อวี๋ซื่อจ้องไปยังไป๋เซียงจู๋ด้วยความชิงชัง ทว่าสบกับั์ตาสวยไร้เทียมทานคู่นั้นของนางโดยบังเอิญ
อวี๋ซื่อแค้นเคืองสุดหัวใจ นางจะฆ่าไป๋เซียงจู๋ สักวันนางจะฆ่าไป๋เซียงจู๋ให้ได้!
ไป๋เซียงจู๋ยกมุมปากเล็กน้อย ดวงเนตรคู่งามนั่นเปล่งประกายแสงอันมิอาจละสายตาได้ นางใช้มันตอบกลับอย่างไม่มีเสียง ‘ท่านน้า น่าสงสารยิ่งนัก แม่เฒ่าตู้กับฟู่กุ้ยเป็คนเก่าแก่ที่ท่านน้าพาตามมาจากบ้านของตน เกรงว่าท่านน้าต้องเสียใจแล้ว...’
อวี๋ซื่อกุมอำนาจดูแลจวนไป๋มาสิบกว่าปี ทว่าในวันนี้ นางััถึงความตื่นตระหนกบางอย่างจนได้ ตื่นตระหนกจนเหงื่อกาฬท่วมร่าง
ไป๋เซียงจู๋ยื่นกล่องผ้าตาดให้แม่เฒ่าจางที่ยืนอยู่ข้างนายหญิงไป๋ จากนั้นจึงคารวะฮูหยินเฒ่าไป๋เพื่ออำลา นางหมุนกายหันกลับไป เผยให้เห็นแผ่นหลังสะโอดสะองหยิ่งผยองดุจหงส์บินทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า!
พอไป๋เซียงจู๋จากไปแล้ว ฮูหยินเฒ่าก็สั่งให้คนประคองนางกลับเรือนจิ้งซิน
“ฮูหยิน ดูนี่สิเ้าคะ” เมื่อเข้าห้อง แม่เฒ่าจางเปิดกล่องผ้าตาดออก ด้านในมีประคำพวงหนึ่ง แรกเห็นดูไม่แตกต่างจากประคำทั่วไปแม้แต่น้อย
ฮูหยินเฒ่าชำเลืองมองแวบเดียวก็เบือนหน้า “วางไว้เถอะ อย่างไรเสียก็เป็หัวใจกตัญญูจากเด็กคนนั้น”
แม้พูดเช่นนี้ แต่อารมณ์บนใบหน้าของนางกลับเรียบเฉย
“เ้าค่ะ” แม่เฒ่าจางรับคำ เตรียมปิดกล่องผ้าตาดเพื่อนำไปเก็บ ทว่าจู่ๆ ก็ตาลุกวาวเสียก่อน
“นี่... นี่คือ” แม่เฒ่าจางร้องอุทานด้วยความใ
“เอะอะเอ็ดตะโรนี่เป็มารยาทแบบไหนกัน”
“ฮะ... ฮูหยินดูสิเ้าคะ” แม่เฒ่าจางถือกล่องหุ้มผ้าตาดมาตรงหน้านายหญิงไป๋อย่างตื่นเต้น ฮูหยินเฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย ยื่นมือไปหยิบประคำที่อยู่ในกล่อง ใบหน้าที่ตอนแรกดูไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ขณะหยิบประคำขึ้นมาก็กลับกลายเป็ตกตะลึงทันที นางพินิศมันอย่างตั้งใจ มือคลึงประคำนั้นด้วยความหวงแหนอยู่ชั่วครู่ ใบหน้าเผยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ
“เด็กคนนี้เอาใจใส่จริงๆ นะ...”
