“แน่นอนสิ เืเนื้อเชื้อไขของแม่เอง แม่ไม่เอ็นดูแล้วจะให้ไปเอ็นดูผู้ใดกัน?” เหลียงซื่อเอ่ยพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนสะอาดออกมา ค่อยๆ ซับหยดน้ำฝนบนเท้าให้แก่อันซิ่วเอ๋อร์ แล้วยังช่วยสวมถุงเท้าให้อย่างใส่ใจ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากเป็ไปได้ แม่ก็อยากให้เ้ามิต้องออกเรือนไปที่ใดเลย อยู่กับแม่ไปชั่วชีวิต”
“ข้าก็อยากอยู่กับท่านแม่เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ตอบ ปลายจมูกพลันรู้สึกแสบร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ในใจครุ่นคิด... ในโลกหล้าใบนี้ นอกจากท่านพ่อและท่านแม่แล้ว คงไม่มีผู้ใดรักและตามใจนางอย่างแท้จริงเช่นนี้ได้อีกแล้ว
แม้จางเจิ้นอันจะดีต่อนาง แต่ก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่นางต้องดีตอบเช่นกัน อีกทั้งเขายังมีความลับมากมายปิดบังนางอยู่ บางครั้งก็ทำตัวตามแต่ใจตนเอง หากนางทำสิ่งใดไม่ถูกใจเข้าสักอย่าง เขาก็อาจจะโกรธเคืองขึ้นมาได้ง่ายๆ
ผู้ที่พร้อมจะโอบอุ้มนางไว้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ผู้ที่ยอมอดทนต่อความเอาแต่ใจเล็กๆ น้อยๆ ของนางได้ เกรงว่าคงจะมีเพียงท่านพ่อกับท่านแม่เท่านั้นกระมัง ส่วนจางเจิ้นอัน... ต่อให้นางเรียกเขาว่าพ่อ เขาก็มิใช่บิดาบังเกิดเกล้าของนางอยู่ดี
“ท่านแม่…” อันซิ่วเอ๋อร์พลันยื่นแขนทั้งสองข้างออกไป กอดคอเหลียงซื่อไว้แน่น เหลียงซื่อชะงักไปเล็กน้อย “เป็อันใดไปเล่าลูก?”
“ท่านดีต่อข้าที่สุดในโลกเลยเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์พูดเสียงอู้อี้ ดวงตาเริ่มรื้นด้วยหยาดน้ำใส
“ดูเ้าสิ แต่งงานออกเรือนไปมีเหย้ามีเรือนแล้ว ทำไมยังทำตัวเหมือนเด็กห้าหกขวบไปได้” เหลียงซื่อช่วยนางสวมรองเท้าจนเสร็จเรียบร้อย ก็กลับมานั่งลงที่เดิม “วันนี้เ้าเป็อันใดไป? หรือว่า... จางเจิ้นอันผู้นั้นเขาทำอันใดให้เ้าไม่พอใจ?”
“เปล่าเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้าเบาๆ เม้มริมฝีปาก ก้มหน้าลง “เขาดีต่อข้ามาก”
“เขาดีต่อเ้า แล้วเหตุใดเ้ายังทำหน้าเหมือนน้อยอกน้อยใจอยู่อีกล่ะ?” เหลียงซื่อยื่นมือใช้ชายเสื้อซับหยาดน้ำตาที่หางตาให้นางอย่างแ่เบา “เป็ความผิดของแม่เอง แม่น่าจะรู้แต่แรกว่าคนหยาบกระด้างเช่นนั้นย่อมไม่รู้จักถนอมบุปผางาม บอกแม่มาตามตรงซิ ว่าเขาข่มเหงรังแกเ้ารึเปล่า? หากใช่ รอพ่อเ้ากับพี่รองกลับมาก่อน แม่จะให้พวกเขาไปจัดการให้! หากเขากล้าทำร้ายเ้าจริงๆ ละก็ พวกเราสกุลอันไม่ปล่อยเขาไว้แน่!”
พอได้ยินถ้อยคำที่พร้อมจะปกป้องนางอย่างเต็มที่ของเหลียงซื่อ อันซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกอบอุ่นวาบขึ้นมาในใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจเล็กๆ ก่อนหน้านี้มลายหายไปสิ้น นางกลับจงใจเงยหน้าขึ้นสบตามารดา พูดอย่างจริงจังว่า “แต่ว่า... คนผู้นั้นพละกำลังมหาศาลนักนะเ้าคะ ท่านพ่อกับพี่รองสองคนรวมกันก็คงสู้เขาไม่ได้เป็แน่”
“ถ้างั้นก็เรียกคนมาช่วยทั้งหมู่บ้าน!” เหลียงซื่อสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “เขาเป็เพียงคนต่างถิ่นที่มาอาศัยอยู่ชั่วคราว ยังจะกลัวปราบเขาไม่ได้อีกรึ?”
