ตำบลชางเป็เส้นทางที่ต้องผ่านจากอำเภอเหอเพื่อไปเมืองเซียง อยู่ห่างจากเมืองเซียงเพียงสามสิบลี้เท่านั้น ด้วยทำเลที่ดีทำให้ที่นี่คึกคักและมีประชากรอย่างหนาแน่น
ถนนสายหลักหนึ่งเดียวในตำบลชางมีรถราวิ่งขวักไขว่ไปมา
ในขณะนั้นมีบุรุษวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยสวมชุดสีเทา กำลังขายข้าวปั้นผักให้กับคนที่สัญจรผ่านไปมาในตลาด
“ข้าวปั้นผักของข้าอย่าได้มองว่าผักน้อย เพราะราคาถูกและอร่อยยิ่งนัก ข้าวปั้นหนึ่งก้อนเพียงหนึ่งเหรียญทองแดง”
บุรุษร่างอ้วนเตี้ยเป็ชาวนาในหมู่บ้านใกล้อำเภอเหอ เมื่อบ่ายวานนี้ขณะขายผักอยู่ที่อำเภอ เขาเห็นการค้าข้าวปั้นผักของจางต้าหู่ขายดีเป็พิเศษ วันนี้จึงลงมือทําข้าวปั้นผักกับคนในบ้านสองร้อยกว่าก้อนั้แ่เช้าตรู่
เดิมทีเขาจะไปขายข้าวปั้นผักที่อําเภอเหอ แต่คาดไม่ถึงว่าจะเห็นคนจำนวนมากกำลังขายข้าวปั้นผักอยู่นอกประตูเมือง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางมาขายที่ตำบลชาง
จำนวนผู้คนที่สัญจรไปมาในตำบลชางไม่น้อยไปกว่าอำเภอเหอ ชาวตำบลชางล้วนแต่เป็คนมีเงินในกระเป๋า
เพียงแต่ข้าวปั้นผักที่บุรุษร่างอ้วนเตี้ยทํานั้นหน้าตาไม่น่าดูจริงๆ และข้าวปั้นยังไม่ได้ใส่เกลืออีกด้วย กินแล้วรสชาติจืดชืดยิ่งนัก แม้ราคาจะถูก ทว่าก็มีคนซื้อไม่มาก
หลังจากที่หลิวซื่อกับหวังจื้อมาถึงสุดปลายถนนของถนนสายหลักเพื่อขายข้าวปั้นผักโรยงา ข้าวปั้นของบุรุษร่างอ้วนเตี้ยก็ยิ่งไม่มีผู้ใดซื้ออีก
บุรุษร่างอ้วนเตี้ยไม่รู้ว่าผู้ที่ทำข้าวปั้นผักเป็คนแรกคือตระกูลหวัง ในใจพลันโมโหที่ตระกูลหวังแอบศึกษาข้าวปั้นผักของจางต้าหู่ แต่กลับลืมไปว่าตนเองต่างหากที่แอบศึกษาของผู้อื่น
หลี่ชิงชิงปรับปรุงข้าวปั้นผักให้ดียิ่งขึ้น ถั่วลันเตาที่ใช้ไม่ใช่ผักที่ชาวนาขายทั่วไปตามท้องถนน เมื่อผสมกับหูหลัวปัวสีสันสดใสและยังโรยงาดําที่คั่วสุกแล้ว ยังปั้นอย่างแ่าไม่ให้แตกออกจากกัน
ข้าวปั้นผักโรยงาราคาสูง หน้าตาดูดี คุณภาพดี นอกจากลูกค้าเก่าที่เคยซื้อไข่เค็มมาอุดหนุนแล้ว ยังมีลูกค้าใหม่อีกจำนวนหนึ่ง
ครั้นหวังเลี่ยงมาถึง หลิวซื่อและหวังจื้อก็ขายข้าวปั้นไปมากกว่าเก้าส่วนแล้ว ยามนี้เหลือไม่ถึงยี่สิบก้อน
เมื่อได้ยินข่าวดีจากหวังเลี่ยง หลิวซื่อก็ถึงกับร้องไห้ด้วยความดีใจ “ชิงชิงลูกสะใภ้ผู้นี้แต่งเข้าได้ดี หวังเฮ่าบุตรชายข้าช่างมีวาสนาจริงๆ ตระกูลหวังของพวกเราโชคดีเหลือเกินที่ได้ตบแต่งลูกสะใภ้ที่ดีเช่นนี้”
จะว่าไปแล้วชีวิตของหลิวซื่อนั้นไม่ง่ายเลย
แต่งงานครั้งแรกถูกสามีที่พึงใจต่อกันั้แ่วัยเด็กทรยศ นางถูกบีบให้หย่ากับสามี และได้แต่งงานใหม่พร้อมกับพาบุตรชายและบุตรสาวมาด้วยอย่างจนใจ
