ชั้นที่สองของหอวิชายุทธ์แตกต่างกับชั้นที่หนึ่งโดยสิ้นเชิง
ชั้นที่หนึ่งเป็โถงใหญ่ทั้งโถง ด้านในมีวิชายุทธ์วิชาปราณนานาชนิดจำนวนมากมายวางเรียงรายเต็มชั้นหนังสือแต่ละชั้น
ชั้นที่สองถูกแบ่งกั้นเป็สามเขตจากด้านนอกเข้าไปด้านใน แบ่งเป็เขตหนึ่ง เขตสอง เขตสามด้านในแบ่งวางวิทยายุทธ์วิชาปราณชั้นนิลขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูงตามลำดับ
ศิษย์ในทั่วไปเข้ามาในชั้นสองของหอวิชายุทธ์ได้เพียงเขตหนึ่งดูคัมภีร์วิทยายุทธ์วิชาปราณชั้นนิลขั้นต้นเท่านั้นคิดอยากจะเข้าเขตสองต้องทำภารกิจของสำนักให้สำเร็จมีคุณความดียิ่งใหญ่กับสำนักถึงมีคุณสมบัติเข้าได้
แต้มภารกิจมากกว่าล้านแต้มเรียนวิทยายุทธ์วิชาปราณได้หนึ่งอย่างแต้มภารกิจมากกว่าสองล้านแต้มเรียนวิทยายุทธ์วิชาปราณได้สองอย่างเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์นี้!
ดังนั้น ศิษย์ชั้นเบิกนภาขั้นสามอยากก้าวหน้าขึ้นอีกก้าวทั้งวันใช้เวลาผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้ ต้องทำภารกิจของสำนักให้สำเร็จ หาแต้มภารกิจล้านแต้มภารกิจสำหรับศิษย์สำนักในแล้วไม่นับว่ายากเกินไป ขอเพียงขยันวิทยายุทธ์และวิชาปราณชั้นสูงขึ้นไป ศิษย์ในล้วนมีหวังได้
เสวียนเทียนเข้าไปในหอวิชายุทธ์ชั้นสองก็เป็เขตหนึ่งด้านนอกสุดข้างในมีเพียงวิทยายุทธ์วิชาปราณชั้นนิลขั้นต้น วิทยายุทธ์วิชาปราณชั้นนิลกับวิทยายุทธ์วิชาปราณชั้นทองไม่เพียงระดับสูงกว่ากันหนึ่งขั้นเท่านั้น รูปแบบก็ยังแตกต่างกันมากด้วย
วิทยายุทธ์วิชาปราณชั้นทองระดับต่างกันก็จะเป็ต่างวิชากันส่วนวิทยายุทธ์วิชาปราณชั้นนิล ส่วนใหญ่มีเป็ชุดระดับต่างกันกลับเป็วิชาเดียวกัน เพียงแต่ระดับขั้นต่างกัน
อย่างเช่นปราณหยางเก้าแปรพิสดารสี่ขั้นแรกเป็วิชาปราณชั้นนิลขั้นต้น สี่ชั้นกลางเป็วิชาปราณชั้นนิลขั้นกลางสี่ขั้นท้ายเป็วิชาปราณชั้นนิลขั้นสูง
‘เงาภูตเทวยาตรา’ วิชาตัวเบาที่เสวียนเทียนได้มาก็เป็เช่นนี้ ขั้นหนึ่ง สองเป็วิชาตัวเบาชั้นนิลขั้นต้นขั้นที่สามขั้นที่สี่เป็วิชาตัวเบาชั้นนิลขั้นกลาง ขั้นที่ห้าขั้นที่หกเป็วิชาตัวเบาชั้นนิลขั้นสูง
วิชาที่มีเป็ชุดจำพวกนี้เทียบกับวิชาชั้นนิลทั่วไปในระดับชั้นเดียวกันแล้วพลังจะสูงกว่าอยู่สองถึงสามส่วน นอกจากนี้ เพราะว่าการฝึกฝนตอนท้ายแค่ระดับขั้นสูงแต่ยังคงเป็วิชาเดียวกัน จึงฝึกต่อไปได้อย่างราบลื่นไม่มีอุปสรรค