“นี่คือประคำหนึ่งร้อยแปดเม็ดที่ทำขึ้นจากไม้ศักดิ์สิทธิ์ของทะเลใต้ ทั่วหล้ามีเพียงเจวี๋ยคงต้าซือที่ แล้วยังได้ยินว่าถูกส่งมอบให้ศิษย์คนโปรดของท่านแล้ว คุณหนูใหญ่ช่างอุตสาหะยิ่งนัก...” แม่เฒ่าจางหน้าตาชื่นบานเอ่ยชมไป๋เซียงจู๋
“อืม...” ฮูหยินเฒ่าไป๋สวมประคำบนข้อมือ แววตาชาญฉลาดฉายแววความคิดบางอย่าง
“ตอนนี้เพิ่งเข้าฤดูใบไม้ผลิ ในเรือนของเด็กคนนั้นคงหนาวเย็นไม่น้อย สั่งให้คนส่งพวกถ่านไปที”
“เ้าค่ะ ฮูหยิน”
----------------------------------------
อีกด้านหนึ่ง ไป๋เซียงจู๋ยังไม่ทันกลับถึงเรือนฝูหรง ไป๋ฉีหลัวก็รีบถลาเข้ามาด้วยความกังวล “จู๋เอ๋อร์ จู๋เอ๋อร์ของแม่... ทั้งหมดเป็ความผิดของแม่เอง แม่ทำผิดต่อลูก...” ไป๋ซื่อกอดลูกสาวของตนไว้ ในใจทั้งเ็ปและสำนึกผิด หากมิใช่เพราะตนละเลยลูกชายกับลูกสาว พวกเขาก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้ นางปล่อยให้บุตรสาวทนทุกข์ยากไม่ได้อีกต่อไป สองสามวันนี้ตู้เจวียนเล่าเื่ราวให้นางฟังหมดแล้ว ที่ผ่านมานางไม่เคยรับรู้เลยว่าขณะที่นางขังตนเองไว้ในเรือนไม่ยอมออกไปไหน ลูกชายลูกสาวทั้งสองของนางต้องมีชีวิตในจวนไป๋เช่นไร...
ปกตินางมีจิตใจโอบอ้อมอารีต่อผู้อื่น นึกไม่ถึงว่าน้องสะใภ้ของตนกลับปฏิบัติเช่นนี้ต่อบุตรสาว จึงอดไม่ได้ที่จะตำหนิตัวเอง
“ท่านแม่ นี่ข้าก็สบายดีแล้วมิใช่หรือ จู๋เอ๋อร์ดวงดีออกนะเ้าคะ” แม้ว่าไป๋เซียงจู๋มีกำแพงต่อมารดาเกิดเกล้าผู้นี้ ทว่าบางทีอาจมีสาเหตุมาจากความละเลยของไป๋ซื่อในชาติก่อน นอกจากนี้นางยังแค้นเคืองที่ไป๋ซื่อทอดทิ้งนางให้อยู่ในจวนไป๋ตามยถากรรมจนคนอื่นรังแกนางั้แ่วัยเยาว์ ดังนั้นสำหรับแม่คนนี้ นางจึงวางตัวนิ่งเฉยใส่อยู่เสมอ
แน่นอนว่าไป๋ซื่อััได้ถึงความห่างเหินจากบุตรสาว นางหลุบหน้าลง ั์ตาปรากฏร่องรอยแห่งความอ้างว้าง นางเป็คนอ่อนโยนมาั้แ่ไหนแต่ไร ไม่ได้เป็คนเ้าอารมณ์นัก เมื่อก่อนตอนยังเป็คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ก็ใจดีกับทุกคน ต่อมาพอเื่ราวนั้นแพร่ไปทั่ว ชื่อเสียงในตระกูลไป๋ของนางก็เสียหาย สถานะพลันตกต่ำลง ไม่ได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากนายหญิงไป๋กับนายท่านไป๋ ซ้ำร้ายชีวิตในจวนไป๋ก็เหมือนคาอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ไป๋เซียงจู๋จะคิดแค้นนางก็เป็เื่ที่เข้าใจได้ นางโทษใครไม่ได้ มีแต่ต้องโทษตัวเองที่อ่อนแอเกินไป
พอเห็นความอ้างว้างและทุกข์ใจในดวงตาของไป๋ซื่อ ไป๋เซียงจู๋มีน้ำเสียงอ่อนลง “ข้าไม่เป็ไรจริงๆ เ้าค่ะ ท่านอย่ากังวลไปเลย”