“เช่นนั้นก็ได้เ้าค่ะ ข้าค่อยวางใจหน่อย” อันซิ่วเอ๋อร์แสร้งทำท่าโล่งอก ดวงตาเปล่งประกายระริก “แล้วพวกเราจะไปหาเื่เขาเมื่อใดดีเ้าคะ?”
“เื่นี้... รอพ่อเ้ากับพี่รองกลับมาก่อน แล้วค่อยวางแผนกันอย่างรอบคอบ เ้าก็พักอยู่บ้านแม่นี่สักสองสามวัน ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นเขาอาจจะสำนึกผิด มาคุกเข่าอ้อนวอนขอให้เ้ากลับไปเองก็ได้”
พอเห็นบุตรสาวดูจริงจังขึ้นมา เหลียงซื่อก็พลอยจริงจังไปด้วย พยายามเอ่ยเกลี้ยกล่อม “คนโบราณเขาว่าไว้ แต่งกับไก่ก็ต้องตามไก่ แต่งกับหมาก็ต้องตามหมา ผัวเมียลิ้นกับฟันย่อมมีกระทบกระทั่งกันบ้าง ทะเลาะกันหัวเตียง ไม่นานก็คืนดีกันปลายเตียง เดี๋ยวแม่ให้ต้ายาไปตามเขามาที่นี่ มีเื่อันใดคาใจก็มานั่งเปิดอกพูดคุยกันให้รู้เื่รู้ราวไป”
“ที่แท้... เมื่อครู่ท่านแม่ก็เพียงแค่หลอกข้า” แววตาของอันซิ่วเอ๋อร์พลันหม่นแสงลงทันที ใบหน้าเล็กๆ งอง้ำ นางหันหน้าหนี ไม่ยอมสบตามารดา
“แม่หาได้หลอกเ้าไม่ แต่หากไปหาเื่เขาจริงๆ จังๆ วันหน้าพวกเ้าสองคนจะมองหน้ากันติดได้อย่างไรเล่า?” เหลียงซื่อรีบปลอบ “หรือจะให้แม่ไปตามพ่อเ้ากับพวกพี่ๆ กลับมาพูดคุยกันที่นี่ตอนนี้เลย? ตกลงว่าพวกเ้าทะเลาะกันเื่อันใดกันแน่ เขาถึงกับลงไม้ลงมือตีเ้ารึ?”
“เ้าค่ะ!” อันซิ่วเอ๋อร์นึกถึงตอนที่เขาแกล้งทำท่ายกฟางข้าวขึ้นสูงๆ ก็รีบพยักหน้าแรงๆ รับคำ
“ไอ้คนชั่วช้าสารเลว! ข้ายกลูกสาวแก้วตาดวงใจให้ ข้าเองยังไม่เคยลงไม้ลงมือกับนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขากล้าดียังไงมาตีเ้า มันน่าโมโหนัก!” เหลียงซื่อทุบอกด้วยความเดือดดาล
อันซิ่วเอ๋อร์รีบกล่าวเสริม “ใช่เ้าค่ะ เขาเอาฟางข้าวเส้นเบ้อเร่อเท่านี่ตีฝ่ามือข้า” นางว่าพลางทำนิ้วประกอบท่าทางให้ดูขนาดเท่าเล็บนิ้วก้อย
เหลียงซื่อเห็นท่าทางนั้นเข้าก็ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ก่อนจะแหวกลับอย่างโมโหระคนเอ็นดู “เ้าเด็กคนนี้! สรุปว่าที่ผ่านมาเ้าแกล้งแม่เฒ่าคนนี้เล่นมาโดยตลอดเลยใช่หรือไม่?”