วิชาปราณชั้นนิลที่มีเป็ชุด ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในการครอบรองของสำนักหรือตระกูลขั้นเจ็ดจอมยุทธ์พเนจรชั้นเบิกนภาทั่วไป นอกจากได้พบโชคลาภไม่อย่างนั้นวิชาที่ฝึกฝนล้วนแต่เป็วิชาปราณชั้นนิลทั่วไป
เขตหนึ่งของชั้นสองในหอวิชายุทธ์คัมภีร์ที่จัดวางอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่เป็คัมภีร์ที่ซ้ำกันความจริงแล้ววิทยายุทธ์วิชาปราณชั้นนิลเทียบกับวิทยายุทธ์วิชาปราณชั้นทองที่ชั้นหนึ่งจำนวนน้อยกว่ากันมากแต่วิทยายุทธ์วิชาปราณแต่ละชนิดมีราวยี่สิบเล่ม ล้วนเป็ฉบับคัดลอกที่ซ้ำกันให้ศิษย์ในได้อ่านฉบับจริงไม่ได้นำออกมาวาง
จากเขตหนึ่งถึงเขตสองต้องผ่านห้องห้องหนึ่งไม่มีคุณสมบัติเข้าเขตที่สองคิดแอบลอบเข้าเขตสองเรียนวิทยายุทธ์วิชาปราณชั้นนิลขั้นกลางเป็โทษหนักของสำนักอย่างเบาก็ทำลายปราณแท้แล้วลดขั้นเป็ศิษย์สำนักนอก อย่างหนักทำลายเส้นปราณและไล่ออกจากสำนัก
ในห้องมีผู้าุโสำนักในพลังวัตรชั้นเบิกนภาขั้นเจ็ดขึ้นไปนั่งรักษาการณ์อยู่ศิษย์ที่คิดลอบเข้าไปล้วนเข้าไม่ได้
เขตหนึ่งของชั้นสองในหอวิชายุทธ์ด้านในมีศิษย์ในหลายสิบคน สำนักกระบี่์มีกฎว่า ‘วิทยายุทธ์’ ศิษย์สามารถคัดลอกออกมาเล่มหนึ่ง ติดไปกับตัวไว้ฝึกฝนทุกเวลาได้ส่วนวิชาปราณอนุญาตให้ดูได้ในหอวิชายุทธ์เท่านั้นดังนั้นศิษย์ในเหล่านี้โดยส่วนใหญ่ล้วนอ่านวิชาปราณกันอยู่
วิทยายุทธ์ชั้นนิลต้องใช้วิชาปราณที่สอดคล้องกันพลังถึงจะแข็งแกร่งขึ้น วิทยายุทธ์ชั้นนิลที่ไม่มีวิถีจิตระดับสูงเท่าไรก็เป็แค่ของไร้ประโยชน์เช่น ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ นอกจากเสวียนเทียนที่บรรลุวิถีจิตเร็วของ ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ โดยบังเอิญใน่วิกฤติเป็ตาย จนเรียนหกท่าแรกของ ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ สำเร็จแล้ว สำนักกระบี่์ก็ไม่มีใครเรียนสำเร็จอีก
ศิษย์ที่พกฉบับคัดลอกของวิทยายุทธ์ติดไปกับตัวต่อให้ถูกคนฉกชิงไป ไม่มีวิถีจิตที่เข้าคู่กัน นั่นก็เป็เพียงของไร้ประโยชน์
เมื่อเสวียนเทียนเข้ามาในหอวิชายุทธ์บรรดาศิษย์ในก็หันมามองเสวียนเทียนที่เข้ามาใหม่ทีหนึ่งจากนั้นสายตาก็หันกลับไปที่คัมภีร์วิชาปราณในมือตนเองต่อราวกับเสวียนเทียนเป็แค่ก้อนอากาศก้อนหนึ่ง
“ศิษย์น้องหวง!”
เสวียนเทียนมองตามเสียงไป เห็นไป๋หลิงผู้สวมชุดสีขาวทั้งร่างหน้าอกกระเพื่อมกำลังเดินมาหาเขา ทักว่า “ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะเร็วขนาดนี้เ้าก็ก้าวขึ้นสู่ชั้นเบิกนภาแล้ว วันนี้เป็วันผ่านหอกระบี่ของเ้าสินะเป็อย่างไร? ผ่านหรือไม่?”