อย่างไรเสียไป๋ซื่อก็เป็แม่ของตน เมื่อชาติที่แล้วนางถูกมู่จื่อรั่วกับมารดาวางแผนใส่ร้ายจนจบชีวิตลงในปีที่เพิ่งเข้าจวนมู่ คิดๆ แล้วทั้งชีวิตของไป๋ซื่อก็รันทดทีเดียว ในเมื่อนางสาบานจะปกป้องครอบครัวข้างกาย นางมีความจำเป็อันใดต้องสนใจความขุ่นเคืองเล็กๆ น้อยๆ นั่น ไป๋ซื่อเองก็ไม่มีอิสระทำอะไรดั่งใจปรารถนาเช่นกัน น้ำตาและความห่วงใยของนางล้วนจริงแท้ มารดากำลังเป็ห่วงตน ไป๋เซียงจู๋เห็นสิ่งนี้ชัดเจนแจ่มแจ้ง พอตระหนักถึงเื่นี้ได้แล้ว ไป๋เซียงจู๋ก็ปล่อยวาง
“ทั้งหมดเพราะแม่ไร้ประโยชน์ แม่ไร้กำลัง...” นางมองบุตรสาวที่จับมือของตนไว้ อวี๋ซื่อโศกเศร้าจนเริ่มร้องไห้อีกครั้ง
ไป๋เซียงจู๋รำพึงอยู่ในใจ นางรู้จักนิสัยของไป๋ซื่อดีว่าชอบรั้นไม่เข้าเื่ จึงทำฉอเลาะประจบมารดา “ไม่เป็ไรหรอกเ้าค่ะ ตอนนี้จู๋เอ๋อร์อยู่ดีมีสุขมิใช่หรือ ท่านแม่เ้าคะ จู๋เอ๋อร์หิวเหลือเกิน ท่านแม่ทำของอร่อยให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าอยากกินฝูหรงซู [1] ฝีมือท่านแม่”
แม้ไป๋ซื่อสงสัยอยู่บ้างว่าเซียงจู๋รู้ได้อย่างไรว่าตนถนัดทำฝูหรงซูที่สุด แต่ก็เป็เพียงความสงสัยชั่วครู่เท่านั้น นางรีบเช็ดน้ำตาให้แห้งและตอบลูกสาว “ได้จ้ะ แม่จะไปทำให้ลูกเดี๋ยวนี้เลย”
เมื่อเห็นไป๋ซื่อง่วนอยู่กับการทำอาหารจากด้านหลัง เซียงจู๋ก็แย้มยิ้มสบายใจ
ไม่มีคุกใต้ดินที่เหน็บหนาว ไม่มีแขนขาที่ต้องโดนกุดทิ้ง ไม่มีลูกน้อยที่สิ้นใจก่อนจะได้ร้องไห้ และไม่มีเนื้อหนังมังสาที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่า มากกว่านั้นคือไม่มีใบหน้าอันน่าสะพรึงกลัวในวังหลวงอีกต่อไป...
การที่ยังมีคนห่วงใยอยู่ข้างกายเช่นนี้ มันช่างดีจริงๆ
ดีจริงๆ
เมื่อนึกถึงชีวิตในอดีตชาติ นางต้องผ่านความยากลำบากมากมายกว่าจะพบบิดาในท้ายที่สุด ใครจะคิดว่านางเพิ่งถูกรับเข้าจวนมู่ไปเพียงหนึ่งปี อยู่ดีๆ ไป๋ซื่อก็ป่วยตาย หากมิใช่เพราะคำพูดของมู่จื่อรั่วที่เฉลยให้ก่อนนางจะสิ้นใจในชาติที่แล้ว นางก็ยังคงนึกว่าไป๋ซื่อจากโลกนี้ไปอย่างกะทันหันด้วยความเจ็บป่วย ที่ไหนได้ มู่จื่อรั่วและไป่ชิงลั่วมารดานาง วางอุบายทำร้ายไป๋ซื่อกับพี่ชายนางจนตาย... พอรำลึกความหลังถึงตรงนี้ เซียงจู๋กำมือแน่น
ในชาตินี้ นางจะไม่ยอมให้ใครรังแกพวกนางทั้งสิ้น! และจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องคนของนางอีก!
วันนี้นางยิงศรดอกเดียวได้อินทรีถึงสามตัว
หนึ่งคือกำจัดคนที่ลอบกัดนางโดยแทบไม่ต้องออกแรง สองคือบังคับให้ฮูหยินรองตัดแขนตนทิ้งหนึ่งข้าง [2] สาแก่ใจยิ่งนัก! สามคือทำให้ท่านยายเริ่มเคลือบแคลงในตัวอวี๋ซื่อ และเมื่อความเคลือบแคลงเกิดขึ้นแล้ว มีแต่จะขยายใหญ่ขึ้นเท่านั้น! อวี๋ซื่อกล้าปกครองจวนอย่างกดขี่ข่มเหงก็เพราะอาศัยความไว้วางใจของท่านยาย ั้แ่บัดนี้เป็ต้นไป ความไว้วางใจนี่จะหมดสิ้นไม่มีวันหวนคืน!