บุตรชายคนโตของนางพิการหาภรรยาไม่ได้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาภรรยามาตบแต่งให้เขา ลูกสะใภ้ใหญ่หน้าตาน่าเกลียดและยังเป็การแต่งงานครั้งที่สาม หลังจากแต่งงานก็คลอดบุตรสาวสามคนติดกัน ครรภ์ที่สี่นี้ก็คาดว่าน่าจะเป็บุตรสาว
บุตรสาวคนรองแต่งออกไปหลายปีแล้วก็ไม่ตั้งครรภ์เสียที
บุตรชายคนที่สามฉลาดปราดเปรื่องและมีความสามารถที่สุด ทั้งยังได้เรียนหนังสืออยู่หลายปี แต่น่าเสียดายที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะก็ต้องไปเกณฑ์ทหาร ต้องจากบ้านจากเมืองไปเป็ทหาร...
บุตรชายคนที่สี่ซุกซนเกเรทําให้รู้สึกกังวลเป็พิเศษ เมื่อก่อนมักจะวิ่งหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่บอกกล่าวคนในบ้าน หลายครั้งที่เกือบถูกลักพาตัวไปขาย กระทั่งอายุแปดขวบถึงแก้นิสัยนี้ได้
บุตรสาวคนเล็กคลอดก่อนกําหนด ล้มป่วยอยู่บ่อยๆ ดื่มยาต้มแทนน้ำั้แ่ก่อนจะอายุห้าขวบ...
จะว่าไปแล้ว่หลายปีที่ผ่านมานี้ หวังเฮ่าได้ตบแต่งกับหลี่ชิงชิง หลี่ชิงชิงขายสูตรอาหาร เป็เพราะเื่น่ายินดีสองเื่นี้ที่ทำให้หลิวซื่อมีความสุขเป็อย่างยิ่ง
หลังจากหวังจื้อตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะออกมา เค้นคํากล่าวที่มีในสมองอันน้อยนิดครั้งแล้วครั้งเล่า เอ่ยประโยคหนึ่งออกมาว่า “น้องสะใภ้หาเงินได้เก่งจริงๆ”
ตอนนั้นเองหลิวซื่อก็ตัดสินใจไม่ขายข้าวปั้นต่อแล้ว นางนำข้าวปั้นออกมากินกับบุตรชายคนละสองสามก้อนให้อิ่มท้องที่ร้องมาเป็เวลานาน จากนั้นก็เร่งรุดกลับบ้าน
บุรุษร่างอ้วนเตี้ยเห็นหลิวซื่อแม่ลูกจากไปในที่สุด ในใจก็ทอดถอนใจด้วยความโล่งอก แอบกล่าวในใจว่า ‘คราวนี้คงมีคนซื้อข้าวปั้นผักของข้าแล้ว’
ระยะทางจากตำบลชางถึงหมู่บ้านหวังไกลยี่สิบกว่าลี้ ระหว่างทางหวังเลี่ยงเอ่ยอย่างตื่นเต้นไม่หยุดว่า “ท่านแม่ พี่สะใภ้สามของข้าหาเงินได้มากเพียงนี้ พี่สามรู้เข้าย่อมดีใจมากเป็แน่ขอรับ”
“ย่อมเป็เช่นนั้น”
หวังเลี่ยงเดินอย่างรวดเร็ว เอ่ยกับหลิวซื่ออย่างเบิกบานใจ “ท่านแม่ พี่สะใภ้สามของข้าบอกว่าจะซื้อเนื้อให้ทั้งครอบครัวเรากิน”
“ดียิ่งนัก” หลิวซื่อไม่ได้กินเนื้อมาสองเดือนกว่าแล้ว นางไม่ได้ตระหนี่เท่าผู้เฒ่าหวัง สิ่งใดที่ควรใช้เงินก็ใช้จ่ายไป
หวังจื้ออดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายหนึ่งอึก ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ขณะที่หวังเลี่ยงรอหวังจื้อไปปลดทุกข์ที่ป่าเล็กๆ ข้างถนนทางการ ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านว่าพี่สะใภ้สามจะให้เงินคนบ้านเดิมหรือไม่ขอรับ?”