ต่งซื่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ทำหน้าไม่ถูก ส่วนเด็กหญิงทั้งสองคนหัวเราะคิกคักออกมา อันซิ่วเอ๋อร์จึงค่อยยอมพูดความจริง “คืออย่างนี้เ้าค่ะท่านแม่ หลังคาบ้านของพวกเรารั่ว ข้าเลยอยากจะมาขอแรงท่านพ่อกับพี่รองไปช่วยซ่อมแซมให้หน่อยเ้าค่ะ”
“หลังคารั่วรึ? เหตุใดไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า?” เหลียงซื่อขมวดคิ้ว “มิน่าเล่า เมื่อเช้าท่านพี่เขยเขาถึงได้มาที่นี่ ถามว่ามาทำอันใดก็ไม่ยอมบอก เอาแต่พูดว่าเ้าให้มาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ที่แท้ก็เป็เื่หลังคาบ้านรั่วนี่เอง”
“เมื่อเช้าเขามาหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์นึกขึ้นได้รางๆ ว่าเหมือนจะได้ยินเขาพูดถึงเื่นี้แวบหนึ่ง แต่ตอนนั้นนางไม่ได้ใส่ใจฟัง
“มาสิ พี่สะใภ้รองของเ้าเป็คนออกไปเปิดประตูให้เอง” เหลียงซื่อว่าพลางหันไปมองต่งซื่อ “เมื่อเช้าเขามาว่ากระไรบ้างรึ? ได้บอกเื่ให้พวกเราไปช่วยซ่อมบ้านหรือไม่?”
ต่งซื่อรู้สึกเหมือนตนเองกำลังตกเป็จำเลย รีบส่ายหน้าตอบ “ท่านพี่เขยมาก็เพียงแค่ถามว่าซิ่วเอ๋อร์กลับมาหรือไม่ พอข้าบอกว่าไม่ เขาก็บอกว่าซิ่วเอ๋อร์เป็ห่วง ให้มาถามข่าวคราวที่บ้านเท่านั้น นอกจากนั้นก็มิได้เอ่ยอันใดอีกเลย ข้าชวนกินข้าวเช้าเขาก็ไม่ยอมอยู่”
เหลียงซื่อยังคงมีสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย อันซิ่วเอ๋อร์จึงรีบช่วยพูดเสริม “พี่สะใภ้รองมิได้โกหกหรอกเ้าค่ะ ท่านพี่เขาก็เป็คนเช่นนั้น ไม่ค่อยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากผู้ใดง่ายๆ ขนาดข้าจะมาขอให้ท่านพ่อท่านแม่ช่วย เขายังไม่ใคร่อยากให้มาเลยเ้าค่ะ”
“เด็กคนนี้ ก็มีนิสัยเสียตรงนี้นี่แหละ เป็ครอบครัวเดียวกันแท้ๆ จะมัวเหนียมอายอันใดกันนักหนา เื่หลังคารั่วถือเป็เื่ใหญ่นะ เดี๋ยวแม่จะไปตามพ่อเ้ากับพวกพี่ๆ กลับมาเดี๋ยวนี้เลย” เหลียงซื่อบ่น แต่ก็เข้าใจในนิสัยของบุตรเขย
“แล้วท่านพ่อกับพี่รองไปที่ใดกันหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม
“ก็ถือโอกาสตอนฝนตกพากันไปคราดนาเตรียมดินอยู่น่ะสิ” เหลียงซื่อตอบ อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินก็รู้สึกเกรงใจขึ้นมาทันที “เช่นนั้นก็เป็การรบกวนเวลาทำงานของท่านพ่อกับพี่รองแย่เลยสิเ้าคะ”
“เื่เล็กน้อยน่า ก็แค่นาไม่กี่หมู่ เดี๋ยวเดียวก็คราดเสร็จแล้ว เื่บ้านช่องของพวกเ้าสำคัญกว่า”
“เช่นนั้นก็ต้องขอบพระคุณท่านพ่อท่านแม่เป็อย่างสูงนะเ้าคะ ไว้กลางวันเชิญไปทานอาหารที่บ้านข้านะคะ ข้าจะรีบกลับไปเตรียมสำรับรอเดี๋ยวนี้เลย” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
“กลางวันก็กินข้าวที่นี่แหละ” เหลียงซื่อรั้งไว้ “พอดีเลย เมื่อวานพ่อเ้าลงไปที่นา จับปลาหลี่ฮื้อสดๆ มาได้ตัวสองตัว เดี๋ยวแม่ทอดให้กิน”