ค่อยเป็ค่อยไปเถิด ละครแสนสนุกเพิ่งเริ่มต้น!
ทั้งแม่เฒ่าตู้และหลี่ฟู่กุ้ยตายแล้ว
การเคลื่อนไหวในจวนไป๋ของอวี๋ซื่อจึงถูกจำกัดไม่เหมือนอย่างเก่า มีหลายกิจธุระที่ไม่มีคนให้มอบหมายไปจัดการอย่างสบายใจได้
ทว่าในเวลาแบบนี้ ไป๋ฉีหลัวก็ดันเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง นางไปยังเรือนของฮูหยินเฒ่าไป๋และสนทนาด้วยถึงสามชั่วยาม ฮูหยินเฒ่าไม่เพียงแต่ออกคำสั่งให้ไป๋เซียงจู๋กลับไปอยู่เรือนของตน ทั้งยังส่งคนไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ จัดแจงให้เงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทั้งหมดตามสถานะคุณหนู
อวี๋ซื่อนวดขมับที่รู้สึกปวดตุบ คิ้วย่นเข้าหากันแน่น
เป็เช่นนี้ไปได้อย่างไร!
ไม่ใช่แค่จัดการนางเด็กน่าชังนั่นไม่สำเร็จ แต่กลับล้มเหลวจนทำให้นางสูญเสียผู้ช่วยทั้งสองไปพร้อมกัน
หลายปีมานี้ เงินกู้ที่นางปล่อยข้างนอกจวน ตลอดจนทรัพย์สมบัติส่วนตัวที่แอบซื้อเก็บไว้ ล้วนแล้วแต่วานหลี่ฟู่กุ้ยไปจัดการ ส่วนกิจทุกอย่างในเรือนคือหน้าที่ของแม่เฒ่าตู้ สองคนนี้จึงเป็เสมือนแขนแต่ละข้างของนางเอง
อวี๋ซื่อลืมตาขึ้น ภายในนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง! วันนี้แขนสองข้างของนางถูกหั่นด้วน นางเด็กน่ารังเกียจนี่ พอกลับมาก็ดันเงยหน้าอ้าปาก นางเด็กกระจอกงอกง่อยที่นางข่มเหงมาสิบกว่าปี บัดนี้เพ้อฝันอยากจะเหนือกว่านาง เพ้อฝันลมๆ แล้งๆ โดยแท้!
อวี๋ซื่อบีบกำปั้นแน่น เกือบจะขยี้มือของสาวใช้ประจำตัวที่อยู่ข้างกายหัก
ส่วนด้านไป๋ชิงโหรวนั้น ดวงหน้างามกำลังบูดเบี้ยวจนถึงขั้นน่ากลัว บ่าวรับใช้ทั้งแถวคุกเข่าต่อหน้านาง ยินยอมให้นางดุด่าทุบตี
ไป๋ชิงโหรวกรีดร้องเสียงแหลม “ท่านแม่ นี่มันน่าโมโหเหลือเกิน! ให้ข้าคุกเข่ายกน้ำชาให้นางชั้นต่ำนั่นเสียได้! ข้าจะฆ่านาง!”
“ดี!” อวี๋ซื่อกล่าวด้วยั์ตาที่สาดรังสีแห่งความชั่วร้าย “เ้าแกล้งป่วยไปก่อน ท่านย่าเอ็นดูเ้ามาโดยตลอด ครั้งนี้ให้ไป๋เซียงจู๋ย้ายกลับเรือนมู่หลานก็เพราะว่าเห็นแก่ไป๋ฉีหลัว ฮึ อยากจะพลิกผันสถานะตนหรือ! ไม่มีทาง!”
เชิงอรรถ
[1]芙蓉酥 ฝูหรงซู คือ ขนมชนิดหนึ่ง มีวิธีทำที่ยุ่งยากและใช้เวลาทำนานมาก โดยต้องนวดแป้งเป็แผ่นซ้อนกันหลายชั้น จากนั้นนำแป้งทั้งหมดห่อหุ้มไส้พุทรากวนหรือถั่วกวน จากนั้นจับทรงขนมเป็รูปดอกฝูหรง (ดอกพุดตาน) และนำไปทอด
[2]ในที่นี้หมายความว่า อวี๋ซื่อจำต้องกำจัดผู้ช่วยของตน