“อาจจะให้ อย่างอื่นข้าไม่รู้ ที่ข้ารู้ก็คือชิงชิงซาบซึ้งในบุญคุณของพี่สาวทั้งสองคน ชิงชิงย่อมให้เงินพวกนางแน่นอน”
หวังเลี่ยงเอ่ย “หลังแต่งงานพี่สะใภ้สามของข้าก็ไม่ได้กลับไปบ้านเดิม”
ประเพณีที่ถือปฏิบัติของท้องถิ่น ขอเพียงบุตรสาวไม่ได้แต่งออกไปยังสถานที่ห่างไกล วันที่สามหลังจากแต่งงานจะต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมพร้อมกับบุตรเขย
วันรุ่งขึ้นหลังจากหลี่ชิงชิงแต่งงาน หวังเฮ่าก็กลับไปยังกองทัพแล้ว ในยามนั้นผู้เฒ่าหวังสามีภรรยาเสนอว่า พวกเขาสองคนจะนำของขวัญติดตามหลี่ชิงชิงกลับบ้านเดิม
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าหลี่ชิงชิงจะปฏิเสธอย่างสุภาพ
เื่นี้คนในหมู่บ้านหวังล้วนทราบกันดี และยังพากันวิพากษ์วิจารณ์อีกว่าความสัมพันธ์ของหลี่ชิงชิงกับบ้านเดิมไม่ค่อยดี เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่ยอมกลับไปเยี่ยมบ้านเดิม
หลิวซื่อเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ชิงชิงไม่เคยเอ่ยถึงบิดามารดาและพี่ชายพี่สะใภ้ของนาง นางจึงไม่อยากกลับบ้านเดิม”
หวังเลี่ยงยิ้มแล้วพูดว่า “แหะๆ ท่านแม่ ท่านกับบ้านเดิมก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดี พี่สะใภ้สามของข้าเหมือนกับท่านเลย”
“ชิงชิงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่สาวทั้งสองคนของนาง” หลิวซื่อเห็นบุตรชายคนโตเดินกะโผลกกะเผลกออกมาจากป่าเล็กๆ ก็เอ่ยอย่างโมโหว่า “เ้าไม่เคยคิดว่าจะทํางานอย่างไร แล้วมาคอยใส่ใจเื่ภายในบ้านทำไมนัก?”