“ไม่ต้องหรอกเ้าค่ะ ท่านพี่เขาอยู่บ้านคนเดียว ข้าต้องรีบกลับไปทำอาหารให้เขา” อันซิ่วเอ๋อร์ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “หรือท่านพ่อท่านแม่จะไปทานที่บ้านข้าดีกว่าเ้าคะ ท่านยังไม่เคยไปทานข้าวที่บ้านข้าเลยนะ”
“ไม่เอาๆๆ บ้านช่องรั่วเละเทะขนาดนั้น จะมีกะจิตกะใจกินอันใดลง เก็บเงินไว้ซ่อมแซมบ้านให้ดีๆ นั่นแหละสำคัญที่สุด” เหลียงซื่อตบหลังมือบุตรสาวเบาๆ พูดด้วยความห่วงใย “ในเมื่อเ้าจะกลับไปทำกับข้าว แม่ก็ไม่รั้งเ้าไว้แล้ว พวกเ้าผัวเมียข้าวใหม่ปลามัน ไม่มีพ่อผัวแม่ผัวคอยจ้ำจี้จ้ำไชอยู่ข้างๆ พูดว่าดีมันก็ดีอยู่หรอก แต่พูดว่าไม่ดีมันก็มีบ้าง อย่างไรก็ค่อยๆ เรียนรู้ปรับตัวเข้าหากันไป มีเื่อันใดไม่สบายใจก็กลับมาพูดคุยกับแม่ได้เสมอ”
“ทราบแล้วเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้ารับ ลุกขึ้นยืน แล้วหันไปหยิกแก้มหลานสาวทั้งสองเบาๆ “ต่อไปหากว่างๆ ก็ไปเล่นที่บ้านอานะ อย่ามัวแต่ฟังท่านย่าล่ะ อาไม่ใช้งานพวกเ้าหนักหนาหรอกน่า”
หลานสาวทั้งสองรู้ดีว่าอาสาวผู้นี้ใจดีที่สุด ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มจนตาหยี รับคำอย่างแข็งขัน “ต่อไปถ้าพวกหนูทำงานเสร็จแล้ว จะรีบไปหาท่านอาเลยเ้าค่ะ”
“ดีมาก งั้นวันนี้อาไปก่อนนะ ตอนบ่ายตามท่านปู่ท่านย่ามาที่บ้านอานะ อาจะทำของอร่อยๆ ไว้รอพวกเ้า” อันซิ่วเอ๋อร์หยิกแก้มยุ้ยๆ ของเด็กๆ อีกครั้ง แล้วจึงเดินออกไป
เหลียงซื่อเดินตามมาส่งถึงนอกชาน ช่วยจัดเสื้อกันฝนฟางข้าวให้เรียบร้อยอีกครั้ง กำชับว่า “ตอนบ่ายพวกแม่จะไปกันแน่ๆ เ้ามิต้องเป็กังวลนะ”
“เ้าค่ะ ข้าไม่กังวลแล้ว” อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า โบกมือลาเหลียงซื่อ สวมหมวกงอบไม้ไผ่แล้วเดินฝ่าสายฝนจากไป
พอกลับถึงบ้าน ก้มลงมองรองเท้า ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองทำรองเท้าของพี่สะใภ้รองเปียกปอนไปหมดแล้ว รองเท้าคู่นี้ยังดูใหม่เอี่ยม ไม่มีรอยปะชุนเลยแม้แต่น้อย บางทีอาจจะเป็รองเท้าคู่ใหม่ที่พี่สะใภ้รองเองก็ยังเสียดายไม่กล้าสวมใส่ก็เป็ได้
“ทำไมกลับมาเร็วนัก?” เสียงทุ้มของจางเจิ้นอันดังขึ้น ขณะที่นางกำลังยืนเหม่ออยู่หน้าประตูรั้ว
“ท่านมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?” นางเงยหน้าขึ้น เห็นเขายืนพิงเสาอยู่ที่ชายคาระเบียงเรือนข้าง
จางเจิ้นอันมีท่าทีขัดเขินเล็กน้อย ไม่อยากยอมรับว่าตนเองออกมารอ เพียงแต่ตอบเลี่ยงๆ ไปว่า “ข้าแค่ออกมาสูดอากาศ ก็เห็นเ้ากลับมาพอดี”
อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินก็แย้มยิ้ม เดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว “ท่านคงมิได้กำลังรอข้ากลับมาทำอาหารให้หรอกนะ?”