“ทำไมมาหอวิชายุทธ์ทุกครั้งต้องได้เจอแม่นมตูมคนนี้ด้วย?”
เสวียนเทียนบ่นขึ้นมาประโยคหนึ่งในใจ ตอบว่า “ผ่านแล้ว”
“ไม่เลวนี่เพิ่งกลายเป็ศิษย์ในก็ผ่านแล้ว!” ไป๋หลิงเดินมาถึงข้างกายเสวียนเทียน ตบไหล่เสวียนเทียนพูดตื่นเต้นยินดีราวกับคุ้นเคยกัน
ศิษย์ในไม่น้อยสายตาหันมามองเสวียนเทียนอีกครั้งหนึ่งดูแล้ว พวกเขาได้ยินเสวียนเทียนพูดคำว่า ‘ผ่านแล้ว’ ก็คิดว่าผ่านชั้นที่หนึ่งของหอกระบี่แล้วไป๋หลิงก็ไม่เว้น
แต่ต่อให้เป็ผ่านชั้นที่หนึ่งของหอกระบี่แล้วสำหรับศิษย์คนหนึ่งที่เพิ่งเข้าสำนักในก็ยังนับว่าควรค่าให้ความสำคัญวันหลังต้องเป็ยอดฝีมือแถวหน้าในระดับขั้นเดียวกันแน่นอน
เสวียนเทียนในใจระวังขึ้นมา มีศิษย์ในหลายคนมองเขาด้วยแววตาไม่หวังดีนอกจากฉู่เฟิงเขาไม่เคยผิดใจกับศิษย์ในคนใด เมื่อครู่ไป๋หลิงเรียกเขา ‘ศิษย์น้องหวง’ คนของฉู่เฟิงคงไม่ใช่ไม่รู้จักชื่อของเขา
คนอื่นไม่หาเื่เดือดร้อนให้ตนเสวียนเทียนก็คร้านจะไปหาเื่ผู้อื่น เพียงแต่จดจำหน้าตาของศิษย์ผู้มีสายตาไม่หวังดีไม่กี่คนนั้นไว้ในใจ
ส่วนความเข้าใจผิดของไป๋หลิงกับบรรดาศิษย์ในเสวียนเทียนก็คร้านจะอธิบายเช่นกัน เอ่ยว่า “ก็ธรรมดา ศิษย์พี่ไป๋ ข้าต้องเลือกวิทยายุทธ์วิชาปราณคงไม่ได้อยู่คุยกับท่านแล้ว”
พูดจบเสวียนเทียนก็เดินตรงไปที่ชั้นหนังสือที่เรียงรายเต็มไปด้วยคัมภีร์วิชาปราณ
ความแค้นระหว่างเสวียนเทียนกับฉู่เฟิงวันนั้นไป๋หลิงยืนอยู่ด้านข้างเห็นชัดเจนดีทุกอย่าง ถึงแม้หลังจากนั้นฉู่เฟิงไม่ได้ร้องป่าวประกาศเื่นี้เป็แค่กระแสอยู่ในหมู่ศิษย์สำนักนอกพักหนึ่ง ศิษย์ในที่รู้มีน้อยมาก
แต่กับลูกน้องผู้ภักดีใกล้ตัวไม่กี่คนฉู่เฟิงเคยพูดไว้ ประกาศว่าหนึ่งปีให้หลังจะสังหารเสวียนเทียนที่ลานกระบี่์ต่อหน้าบรรดาศิษย์สำนักกระบี่์
ฉู่เฟิงทะนงตัวไม่เห็นเสวียนเทียนอยู่ในสายตาแต่น้อย หลังจากพูดมาดร้ายไว้ก็เหมือนจะลืมเสวียนเทียนไป ไม่เคยพูดถึงขึ้นมาอีกหลังก้าวขึ้นชั้นเบิกนภาขั้นสี่กลายเป็ศิษย์หลักของสำนักออกไปฝึกวิชาเก็บประสบการณ์เสียมาก เวลาที่กลับมาอยู่ที่สำนักกระบี่์น้อยั้แ่ออกจากสำนักไปครั้งก่อนก็เดือนกว่าแล้วแต่ยังไม่กลับมา
ฉู่เฟิงราวกับลืมเสวียนเทียนไปแล้วแต่ลูกน้องที่ใกล้ชิดเ่าั้ไม่ได้ลืม บอกต่อกันไปเป็ทอดๆรอให้เสวียนเทียนเข้ามาในสำนักในย่อมต้องโดนกดขี่อย่างร้ายกาจ
