่อคิดว่าไป้เอ๋อร์ยังคงรออยู่ที่ด้านล่างูเา เขากัดฟันอย่างหน้าหนาเอ่ย “พี่ชาย หากจะลงเขาเช่นกัน พาข้าน้อยไปด้วย...ได้หรือไม่?”
“...”
เป็เวลานานหลังจากที่เจียงเฉิงเยว่พูดจบ คนผู้นั้นกลับยังไม่ตอบ
ทั้งสองคนเงียบงัน ภายในป่ามีเพียงเสียงคลื่นของต้นสนที่ถาโถม
เจียงเฉิงเยว่ทำอะไรไม่ถูกเป็อย่างยิ่ง
เขาฉีหวนเป็ูเาิญญาที่มีชื่อเสียง นอกจากวิหารหลิงเซียวบนยอดเขาทางเหนือแล้ว ยังมีวัดวาอารามเต๋าอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยธูปและเครื่องหอม อย่างไรก็ตาม วัดวาอารามเต๋าเหล่านี้ที่ผู้ศรัทธาทั่วไปสามารถเข้าสักการะได้นั้นตั้งอยู่ใกล้กับเชิงเขา ยิ่งใกล้กับยอดเขาหลักมากเท่าไหรยิ่งมีพลังิญญามากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น สถานที่นี้จึงไกลมากยิ่งขึ้น นอกจากราชครูในยุคก่อนที่ประจำการแล้ว วิหารหลิงเซียวมีไว้สําหรับการสักการะของพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้น มีวัดประปรายเพียงไม่กี่แห่ง ล้อมรอบด้วยวิหารหลิงเซียวที่สูงที่สุด ผู้ศรัทธาที่สามารถขึ้นมาได้นั้นย่อมต้องเป็ผู้สูงศักดิ์
หากพิจารณาจากเครื่องแต่งกายของชายหนุ่มแล้ว เขาต้องเป็หนึ่งใน ‘ผู้สูงศักดิ์’ ทว่าช่างน่าแปลกใจว่าเหตุใดถึงทิ้งองครักษ์และคนรับใช้มาที่นี่เพียงลำพัง...ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คนผู้นี้ดูเหมือนไม่ยินดีที่จะให้เจียงเฉิงเยว่ผู้ที่แต่งตัวเป็ ‘ชาวนาผู้ยากจน’ ขึ้ีนม้าด้วย
ขณะที่เจียงเฉิงเยว่กำลังกัดฟันเตรียมจะเปิดปากขอร้องอย่างหว่านล้อมและบีบบังคับอย่างหน้าหนาอีกครั้ง คนผู้นั้นกลับยิ้มอย่างอ่อนโยน เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงโดยพลัน ก่อนที่เขาจะฟื้นจากอาการใครั้งที่สอง ชายหนุ่มผู้นั้นเผยริมฝีปากโค้งเล็กน้อยอย่างมีความหมายลึกซึ้ง จากนั้นยื่นมือมาพลางกล่าว “ไม่มีปัญหา...”
------------------------
[1] เจิ้นกั๋วกง หมายถึง ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ชายลำดับที่ 5
[2] พระราชพิธีหมื่นพรรษา หมายถึง พิธีเฉลิมพระชนม์พรรษาของจักรพรรดิ
[3] เครื่องหยกจิ้นปู้ หมายถึง เครื่องหยกที่ใช้ควบคุมการเดินของคนจีนสมัยก่อน