เมื่อสามแม่ลูกกลับมาถึงหมู่บ้านหวัง ก็ได้ยินคนในวงศ์ตระกูลสองคนกำลังยกย่องหลี่ชิงชิงอยู่ พลันในึกว่าคนในตระกูลรู้เื่ที่หลี่ชิงชิงขายสูตรอาหารแล้ว ฟังอยู่หลายประโยคจึงได้รู้ว่าหลี่ชิงชิงใช้วิชาแพทย์ห้ามเืที่นิ้วมือให้หลิวซื่อคนนอกหมู่บ้าน
“วิชาแพทย์ของพี่สะใภ้สามของข้าเลิศล้ำยิ่ง” น้ำเสียงของหวังเลี่ยงภูมิใจนัก
ก่อนหน้านี้ตอนที่หลี่ชิงชิงใช้วิชาแพทย์รักษาโรคให้น้องสาวสามีอย่างหวังจวี๋นั้น ผู้เฒ่าหวังสามีภรรยาก็เริ่มรู้สึกเคลือบแคลงใจแล้ว
ในเวลานั้นตระกูลหวังต้องตาหลี่ชิงชิง จึงไปสืบถามที่หมู่บ้านเสี่ยวเฉวียน แต่ไม่เคยได้ยินชาวบ้านบอกว่าหลี่ชิงชิงรู้วิชาแพทย์เลย
ต่อมาหลี่ชิงชิงได้รักษาคนในตระกูลของหมู่บ้านหวังจนหายดีหลายคน เพื่อเป็เกียรติแก่ตระกูลหวัง ผู้เฒ่าหวังสามีภรรยาจึงไม่คิดมากอันใด ไม่ได้ซักถามหลี่ชิงชิง ถึงขนาดแสร้งทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นเพื่อหลี่ชิงชิง
น้ำเสียงของหลิวซื่อทั้งสูงทั้งดัง นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ชิงชิงของบ้านเรารู้หนังสือและยังเฉลียวฉลาดยิ่งนัก นางอ่านตำราแพทย์และเรียนรู้ด้วยตนเอง”
คนในวงศ์ตระกูลยกนิ้วโป้งขึ้นพลางกล่าวชื่นชม “อาสะใภ้ ท่านแต่งลูกสะใภ้ได้ดีจริงๆ!”
ครั้นได้กลิ่นหอมของการเจียวน้ำมันหมูลอยมาแต่ไกล สามแม่ลูกที่ไม่ได้กินเนื้อหมูมานานก็อดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
โชคดีที่ตระกูลหวังอยู่ห่างจากเพื่อนบ้าน มิฉะนั้นกลิ่นหอมนี้อาจทําให้เพื่อนบ้านหิวตายได้จริงๆ
หวังพั่นตี้วิ่งฉิวออกจากห้องโถงมาต้อนรับผู้าุโราวกับสายลม เด็กหญิงหัวเราะพลางเอ่ย “อาสะใภ้สามซื้อแผ่นมันหมูและเนื้อหมูมาไม่น้อย ท่านแม่ของข้ากําลังเจียวแผ่นมันหมูอยู่เ้าค่ะ”
“พวกท่านกลับมาแล้ว” จางซื่อเดินออกมาทักทายทั้งสามคนที่หน้าประตูห้องครัวด้วยสีหน้าเปี่ยมความสุข
หลิวซื่อเอ่ยถาม “ชิงชิงเล่า?”
จางซื่อเอ่ยตอบ “น้องสะใภ้สับพริกอยู่ด้านหลังเ้าค่ะ” ทั้งยังเอ่ยอีกว่า “พั่นตี้ เจาตี้อาศัยความดีความชอบของน้องสะใภ้ไปกินข้าวที่งานเลี้ยง เมื่อครู่น้องสะใภ้ยังเอากากหมูมาให้พวกนางกินอีกด้วย”
“ข้าก็อยากกินกากหมู” หวังเลี่ยงรีบวิ่งเข้าไปในห้องครัว เห็นกากหมูครึ่งกะละมังอยู่บนเตา ในหม้อมีน้ำมันหมูแวววาวครึ่งหม้อใหญ่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ เขาเอื้อมมือออกไปหยิบกากหมูหนึ่งกํามือแล้วยัดเข้าปากทั้งหมดในคราเดียว เคี้ยวตุ้ยๆ คําใหญ่ ในปากอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกากหมู ไม่เลี่ยนเลยแม้แต่น้อย และยังอร่อยยิ่ง
เขาสามารถกินกากหมูให้หมดเกลี้ยงได้ด้วยตัวคนเดียว