ข่าวเื่นี้ไป๋หลิงย่อมได้ยินมาแต่ถึงนางจะพูดตลอดว่าเสวียนเทียนเทียบฉู่เฟิงไม่ได้นั่นก็เป็เพียงมุมมองตามความเป็จริงในใจนางเท่านั้นคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นเท่านั้น ความจริงแล้วไป๋หลิงสนใจเสวียนเทียนอย่างมาก
อย่างน้อย ในใจของของไป๋หลิง เทียบกับฉู่เฟิงแล้วเสวียนเทียนต้องตานางมากกว่า
อย่างแรก ครั้งแรกที่พบกันไป๋หลิงกับหลิงซิงเยว่อยู่ที่เทือกเขาเร้นลมถูกรุมล้อมด้วยผึ้งเหล็กในั์นับไม่ถ้วน เสวียนเทียนโผล่ออกมาช่วยพวกนางถึงแม้หลังจากนั้นคนที่ไล่ผึ้งเหล็กในั์ไปจะเป็ฉู่เฟิงแต่หญิงสาวย่อมประทับใจลึกซึ้งกับบุคคลแรกที่ปรากฏตัวออกมาช่วยตนเอง
อย่างที่สอง ไป๋หลิงปัญญาสูงส่งพอตัว ศึกษา ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ มาตลอด แต่ไม่เคยได้ผล ส่วนเสวียนเทียนที่อยู่ในวงล้อมของผึ้งเหล็กในั์กลับใช้ ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ ออกมาได้โดยสัญชาตญาณจุดนี้ทำให้ไป๋หลิงนับถืออย่างมาก สิ่งที่ตนเองศึกษาวิจัยแต่ไม่ได้ผลอะไรออกมาสุดท้ายกลับถูกเสวียนเทียนฝึกจนสำเร็จถึงแม้จะเป็เพียงการบรรลุการเข้าใจชั่วขณะใน่วิกฤติเป็ตายแต่หลังจากนั้นหลิงซิงเยว่ก็มาบอกกับไป๋หลิงท่านปู่ของนางบอกว่าเป็ไปได้อย่างมากที่เสวียนเทียนจะเรียน ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ เป็แล้ว
อย่างที่สาม เสวียนเทียนรูปลักษณ์โดดเด่นหล่อเหลาสง่างาม ดีกว่าฉู่เฟิงอยู่มาก สำหรับเด็กสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดแล้วมีพลังทำลายรุนแรงนัก อีกทั้งฉู่เฟิงเป็คนหยิ่งยโสเ็า ถือตัว อยู่ด้วยยากมีแต่ต่อหน้าหลิงซิงเยว่เท่านั้นถึงจะเป็มิตรขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเพราะคิดจะตีสนิทท่านปู่ของนาง ขึ้นต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ไหนเลยจะเหมือนเสวียนเทียนที่คนเข้าใกล้ง่าย เมื่อไป๋หลิงอยู่ต่อหน้าเสวียนเทียนทำตัวเป็ศิษย์พี่ได้เต็มที่ อิ่มอกอิ่มใจยิ่งนัก
ที่ดีกับฉู่เฟิงก็เพราะรู้ว่าวันหลังฉู่เฟิงจะเป็เสาหลักของสำนักกระบี่์แทบจะมั่นใจได้ว่าหลังจากหลิงอี้เฉินจากโลกไปฉู่เฟิงย่อมกลายเป็จอมยุทธ์ผู้พิทักษ์สำนักคนใหม่ของสำนักกระบี่์
แต่เื้ัของไป๋หลิงก็ไม่ได้แพ้ฉู่เฟิงบิดาของนางเป็หัวหน้าผู้าุโสำนักนอกของสำนักกระบี่์ท่านปู่เป็ผู้าุโรุ่นใหญ่ของสำนักกระบี่์ ฐานะไม่เป็รองเ้าสำนักเป็คนรุ่นเดียวกันกับหลิงอี้เฉินจอมยุทธ์ผู้พิทักษ์สำนัก