“คงจะเป็เช่นนั้นกระมัง” คราวนี้จางเจิ้นอันกลับยอมรับออกมาตรงๆ
“เช่นนั้น วันนี้ท่านอยากจะทานอันใดเป็พิเศษหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ เขา เงยหน้าขึ้นถาม
ร่างบางของนางซ่อนอยู่ใต้เสื้อกันฝนฟางข้าวตัวใหญ่เทอะทะ ยิ่งขับเน้นให้ดูบอบบางน่าทะนุถนอม หมวกงอบใบโตยิ่งทำให้ใบหน้าของนางดูเล็กเรียว ใบหน้าเนียนใสมีหยาดน้ำฝนเกาะพราวระยับ จากการเดินฝ่าสายฝนกลับมา
เขายื่นมือไปถอดหมวกงอบบนศีรษะนางออก ปลายหมวกปัดผ่านแก้มนวล ทำให้น้ำฝนสองสามหยดกระเซ็นใส่ใบหน้านางอย่างไม่ตั้งใจ
อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกเย็นวาบที่ใบหน้า จึงยกมือขึ้นเช็ดออกลวกๆ จางเจิ้นอันรู้สึกผิดเล็กน้อย รีบช่วยถอดเสื้อกันฝนฟางข้าวออกจากร่างนางให้ พลางบ่นเบาๆ “ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ เ้าน่าจะรอให้ฝนซาลงกว่านี้อีกสักหน่อยค่อยกลับมาก็ยังได้”
“ก็ใช่สิเ้าคะ แต่ใครใช้ให้ที่บ้านมี 'เด็กแก่ขี้หิว' รอข้าวอยู่กันเล่า?” อันซิ่วเอ๋อร์แกล้งค้อนใส่เขา
จางเจิ้นอันยกมือขึ้นเคาะหน้าผากมนของนางเบาๆ ทีหนึ่ง “เดี๋ยวนี้ชักจะซุกซนใหญ่แล้วนะ ข้าเป็เด็กแก่ขี้หิวแล้วเ้าเล่าเป็อันใด?”
“ข้าก็เป็ภรรยาของเด็กแก่ขี้หิวน่ะสิเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ แล้วเดินนำเข้าสู่ห้องโถงไป
อันซิ่วเอ๋อร์กำลังจะตรงไปยังห้องครัวเพื่อเตรียมอาหาร แต่จางเจิ้นอันกลับเดินตามมาพร้อมกับถ้วยน้ำขิงร้อนๆ ในมือ “นี่ ดื่มนี่เสียก่อน”
“อันใดหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย
“น้ำขิงอย่างไรเล่า เ้าชอบต้มให้ข้าดื่มอยู่บ่อยๆ มิใช่หรือ? วันนี้ลองชิมฝีมือตนเองดูบ้างเถิด” จางเจิ้นอันยิ้มบางๆ
“ท่านนี่... ช่างเ้าคิดเ้าแค้นเสียจริง” อันซิ่วเอ๋อร์หรี่ตามองเขา “ข้ามิได้เปียกโชกเสียหน่อย ท่านคิดว่าขิงมันไม่ต้องใช้เงินซื้อหามาหรืออย่างไร?”
“แต่รองเท้าเ้าเปียกนี่ เ้าเคยบอกเองมิใช่หรือว่าความเย็นมันเข้าสู่ร่างกายทางฝ่าเท้าได้ง่าย?” จางเจิ้นอันยื่นถ้วยเข้ามาใกล้อีก อันซิ่วเอ๋อร์จึงเลิกต่อล้อต่อเถียง รับถ้วยมาดื่มรวดเดียวจนหมด
อันที่จริงแล้ว รสชาติก็มิได้เลวร้ายอย่างที่คิด แม้จะเผ็ดร้อนอยู่บ้าง แต่พอดื่มลงไปแล้วก็รู้สึกอบอุ่นซาบซ่านไปทั่วทั้งร่าง
“ขอบคุณนะเ้าคะ” แม้จะเหมือนถูกบังคับให้ดื่ม แต่ในใจนางก็รู้ดีว่าเขาเป็ห่วง ยิ่งเมื่อเทียบกับท่าทีเ็าห่างเหินก่อนหน้านี้ การที่เขากลับมาเป็ปกติเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกว่าต่อให้ต้องดื่มน้ำขิงรสชาติประหลาดนี้อีกสิบชาม นางก็เต็มใจ
อันซิ่วเอ๋อร์เดินเข้าครัว เตรียมจะลงมือทำอาหาร แต่กลับพบว่าข้าวหุงสุกรออยู่แล้วในหม้อ นางเพียงแค่ผัดกับข้าวอีกสักอย่างสองอย่างก็เพียงพอ
ถึงแม้เมื่อครู่นางจะเอ่ยถามเขาว่าอยากกินอันใดเป็พิเศษหรือไม่ แต่ตามความเป็จริงแล้ว ที่บ้านนอกจากปลากับหน่อไม้ ก็แทบจะไม่มีวัตถุดิบอื่นใดเหลืออยู่เลย ถามไปก็เท่านั้น สุดท้ายนางจึงทำต้มปลาใส่หน่อไม้ดองง่ายๆ เพียงอย่างเดียว จัดการมื้อกลางวันไปแบบเรียบง่ายที่สุด