ดังนั้นถึงแม้ไป๋หลิงจะมีความสัมพันธ์อันดีกับฉู่เฟิงแต่ก็เป็เพียงความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนไม่เหมือนเติ้งเฟยที่เป็ผู้นับถือศรัทธาแบบนั้น แทบจะกลายเป็เครื่องมือของฉู่เฟิงไป๋หลิงเลือกคบเพื่อนได้ตามความพึงพอใจของตนเองต่อให้ฉู่เฟิงกับเสวียนเทียนมีความแค้นกัน นางก็ยังคงเข้าใกล้เสวียนเทียนต่อไปฉู่เฟิงไม่มีสิทธิยุ่ง และไม่มีปัญญายุ่ง แต่พวกที่ภักดีกับเขาอย่างเติ้งเฟยเพียงหนึ่งประโยคของฉู่เฟิง ก็ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเสวียนเทียนโดยสิ้นเชิงแล้ว
เห็นเสวียนเทียนเ็ากับตนอยู่บ้างมุมปากไป๋หลิงก็ยกขึ้นอดลอบยิ้มไม่ได้รู้ว่าเสวียนเทียนโกรธนางเพราะเื่ครั้งก่อนแต่ในหัวของนางเห็นได้ชัดว่า ไม่รู้เลยว่าการดูถูกผู้ชายย่อมทิ้งความรู้สึกไม่ดีไว้ในใจของฝ่ายชายอย่างลึกซึ้ง
“ศิษย์น้องหวงผู้าุโผู้เฝ้าหอไม่ได้บอกเ้าหรือว่าเข้าหอวิชายุทธ์ครั้งแรกต้องทำอะไรก่อน?”ไป๋หลิงเดิมตามไปข้างหลังเสวียนเทียนผู้เ็าหมองเมิน
“ทำอะไรก่อน?” เสวียนเทียนหมุนกลับมาถาม ผู้าุโผู้เฝ้าหอไม่ได้บอกกับเขาจริงๆ
สายตาของไป๋หลิงฉายแววประหลาดใจ เอ่ยว่า “ทุกครั้งที่ศิษย์ใหม่เข้ามาในหอวิชายุทธ์ชั้นสองผู้าุโผู้รักษาหอควรจะเตือนนี่นา? หรือว่าฉู่...?”
จากนั้นดูเหมือนจะนึกอะไรได้ไป๋หลิงเปลี่ยนเื่ทันที ชี้ไปที่กำแพงข้างทางเข้า บอกว่า “เห็นศิลาธาตุตรงกำแพงหรือไม่เข้ามาหอวิชายุทธ์ ก่อนอื่นต้องทดสอบพลังธาตุในร่างของตนเองถึงจะเลือกวิชาปราณที่เหมาะกับตนเองได้ ฝึกฝนขึ้นมาลงแรงครึ่งหนึ่งได้ผลเพิ่มเป็เท่าตัว”
เสวียนเทียนเคยทดสอบพลังธาตุทองกับพลังธาตุไฟในห้องสุสานของ ‘ผู้เฒ่าจิ่วต้วน’ แล้ว พลังธาตุอย่างอื่นยังไม่รู้ พอดีเลย เช่นนั้นก็ทดสอบดูสักที
แม้ว่าพลังธาตุทั้งสองจะถึงขั้นสูงกว่าระดับยอดเยี่ยมชนิดหนึ่งถึงกับเป็ระดับสุดยอดสมบูรณ์แบบ เป็ปีศาจมากพออยู่แล้วแต่ไม่ทดสอบดูจะรู้ได้อย่างไรว่ายังมีพลังธาตุอื่นอีกหรือไม่?
ศิลาธาตุของหอวิชายุทธ์ครบถ้วนกว่าที่ ‘ผู้เฒ่าจิ่วต้วน’ เหลือทิ้งไว้มาก พลังธาตุพื้นฐานเช่น ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินพลังธาตุพิเศษเช่น ลม สายฟ้า แสง ความมืด หยิน หยาง มีอยู่ครบถ้วน
เสวียนเทียนเดินไปหน้าศิลาธาตุมือวางลงไป้าของศิลาธาตุ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้